ดูหนัง ออนไลน์ War for The Planet of The Apes (2017)
เรื่องย่อ
War for The Planet of The Apes (2017) มหาสงครามพิภพวานร ซีซาร์ (แอนดี เซอร์คิส) และฝูงวานรต้องพบกับปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มมนุษย์ที่นำโดย ผู้พัน (วูดดี ฮาร์เรลสัน) ผู้โหดเหี้ยม หลังจากที่ฝูงวานรต้องพบกับความสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึงซีซาร์ต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณที่โหดร้ายมากขึ้น และเริ่มต้นการเดินทางแห่งตำนานเพื่อล้างแค้นเผ่าพันธุ์ของเขา เมื่อท้ายที่สุดการเดินทางได้พาพวกเขามาเผชิญหน้า ซีซาร์และผู้พันต้องเผชิญหน้ากัน ในการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่จะกำหนดชะตากรรมสายพันธุ์ของพวกเขาและอนาคตของโลก
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง War for The Planet of The Apes (2017) มหาสงครามพิภพวานร หนังประเภท Sci-Fi วิทยาศาสตร์ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง ดูหนัง ออนไลน์ หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
Matt Reeves
บริษัท ค่ายหนัง
- TSG Entertainment
- Chernin Entertainment
นักแสดง
- Andy Serkis
- Woody Harrelson
- Steve Zahn
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
หนังโปรดของข้าพเจ้า
War for the Planet of the Apes (2017) เข้าฉายแล้ววันนี้
เห็นคะแนนแล้วอย่าเพิ่งเอาหินมาปานะ ฮ่าๆๆ เอาจริงโปสเตอร์โปรโมทกับชื่อหนังประกาศสงครามนี่ถือว่าสตูดิโอวางแผนตีหัวเข้าบ้านมาก ๆ เพราะหนังจริงไม่ได้สมราคาความเป็นสงครามปิดไตรภาคเลย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกเพราะจุดที่ทำให้เราไม่ปลื้มหนังกลับเป็นพวกรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่า ไล่ตั้งแต่การเล่าเรื่องที่ทำให้รู้สึก wtf แบบนี้ก็ได้เหรออยู่บ่อยครั้ง ความไม่สมเหตุสมผลของฉากต่าง ๆ ที่พอเห็นแล้วหงุดหงิดเหลือเกินเพราะมันดูไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย เช่นตอนวานรออกจากคุกทั้งฝูง, ตอนช่วยเหลือลูกลิง, ตอนปล้นเอากุญแจ, ตอนเด็กส่งข้าวส่งน้ำ, แล้วยิ่งมาเจอฉากจบสงครามที่ให้ความรู้สึกปาหมอนไม่แพ้ชาแมนคิงอีก จึงทำให้เราเดินออกจากโรงพร้อมความผิดหวังอย่างรุนแรงทั้งที่เป็นแฟนของพิภพวานร reboot นี้แท้ ๆ (ชอบ Rise และ Dawn)
หนังยังคงเล่าถึงมนุษย์ที่ออกตามล่าวานรที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า จนวันหนึ่ง ‘ผู้พัน’ (Woody Harrelson) บุกถึงรังมาลอบสังหารภรรยาและลูกของ ‘ซีซาร์’ (Andy Serkis) สร้างความโกรธแค้นให้ผู้นำวานรอย่างมาก ซีซาร์จึงบุกฐานทัพทหารเพื่อหวังจะล้างแค้นแต่กลับต้องพบว่าเหล่าวานรถูกจับมาใช้แรงงานในค่าย
คงไม่สปอยล์นะเพราะถ้าใครเป็นแฟน Planet of the Apes ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าหนังต้องจบอย่างไรถึงจะวนกลับไปหาภาคต้นกำเนิดปี 1968 ได้ ประเด็นสำคัญคือการปิดไตรภาคมันเต็มไปด้วยรอยแผลระหว่างทางมากมายไปหมด ยังไม่รวมถึงไคลแม็กซ์ที่นอกจากจะไม่อลังการแล้วยังดูเล่นง่ายจนชวนให้รู้สึกตกใจว่าหนังงบหมดหรือเปล่าเพราะฉากกองทัพทหารเป็นพันห้ำหั่นกันมันถูกตัดบทซะนึกว่ามาสู้กันอยู่สองสามคน ถ้าเริ่มจากองก์แรกจะเห็นว่าหนังเปิดตัวด้วยความแรงแค้นของซีซาร์ที่มีต่อผู้พันซึ่งเป็นมนุษย์ องค์ประกอบของมันชวนให้สำรวจสภาพจิตใจของซีซาร์ที่พยายามหลีกเสี่ยงสงครามมาตลอดแต่ก็หนีการต่อสู้ไม่พ้นสักที แต่จะว่าไปสงครามในเรื่องที่โปสเตอร์และชื่อหนังตีหัวเข้าบ้านนั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับตัวเองเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นซีซาร์ที่ถูกความแค้นครอบงำ และผู้พันที่เชื่อมั่นในการกำจัดวานร ความแตกต่างตรงนี้คือบาดแผลที่จะฝากรอยเอาไว้ให้ฝ่ายที่ไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้สักที
สิ่งที่เราผิดหวังในช่วงครึ่งหลังมาก ๆ คือตั้งแต่วานรโดนจับมันดูเละตุ้มเป๊ะไปหมด สิ่งต่าง ๆ ที่พวกวานรทำกันในค่ายทหารช่างไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย เมื่อนึกสภาพว่าพวกมันถูกขังอยู่ในคุกที่มีทหารเป็นร้อยและมีเวรยาม เอาจริงเรานึกว่าอยู่รีสอร์ทเพราะดูทำอะไรกันชิลล์เหลือเกิน จุดตลกหลายสิ่งหลายอย่างตั้งแต่ค่ายทหารที่เด็กน้อยเดินเข้าออกได้ง่ายดายราวกับเป็น 7-11, การ solo kill เดินดุ่ย ๆ เข้าไปในคุกคนเดียวของทหารยามที่ชวนให้เห็นความสิ้นคิดของคนเขียนบทหนัง, ลูกลิงนับร้อยปีนป่ายในค่ายทหารโดยไม่มีใครสังเกตเห็น, กระทั่งว่าวานรทั้งฝูงหายไปจากคุกกลางแจ้งยังไม่มีทหารหน้าไหนเอะใจด้วยซ้ำจนถึงเช้า, อีกทั้งเด็กสาวก็ส่งข้าวส่งน้ำได้ง่ายดาย ตกลงทหารยามไปไหนหมด ไฟบนกำแพงที่ส่อง ๆ นั่นเอาไว้ทำอะไร คือเกือบทุกสถานการณ์ในค่ายทหารมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เนี่ยคือจุดที่หงุดหงิด
ป.ล. ไม่รู้ไอเดียใครที่ใส่ลิงตลกเข้ามา เหมือนอยากให้หนังมีมุกแต่โทนหนังมันไม่อำนวยเลยนะ
Director: Matt Reeves
Genre: action, adventure, drama, sci-fi
6/10
Wasant Tong Suthanyaphruet
War for the Planet of the Apes (2017)
“ร่วมยินดีกับการสถาปนาตนเอง เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชล์อันทรงคุณค่าได้สำเร็จ.. Matt Reeves คือหนึ่งในผุ้กำกับงานทุนสูงที่ดีที่สุดในโลกเป็นรายล่าสุด”
[คะแนน B ++]
ในอดีตเนิ่นนานมาแล้ว Matt Reeves จะด้วยเหตุผลหรือความผิดพลาดใดๆก็ตาม เจ้าตัวเคยเริ่มต้นแบบศพไม่สวยกับภาพยนตร์สองเรื่องแรกในปี 1993-1994 ที่เป็นเสมือนตราบาปติดอยู่ในโปรไฟล์การทำงาน ความล้มเหลวคราวนั้นคงจะฝังแน่นไปตลอดกาล ในวันนี้คงไม่มีใครรุ้จักชื่อของเขาแน่นอนหากยอมแพ้ในวันนั้น หลังซุ่มฝึกปรือวิทยายุทธิ์อยู่หลายปี ในที่สุดก็กลับมาแจ้งเกิดสมใจด้วย Cloverfield (2008) กับ Let Me In (2010) ที่โดดเด่นในฝีมือการกำกับอย่างมาก กระทั่งได้รับโอกาสก้อนโตให้กุมบังเหียนภาคต่อ Dawn of the Planet of the Apes (2014) โดยภาคแรก Rise of the Planet of the Apes (2011) ของผุ้กำกับ Rupert Wyatt เปิดหัวได้ดีในระดับหนึ่งไว้ให้แล้ว เพียงแต่สเกลของหนังไมไ่ด้ใหญ่โตมากนัก เนื่องเป็นปฐมบทเรื่องราวของ Caesar ก่อนเติบโตจนกลายเป็นผุ้นำของฝั่งวานร เพื่อทำสงครามกับมนุษย์ในภาคถัดมา ซึ่งไอเดียดังกล่าวในภาคสองก็เป็นของ Matt Reeves ที่สตูดิโอต้องยอมรับและอนุมัติให้แก้ไขบทหนังทั้งหมด (แบบเดียวกับ Batman เวอร์ชั่นล่าสุดที่ขาใหญ่ Ben Affleck ในฐานะผุ้แสดงนำและโปรดิวซ์ ก็เสียเวลาเขียนบทฟรีแล้วไม่ได้ใช้.. Ha)
ทั้งนี้ในภาคที่แล้ว Dawn of the Planet of the Apes (2014) หนังนำพาเราไปประสบกับ post-apocalypse (โลกหลังอารยธรรมล่มสลาย) เพื่อสะท้อนภาพความเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์และวานร จากสถานการณ์ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของโลกใบนี้อย่างแท้จริง มันจึงขับเน้นความเป็นดราม่า-การเมืองระหว่างสองเผ่าพันธ์อย่างดีเยี่ยม ผสมผสานอารมณ์ทริลเลอร์ให้ลุ้นใจคว่ำแทบทุกฉาก รวมถึงพาร์ทของความซาบซึ้งและประทับใจ บอกตามตรงว่านึกไม่ออกเลยว่าภาคที่สามจะทำอย่างไรให้ดีกว่านั้น.. ทว่าจากการรับชม War for the Planet of the Apes หนังพาเราไปสำรวจตัวตนและความล่มสลายบางอย่างที่ไปไกลมากขึ้น
การวิพากษ์ความเป็นมนุษย์ให้มิติจนหนักแน่นกว่าเดิมผ่านตัวละคร The Colonel และ Preacher ที่ยอกย้อนจนเห็นใจและหดหู่กันไปคนละแบบ คนแรกที่เราแสนเกลียดชังแต่พอเผยถึงเหตุผลที่พยามเข่นฆ่าวานร ประกอบบทสรุปในโศกนาฏกรรมที่ทำอดเศร้าใจไปด้วยไม่ได้ ส่วนคนหลังที่คล้ายจะแค่พยามปฏิบัติตามหน้าที่ให้ดีเท่านั้น จากแววตาสื่อความคิดที่สับสนในเหตุผลที่สองฝ่ายก่อสงครามและการได้รับความปราณีจากฝ่ายวานร แต่ท้ายสุดกลับไม่ยกระดับตัวเองขึ้นมาและเลือกจะปกป้องเผ่าพันธ์ของตน แบบขาดการชั่งน้ำหนักในด้านจริยธรรมจนต้องลงเอยแบบที่รุ้กัน..
แม้กระทั่งตัวละครเด็กสาว Nova ที่ติดเชื้อจนพุดไม่ได้แล้วนั้น ประเด็นสำคัญคือเธอเป็นฝ่ายถูกกระทำจากทหารเลวที่หนีมากบดาน สังเกตว่าเธอไม่ได้ยี่หระกับความตายของเขาแต่อย่างใด และพร้อมจะร่วมหัวจมท้ายฝากชีวิตกับเพื่อนต่างพันธ์หลังหลุดพ้นจากมนุษย์ด้วยกันมาได้ แล้วเป็นความบริสุทธิ์และเมตตาของเธอที่ช่วยผลักความเชื่อเก่าก่อนของ Caesar เกี่ยวกับด้านสว่างของมนุษย์ให้กลับมาได้บ้าง.. หรือตัวละคร Bad Ape ที่มองเผินๆคล้ายเจตนาเพื่อสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะท่ามกลางความตึงเครียด แต่หลายมุกเกิดจากการเรียนรุ้พฤติกรรม(ตอแหลๆ/แรดๆ)ของมนุษย์ ถือเป็นตลกร้ายให้รุ้สึกแสบๆคันๆไม่น้อยทีเดียว..
นอกจากนั้นในฝั่งของวานรก็มีทั้งแบบที่อยู่คนละฝ่ายตั้งแต่แรก กับพวกเดียวกันที่ทรยศฝูงเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิต ซึ่งคงเป็นเรื่องธรรมดามากหากคือสิ่งมีชีวิตที่มีความเลวและสีเทาอย่างมนุษย์ แต่พอในงานนี้เป็นพฤติกรรมของสัตว์ จึงไม่พ้นการวิพากษ์วิวัฒนาการเชิงลบในตัววานรที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นสัตว์ประเสริฐมาพร้อมกับความเทาและดำมืดในจิตใจ สิ่งมีชีวิตยิ่งฉลาดก็ยิ่งรักตัวเองและพวกพ้อง ไม่พ้นถูกความเห็นแก่ตัวและความร้ายกาจครอบงำ Caesar อาจเปลี่ยนเป็น Koba อย่างที่ตัวละครอื่นๆทักในสักวันหนึ่งถ้าไม่ระวังรักษาตัว (ปล. ส่วนมุกสุดคลาสสิคของแฟรนไชล์ ส่วนตัวยกให้ฉากวานรขี่ม้าแล้วกัน เพราะไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็ยังคงตลกระคนเจ็บปวดเสียเหลือเกิน.. Ha)
ทั้งนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความยอดเยี่ยมที่สุดของ War for the Planet of the Apes คือการกำกับอันทรงพลังอย่างมากของ Matt Reeves ชนิดไม่มีสักนาทีหรือวินาทีอันสูญเปล่าเลย เนื่องขับเคลื่อนเรื่องราวผ่านงานภาพและเสียงด้วยความเข้มข้นและขึงขังตลอด 140 นาที เป็นนักทำหนังอีกรายที่เข้าใกล้การจะได้เทียบชั้นกับ Denis Villeneuve และ Christopher Nolan ในแง่ของการเป็นผุ้กำกับหนังทุนสูงแบบให้คุณภาพระดับ(ชิง)รางวัล.. ส่วนนักแสดงโมชั่นแคปเจอร์ชื่อดัง Andy Serkis มอบเครื่องหมายคำถามให้เช่นเคยว่าฮอลลีวู้ดจะมีสาขารางวัลให้นักแสดงเหล่านี้เมื่อไหร่(?)
เพราะการสวมบทบาทเป็นตัวละครในงานเทคนิคพิเศษไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าการแสดงปกติเลย ไหนจะการแสดงอารมณ์และความคิดผ่านแววตาหรือศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ร่วมด้วยอีก.. ในจุดนี้แล้วไซร้ War for the Planet of the Apes คือหนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2017 ในความเป็นบล็อกบัสเตอร์คุณภาพ ตัวงานมีครบทุกอย่างที่หนังที่ดีควรจะมีทั้ง ไอเดียและการนำเสนอ ชั้นเชิงในการกำกับ บทภาพยนตร์และการเล่าเรื่อง งานโปรดั๊กชั่นและเทคนิคพิเศษ ฉากและโลเคชั่น ความสามารถของนักแสดง บลาบลา.. สรุปเป็นว่าภาพรวมไม่มีองค์ประกอบไหนที่สามารถตำหนิจังจังได้เลย นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ความบันเทิงของผุ้ชมทั่วไปอย่างดี ไม่แปลกที่แฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่จะกรีดร้องพอรุ้ข่าวว่า Matt Reeves จะกำกับ Batman ไม่ต่างกับคอหนังคุณภาพที่อยากดูจนตัวสั่นไปหมดแล้ว ^^
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Escape from the Planet of the Apes (1971) หนีนรกพิภพวานร
Conquest of the Planet of the Apes (1972) มนุษย์วานรตลุยพิภพ
BENEATH THE PLANET OF THE APES (1970) ผจญภัยพิภพวานร
8.2