You Should Have Left (2020) บ้านหลอน ฝันผวา
เรื่องย่อ
อดีตนายธนาคารภรรยานักแสดงและลูกสาวที่กระตือรือร้นของพวกเขาจองวันหยุดพักผ่อนที่บ้านสมัยใหม่อันโดดเดี่ยวในชนบทของเวลส์ที่ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คิด You Should Have Left
ผู้กำกับ
- David Koepp
บริษัท ค่ายหนัง
- Blumhouse Productions
นักแสดง
- Kevin Bacon
- Amanda Seyfried
- Avery Tiiu Essex
- Colin Blumenau
- Lowri Ann Richards
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
นี่คืออีกหนึ่งผลงานเขย่าขวัญสยองขวัญเบอร์ล่าสุด You Should Have Left จากค่ายหนังสยองขวัญขวัญใจมหาชนทั่วทั้งโลกอย่าง บลัมเฮาส์ สตูดิโอ ที่ถูกจับลงออนไลน์ อันเนื่องมาจากพิษภัยของสถานการณ์โรคระบาดที่ปั่นป่วนวงการภาพยนตร์โลกในปีนี้ ซึ่งภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญเบอร์ล่าสุดของ บลัมเฮ้าส์ สตูดิโอเรื่องนี้ ก็มาพร้อมกับพลอตเรื่องที่ว่าด้วยครอบครัวหนึ่งที่ดั๊นดวงซวยไปพบกับเรื่องราว ลึกลับในบ้านผีสิงหลังหนึ่ง แม้ว่าฟังพลอตเรื่องจะแลดูเชยแหลกก็ตามที แต่ด้วยเครดิตของผู้กำกับอย่าง เดวิด โคเอ็บบ์ จาก Premium Rush, Secret Window และ Stir of Echoes ที่ยังได้สองนักแสดงระดับชั้นนำ ต่างรุ่น ต่างวัยของฮอลลีวู้ดอย่าง คุณลุงเควิน เบคอน และน้องหนู อแมนด้า ไซย์ฟรีด มารับบทนำ รับรองเลยว่า หนังสยองขวัญเรื่องนี้จะต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนใน You Should Have Left ครับ
ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ธีโอ คอนรอย (เควิน เบคอน) เศรษฐีเริ่มสูงวัยที่ประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน ฐานะเงินทอง และครอบครัว แต่กลับมีปมปัญหาทางใจ จนทำให้เขามีสภาพทางด้านสุขภาพจิตใจที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทำให้วันหนึ่ง เพื่อต้องการที่จะหลีกหนีจากปมในใจและเรื่องราวเลวร้ายในอดีต ทำให้เขาตัดสินใจชวนภรรยาสาวรุ่นลูกอย่าง ซูซานน่า (อแมนด้า ไซย์ฟรีด) และ ลูกสาวตัวน้อยอย่าง เอลล่า (เอเวอรี่ เอสเซ็ก) หนีไปใช้ชีวิตอยู่ยังคฤหาสน์ให้เช่าหรูหรา โอ่อ่า ท่ามกลางชนบทอันห่างไกลในเวลส์ ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่สวยงาม เย็นสบาย มีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ให้เอลล่าได้วิ่งเล่น แต่ทว่า นับวัน ธีโอ กลับยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในบ้านหลังนี้ และมันเริ่มทำให้สถานการณ์ต่างๆ ในบ้านเลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาและครอบครัวจะฝ่าฝันความน่าสะพรึงกลัวนี้ไปได้หรือไม่ !!
แม้ว่า จะมาพร้อมกับพลอตเรื่องและสตอรี่อันสุดแสนจะซ้ำซากจำเจ ว่าด้วยครอบครัวดวงซวยที่ดั๊นไปพบเจอกับเรื่องราวลึกลับในบ้านหลังใหม่ก็ตามที แถมแนวทางของหนังจริงๆ ก็ดันไม่ได้ออกมาสยองขวัญจ๋า ผีหลอกสะดึ้งตุ้งแช่อะไรขนาดนั้น แต่กลับมาในแนวทางแนวทริลเลอร์ไซไฟจิตวิทยาซะมากกว่า ซึ่งอาจจะทำให้คนที่คาดหวังความสยองขวัญอย่างผม แอบค่อนข้างผิดหวังพอสมควร แถมตัวหนังก็ไม่ได้สนุกอะไรมากมายนัก จนเรียกได้ว่า นี่อาจจะเป็น 1 ในงานหนังสยองขวัญที่โคตรแป้ก และล้มเหลวมากที่สุดเรื่องหนึ่งของค่ายบลัมเฮ้าส์ ตามหลัง Fantasy Island ที่แป้กสนั่นรับต้นปีไปก็ได้ครับ
นั่นเป็นเพราะว่าตัวหนังมีปัญหาในการเดินเรื่องที่เยอะแยะมากมาย ตลอดช่วงเวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่งของหนังเรื่องนี้ กลับมีการดำเนินเรื่องราไวด้อย่างน่าเบื่อแบบสุดๆ มีความอืดอาด ยืดยาดมากๆ จนทำให้ผมแทบจะหลับตลอดทั้งเรื่อง แถมการแสดงของทีมนักแสดงนำทุกคนก็แสดงกันได้อย่างเฉยๆ มาก เคมีการแสดงของคุณลุงเบคอนและน้องหนูอแมนด้าก็โคตรจะไม่เข้าขากันเลย ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่านี่คือคู่สามีภรรยากันเลย ดูแล้วรู้สึกรำคาญและหงุดหงิดมากๆ การปูพื้นเพแบคกราวด์ตัวละครและเรื่องราวก็โคตรจะเนือยนาย ไร้แก่นสาร ธรรมดาแบบสุดๆ ดูแล้วแทบจะไม่หลับ แม้แต่ตอนช่วงกลางเรื่องที่เริ่มมีประเด็นดราม่าหรือว่าเริ่มเจอเรื่องลึกลับในบ้านนั้น ก็ยังสุดแสนจะน่าเบื่อและชวนง่วงแบบสุดๆ รู้สึกได้เลยว่านี่คือหนังเขย่าขวัญที่นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้ว You Should Have Left กลับยังโคตรน่าเบื่อมากๆ อีกด้วย
ยังดีที่ตัวหนังได้งานสร้างและโปรดักชั่นดีไซน์ที่ดีงามมาช่วยสร้างความลึกลับให้กับตัวหนังได้อยู่บ้าง และในส่วนของการเริ่มสตาร์ทเครื่องความสนุกติดในช่วง 10 นาทีหลังสุดของหนังก็ช่วยทำให้ตัวหนังแลดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งฉากตื่นเต้น ระทึกขวัญ ก็รังสรรค์ออกมาได้ดีกว่าช่วง 70-80 นาทีแรกมากโข ไปจนถึงการคลี่คลายปมประเด็นที่ค้างคาใจเราต่างๆ น้น ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ช่วยคลายปมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับทุกตัวละครได้อย่างลงตัว แม้ว่าอาจจะไม่ได้เคลียร์จบชัดเต็ม 100% นักก็ตามทีครับ แถมตอนจบของหนังเรื่องนี้ ก็ยังจบลงได้อย่างสะเทือน อารมณ์มากกว่าที่เราขึ้นเสียอีก เสียดายมากๆ ที่ไม่รู้ว่าผู้กำกับคนเก่งที่เคยทำหนังปั่นจักรยานโคตรสนุกอย่าง Premium Rush คนเดิมที่เรารู้จักหายไปไหนหมดนะ ถึงได้มาหมดพลังกับหนังเรื่องนี้ เสียดายมากๆ จริงๆ ครับ ทั้งที่ตัวหนังมีองค์ประกอบที่น่าสนใจและน่าจะพัฒนาได้ แต่กลับไม่นำมาต่อยอดได้เลย น่าเสียดาย…
และถึงแม้ว่าตัวหนังจะล้มเหลวมากๆ ในแง่ของความสนุก ความสยองขวัญ ความน่ากลัว และการแสดงที่พังพินาศมากๆ ก็ตามที แต่นับว่ายังโชคดีนะครับ ที่ตัวหนังยังได้ช่วงเวลา 10 นาทีสุดท้ายของเรื่อง มาช่วยทำให้ตัวหนังแลดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง และอีกสิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักที่สำคัญของหนังเลยก็คือ การที่ตัวหนังได้สะท้อนแง่มุมทางด้านจิตวิทยาและความดำมืดในจิตใจของมนุษย์ ถ่ายทอดออกมาผ่านคาแรคเตอร์ของตัวละคร ธีโอ ออกมาได้อย่างน่าสนใจและชวนขบคิดมากๆ ซึ่งตลอดทั้งเรื่องเราจะพบว่า เขามีบุคลิกทางจิตที่ซับซ้อนและเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าเอามากๆ เหมือนดั่งคนที่หลงทางในใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การที่เขาอยากจะย้ายบ้านนั้น ก็เหมือนกับการที่เขาอยากจะหนีวังวนมืดในใจของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างไปจากหนีเสือปะจระเข้ เพราะบ้านหลังใหม่นั้น
กลับทำให้เขาหลงทางและหลงอยู่ในวังวนด้านมืดและปมในใจมากกว่าเดิมเสียอีก You Should Have Left ซึ่งมันได้สะท้อนให้เราได้เห็นว่า สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะหนีออกจากปมมืดและความดำมืดในจิตใจได้อยู่ดี สุดท้าย เราก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันไปจนวันตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ออกมาได้อย่างคมคาย ลึกซึ้ง และชวนขบคิดได้ดีมากๆ เลยครับ สรุป จึงเป็นงานเขย่าขวัญจิตวิทยาที่มีคอนเซปต์ ไอเดียที่น่าสนใจมากๆ ภายใต้พลอตเรื่องและสตอรี่ที่ค่อนข้างจะซ้ำซากและจำเจแบบสุดๆ แต่กลับน่าเสียดายมากๆ ที่ตัวหนังเดินเรื่องที่ได้โคตรจะไม่สนุกสนานเลย น่าเบื่อมาก ชวนง่วง ชวนหลับแบบสุดๆ แถมการแสดง ของทีมนักแสดงนำก็ยังย่ำแย่ และไม่ชวนหเราอินไปกับทุกตัวละครได้เลย แถมความสยองขวัญ ความน่ากลัว ก็ยังเบาบางจนแทบจะไม่ทำให้เรารู้สึกอะไรเลย เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งหนังที่น่าผิดหวังมากๆ เลยครับ
ดูหนังเรื่องนี้โดยรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่และความคิดนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้คุณสนุกกับมันได้ การแสดงของเควิน เบคอนนั้นสนุกเสมอ และเขาก็ทำได้ดีในเรื่องนี้ โดยแบกรับทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ไว้บนบ่าของเขาอย่างแท้จริง การถ่ายภาพนั้นน่ามอง และดนตรีประกอบกับบรรยากาศก็ชวนดื่มด่ำ เมื่อรวมกับระยะเวลาการฉายที่เพียงพอซึ่งไม่ยาวและน่าเบื่อ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีหากคุณไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ปัญหาหลักของหนังเรื่องนี้คือบทสนทนาและบทภาพยนตร์โดยทั่วไป เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่านี่เป็นหนังระทึกขวัญทางจิตวิทยาที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่บทสนทนานั้น… ค่อนข้างแย่ โชคดีที่ไม่มีบทสนทนามากนักในครึ่งหลังของหนัง ดังนั้นคุณจึงสามารถเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ของหนังระทึกขวัญได้เล็กน้อย You Should Have Left ซึ่งไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้คุณตกใจ แต่เพื่อให้คุณรู้สึกขนลุกโดยรวม 6/10
การแสดงก็งั้นๆ บทก็งั้นๆ แต่ฉันชอบงานกล้องมาก เส้นตรง/มุมบนหน้าจอ แสงสะท้อนที่โฟกัส และระยะชัดลึกที่ชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของภาพยนตร์เมื่อฉันนึกย้อนกลับไป เอฟเฟกต์แสงที่เรียบง่ายแต่ประทับใจ ฉันชอบ Stir of Echoes มาก ฉันจึงอยากลองเรื่องนี้ดู และเรื่องนี้ก็เลียนแบบธีม “เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่” เหมือนกับที่หนังระทึกขวัญทางจิตวิทยาส่วนใหญ่มักจะมี แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่มีจังหวะการดำเนินเรื่องที่ดีเท่ากับ Stir of Echoes แต่ก็ยังสามารถดึงดูดความสนใจของฉันได้ค่อนข้างดี ค่อนข้างสับสนในตอนท้ายองก์ที่ 3 แต่ตอนจบก็ทำให้เข้าใจได้พอสมควร สับสนจนเกือบจะเกลียดหนังเรื่องนี้เลย ฮ่าๆ แต่สองสามบรรทัดสุดท้ายก็ทำได้ดีและทำให้ฉันคิดว่า “โอ้ นั่นแหละที่มันหมายถึง…” ดังนั้นมันก็ไม่ได้แย่เท่าที่ควร นอกจากนี้ – สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับ AirBnB เมื่อชาวเมืองหลายคนยกคิ้วขึ้นมองคุณที่เข้าพักที่นั่น ใช่ไหม?! ฉันขอแนะนำหากคุณชอบ Stir of Echoes และชอบ Kevin Bacon และหากคุณชอบงานกล้องที่ดี พูดตามตรงว่างานถ่ายภาพช่วยรักษาเรื่องนี้ไว้สำหรับฉัน
มีปัญหานิดหน่อยตรงนี้ มีเขียนไว้ว่า “นักเขียนบทเดินทางไปบ้านห่างไกลในเวลส์กับครอบครัว You Should Have Left เพื่อเขียนภาคต่อของหนังดังของเขา แต่เขากลับเริ่มเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองหลังจากประสบกับภาวะขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์อย่างรุนแรง” ซึ่งอาจมาจากหนังเรื่องอื่น เพราะเขาไม่ใช่นักเขียน เขาเป็นอดีตพนักงานธนาคาร และแน่นอนว่าไม่มีภาวะขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์… แต่หนังเรื่องนี้อยู่ในระดับปานกลาง และเควิน เบคอนก็ยอดเยี่ยม!
3.6