ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix
บาคาร่า ออนไลน์
สล็อตเว็บตรง

The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง

1 คะแนน

ตัวอย่าง

The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง

The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง

เรื่องย่อ

The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง เบน แอฟเฟล็ก กำกับงานชิ้นที่ 2 ในบทดั๊ก โจรปล้นธนาคารมือฉกาจที่มั่นใจในฝีมือ และ.ไม่เคยห่วงชีวิตใคร จนงานชิ้นหลังสุดที่เขาได้จับแคลร์ พนักงานธนาคารสาวเป็นตัวประกันก่อนปล่อยเธอไป แคลร์มีชีวิตอยู่อย่างหวาดวิตกจนเมื่อได้พบชายที่อบอุ่นคนหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่หารู้ไม่ว่าเขาคือ ดั๊ก โจรร้ายที่เคยจับเธอไป และ.ความรักของคนทั้งสองทำให้พวกเขาต้องเสี่ยงอันตรายมากยิ่งขึ้น

ผู้กำกับ

Ben Affleck

บริษัท ค่ายหนัง

  • Legendary Pictures
  • GK Films
  • Thunder Road Film

นักแสดง

  • Ben Affleck
  • Rebecca Hall
  • Jon Hamm
  • Jeremy Renner
  • Blake Lively
  • Titus Welliver
  • Pete Postlethwaite
  • Chris Cooper

โปสเตอร์หนัง The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง

Prime Video: The Town (2010)

The Town (2010) - IMDb

Prime Video: The Town (2010)

รีวิวหนัง The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง

Nutonline

[รีวิวหนัง] The Town (2010) ก้าวสำคัญของ ‘เบน แอฟเฟล็ก’ ในการกำกับหนังดราม่าอาชญากรรมเจ๋ง ๆ ของยุคใหม่

The Town (2010)

ในยุคที่เรากำลังหาหนังปล้น (heist films) ดี ๆ ดูได้ยากเหลือเกิน ดีในที่นี้หมายถึง แผนการปล้นน่าเชื่อถือ หนังไม่โม้จนเกินไป ถ้าเป็นหนังอาชญากรรมยุคใหม่ก็ต้องบอกว่ามันมีส่วนผสมของดราม่าที่ลงตัว (ช่วงยุค 70 ออกแนวเป็นทริลเลอร์ลุ้นระทึกไม่สนใจดราม่าตัวละครสักเท่าไร) การถือกำเนิดของ The Town จึงนับว่าเป็นการมาถูกที่ถูกเวลา

ย้อนไปถึงหนังปล้นดัง ๆ คลาสสิกตั้งแต่อดีต
Rififi – เป็นหนังอาชญากรรมปล้นร้านเพชรเรื่องแรก ๆ เลยมั้งครับที่ให้ความสำคัญกับตัวละคร นอกจากฉากปล้นสุดคลาสสิกแล้วยังมีการต่อยอดเล่นกับจิตใจมนุษย์ด้วยครับ
The Killing – หนังปล้นสนามม้าของ ‘สแตนลี่ย์ คูบริค’ ส่วนผสมของแผนการปล้นที่น่าเชื่อถือและการกำกับให้คนดูลุ้นชนิดหายใจไม่ทั่วท้องตลอดเวลา!
Dog Day Afternoon – เหตุการณ์จริงของการปล้นธนาคารธรรมดา ๆ ที่กลายเป็นหนังสะท้อนปัญหาอเมริกายุคนั้น
Inside Man – อีกหนึ่งหนังปล้นธนาคารล้ำ ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขายฉากแอ็คชั่น

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Heat ที่อาจจะเรียกว่าเป็นต้นแบบของ The Town ก็ว่าได้

The Town เล่าเรื่องของ ‘ดั๊ก’ (Ben Affleck) หนึ่งในโจรปล้นธนาคารที่เกิดตกหลุมรัก ‘แคลร์’ ผู้จัดการธนาคารที่เขาเคยจับเป็นตัวประกัน และความรักครั้งนี้ก็ทำให้เขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากออกจากเมืองไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง โดยที่มีเขาต้องทิ้งชนักติดหลังทั้งหมด ตั้งแต่ ‘เจมส์’ (Jeremy Renner) เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของเขา และยังเคยติดคุก 9 ปีจากการฆ่าคนที่จะมาทำร้ายเขาอีกด้วย, ‘คริส’ (Blake Lively) น้องสาวของเจมส์ อดีตคนรักของเขาที่มีลูกติดโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก, ไหนจะ ‘สตีเฟน’ (Chris Cooper) พ่อของเขาที่ติดคุกอยู่ในเมืองนี้อีก จนเมื่อเขาพร้อมหันหลังให้เมืองนี้ ‘เฟอร์กี้’ (Pete Postlethwaite) ก็มาพร้อมคำขู่ถึงแฟนสาวเขา เพื่อต้องการให้เขารับงานใหญ่ชิ้นสุดท้าย

เราจะเห็นว่าโครงเรื่องการปล้นธนาคารและต้องการวางมือมันเหมือนกับ Heat ครับ ดำเนินเรื่องด้วยการเปิดหนังด้วยฉากปล้นธนาคารเหมือนกัน จบหนังด้วยฉากปล้นครั้งใหญ่เหมือนกัน (ตัวเอกรอดไปได้เหมือนกันด้วยเนี่ยสิ) ไหนจะต้องดวลฝีปากทันเกมกับ FBI ที่แอบสะกดรอยตามเหมือนกัน (แต่ Heat เด็ดกว่าเยอะ) ที่เหมือนกันอีกก็คือต้องการวางมือหลังจากเจอผู้หญิงที่หลงรัก และยังไม่รวมฉากส่งซิกที่ช่างละม้ายคล้ายกันเสียเหลือเกิน ฮ่าๆๆ

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า The Town แค่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Heat ซึ่งเป็นเรื่องปกติของโลกภาพยนตร์ที่ต้องหยิบยืมงานศิลปะเก่า ๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพราะถ้ามองกันตามตรงแล้วก็ต้องบอกว่า Heat สร้างโครงเรื่องดราม่าของตัวเองได้น่าสนใจทีเดียว

เมื่อดูปมที่มาของ ‘ดั๊ก’ เด็กคนหนึ่งที่โตมาในย่านที่การปล้นธนาคารถูกมองว่าเป็น ‘ไอดอล’ เด็ก ๆ ใฝ่ฝันจะรวยทางลัดแบบนี้กัน แม่ก็หนีหายไป พ่อก็ติดคุก ช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อมีโอกาสได้ดีจากการเป็นนักกีฬาฮ็อกกี้ก็โยนมันทิ้งไป ชีวิตเขาไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกชักชวนให้เข้าสู่วงการอาชญากรรมได้โดยง่าย จนกระทั่งเขาได้เจอ ‘แคลร์’ ที่กลายมาเป็นที่พักใจของเขา เป็นคนที่เขาไว้ใจจะเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง

ต้องขอชมวิธีการเล่าเรื่องปมตัวละคร ‘ดั๊ก’ ด้วยการค่อย ๆ ปอกเปลือกออกมาทีละขั้น ๆ จากการพูดคุยกับ ‘แคลร์’ ในแต่ละครั้ง นับเป็นชั้นเชิงของหนังที่ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ

พูดถึงความเป็นหนัง neo-noir สักหน่อย จริง ๆ ฟิล์มนัวร์นี่เป็นประเภทหนังที่จัดยากเหมือนกันแฮะ ถ้าว่ากันตามธีมเรื่องหมิ่นเหม่ศีลธรรม ทำให้คนดูต้องเอาใจช่วยคนทำผิดและมีผู้หญิงเป็นแรงจูงใจ ผมก็นับว่า The Town มันก็จัดเป็นนัวร์สมัยใหม่ได้อยู่ครับ

ความเป็นนีโอ-นัวร์ หรือนัวร์สมัยใหม่คือการที่หนังสร้างตัวละคร ‘ดั๊ก’ ในรูปแบบ ‘good bad guy’ เราเห็นภาพว่าเขาคือ ‘โจรปล้นธนาคาร’ แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมากนัก เพราะเขาต้องการเพียงเงิน ไม่ได้ต้องการทำร้ายร่างกายใคร นิสัยส่วนตัวก็ดูเป็นคนน่าคบหา แล้วยิ่งเมื่อเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ ‘แคลร์’ ฟัง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจ สภาพแวดล้อมบีบให้เขาไม่มีทางเลือกมากนัก การโตมาโดยไม่มีเสาหลักเป็นที่พึ่ง และการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตอาชีพกีฬาที่ผิดพลาดทำให้เขาเหลือทางเลือกไม่มาก ดังนั้นเมื่อเขาแสดงออกว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ คนดูอย่างเราจึงรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครนี้ให้ทำสำเร็จ

นอกจากนี้หนังยังเล่นประเด็นที่เกี่ยวกับชนักติดหลัง ‘ดั๊ก’ ที่หมิ่นเหม่ต่อการตัดสินคน ๆ หนึ่งว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะการที่เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้น เขาต้องทิ้ง 3 อย่างพร้อม ๆ กันคือ

1. ‘เจมส์’ เขาไม่ได้จะตัดขาดอะไรจากเพื่อนรักที่ดีที่สุดของเขา เพียงแต่เมื่อเพื่อนของเขาอยากให้เขารับงานครั้งสุดท้ายที่มีความเสี่ยง เขายังห่วงเพื่อนเสมอ แต่หนังมาร้ายกาจในฉากสุดท้าย เมื่อเจมส์ที่ครั้งหนึ่งเคยลงมือฆ่าคนที่จะมาทำร้ายดั๊ก จนตัวเองต้องติดคุก 9 ปี กับฉากที่ ‘ดั๊ก’ ได้แต่นิ่งเฉยยืนมองเพื่อนถูกตำรวจไล่ตามจับกุม

2. ‘คริสและลูกไม่มีพ่อ’ หนังพูดถึงตัวละครนี้ค่อนข้างน้อย นอกจากให้คนดูรับรู้แค่ว่าเธอเป็นแฟนเก่าของดั๊ก (พร้อมกับเป็นแฟนคนอื่นอีกหลายคนในเวลาเดียวกัน) แต่เมื่อถึงจุดที่คริสต้องการจะไปจากเมืองด้วย คำตอบของเขากลับเป็น ‘ปฏิเสธ’

3. ‘สตีเฟน’ พ่อแท้ ๆ ที่อยู่ในคุก โอเคว่าตัวละครนี้อาจไม่ใช่ชนักติดหลังที่ร้ายแรงสักเท่าไร แต่การจะไปต่างเมืองย่อมทำให้เขาไม่มีโอกาสเจอพ่อได้ง่าย ๆ เหมือนเดิมแล้ว

และนี่คือ ‘good bad guy’ ที่เรากำลังลุ้นให้เขาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้สำเร็จ

บทหนังในสายตาผมเรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ ‘ดี’ และมีธีมฟิล์มนัวร์อาชญากรรมดราม่าที่เรียกว่า ‘แข็งแรงมาก’ อันเกิดจากการที่หนังโฟกัสไปที่ตัวละครเอกเป็นหลัก ซึ่งผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือตัวละครรองบางตัวไม่ได้รับการสนใจอย่างที่ควร หนังยังมีจุดที่ใช้ความบังเอิญเข้าช่วย เช่นอุบัติเหตุของคริสก่อนฉากปล้นครั้งสุดท้ายที่ทำให้ตำรวจรู้ว่าพวกของดั๊กกำลังจะไปปล้นสนามเบสบอล รวมถึงฉากช่วงท้ายที่ดูจะง่ายเกินไปสักหน่อย

หนังมาพร้อมฉากปล้น 3 ฉากเด็ดที่น่าจดจำ
• เริ่มจากฉากปล้นธนาคารอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวหนัง ซึ่งทำให้เห็นว่าวิธีการของโจรกลุ่มนี้คือมืออาชีพจริง ๆ
• ตามด้วยฉากปล้นรถขนเงินอย่างรวดเร็วอีกเช่นเคย + car chase เล็ก ๆ เพิ่มความน่าตื่นเต้น และปิดท้ายด้วยฉากตลกร้ายที่ตำรวจเบือนหน้าหนีแก๊งโจรที่กำลังขนเงินออกจากรถ!
• ไคลแม็กซ์ของหนังอยู่ที่ฉากปล้นสนามเบสบอลเนี่ยแหละครับ แผนการปล้นที่แอบคิดถึง The Killing ปี 1956 (สนามม้า vs. สนามเบสบอล) ผสมฉากดวลปืนที่ดูแล้วคิดถึง Heat (แต่ Heat ทำออกมาเทพกว่ากันเยอะ) คิดถึงในแง่ที่ว่ามันเป็นฉากดวลปืนที่สมจริง เสียงปืนประกอบสมจริง ยิ่งพวกหูฟังลำโพง 5.1 นี่อิ่มเลยครับ

หลังจาก ‘เบน แอฟเฟล็ก’ พิสูจน์ความสามารถในการทำงานเบื้องหลังของตัวเองใน Gone Baby Gone ผลงานกำกับหนังเรื่องแรกว่าด้วยธีมหนังฟิล์มนัวร์สีเทาที่พร้อมขยี้จิตใจคนดู เขาใช้เวลาอีก 3 ปีเพื่อส่งตรงพิสูจน์กับคนทั้งโลกว่าความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์จากการกำกับหนังเรื่องแรกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะฝีมือของเขา!! และรอบนี้เขาเปลี่ยนจากหนังฟิล์มนัวร์สืบสวนมาทำหนังแอ็คชั่นอาชญากรรมซะด้วย!

เนื่องด้วยรีวิวนี้เขียนหลังจาก Argo ได้ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปแล้ว เลยอยากขอพูดถึงฝีมือกำกับนักแสดงของเขาสักหน่อยว่า เขากำกับหนังแค่ 3 เรื่อง และไม่ใช่หนังที่ไปเชิดฉายบนเวทีออสการ์ แต่นักแสดงของเขาจากหนังทั้ง 3 เรื่องได้เข้าชิงออสการ์การแสดงถึง 3 คน! โอเคว่าเครดิตใหญ่ย่อมอยู่กับนักแสดง แต่การที่เขาดึงศักยภาพออกมาได้ก็ต้องให้เครดิตเขาด้วยเช่นกันครับ
• การเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกและครั้งเดียวของ Amy Ryan จากบทแม่ที่สภาพชีวิตย่ำแย่ออกตามหาลูกสาวใน Gone Baby Gone
• Jeremy Renner เข้าชิงออสการ์ครั้งที่สอง จากบทอันธพาลคาดเดาได้ยากใน The Town
• Alan Arkin จากบทสมทบเป็นโปรดิวเซอร์ในแผนการ Argo

ไหนจะการโชว์ลูกไม้รายละเอียดเล็ก ๆ สอดแทรกภาพสัญลักษณ์ในหนังของเขา เช่นฉากตำรวจเบือนหน้าหนี, ฉากที่แก๊งโจรเพิ่งจะคุมหน้าด้วยหน้ากากแม่ชี แล้วมองออกไปนอกรถมีเด็กน้อยคนหนึ่งมองมายังแก๊งปล้นธนาคาร ซึ่งไปสอดรับกับการเล่าเรื่องวัยเด็กของ ‘ดั๊ก’, การตัดต่อสภาพจิตใจของ ‘แคลร์’ หลังจากโดนปล่อยตัวให้เดินลงน้ำก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งลูกไม้เล็ก ๆ ที่เขาทำออกมาได้ดี และไม่ต้องพูดถึงการคุมสเกลฉากปล้นแต่ละฉากที่ยอดเยี่ยมมาก!

พูดถึงการแสดงกันบ้าง ‘เจเรมี่ เรนเนอร์’ คู่ควรกับรางวัลรองชนะเลิศออสการ์การแสดงสมทบฝ่ายชายปีนั้นมาก ๆ ครับ (รางวัลชนะเลิศปีนั้นต้องยอมให้เบลจาก The Fighter จริง ๆ) เฮียเรนเนอร์แกแสดงได้กุ๊ยมาก ซาถุน ถ่อย ทราม คาดเดาได้ยาก แต่ดูเป็นมิตรรักพวกพ้อง แสดงดีจริง ๆ ครับ เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่ผมชอบด้วย เลือกรับงานช่วงหลังมานี้น่าสนใจดีครับ

ในขณะที่คนที่คู่ควรแก่การยกย่องมากที่สุดผมขอมอบให้ ‘เบน แอฟเฟล็ก’ นักแสดงนำของเรื่องครับ เขาคือผู้เสียสละอย่างแท้จริง แม้เขาจะเป็นตัวเดินเรื่อง บทหนังพูดถึงตัวละครของเขา แต่เขาพร้อมจะทำตัวไม่เด่น กลืนไปกับฉาก ปล่อยให้นักแสดงร่วมฉากได้แสดงกันเต็มที่ บทสมทบแค่ไหนถ้าได้ออกจอร่วมกับเฮียเบนนี่เด่นกันทุกคน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรนเนอร์เอย, รีเบคคา ฮอลล์เอย, คริส คูเปอร์เอย, พีต พอเซิลธ์เวตเอย, แม้กระทั่งเบลค ไลฟ์ลี เด่นกว่าแกหมดเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ย้ำอีกครั้งว่าอยากเห็นเฮียเบนเลิกเล่นหนัง(ของคนอื่น) แล้วมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวสักที!! แล้วจะเล่นหนังของตัวเองบทไหนก็แล้วแต่เฮียเลยครับ!!

Director: Ben Affleck

novel “Prince of Thieves”: Chuck Hogan
Screenplay: Peter Craig, Ben Affleck, Aaron Stockard

Genre: Heist, Crime, Neo-noir, Drama, Action, Thriller
9/10

Form Corleone

หนังเก่าเล่าใหม่ 157: The Town (Ben Affleck, 2010) รีวิวโดย MDC
กระทู้สนทนา
ภาพยนตร์ภาพยนตร์ต่างประเทศภาพยนตร์แอ็คชั่น
หนังเก่าเล่าใหม่ 157: The Town (Ben Affleck, 2010)

The Town เล่าเรื่องของดัค (เบน แอฟเฟล็ก) หัวหน้าแก๊งปล้นธนาคารและแคลร์ (รีเบคคา ฮอลล์) ผู้จัดการธนาคารที่โดนจับเป็นตัวประกัน ดัดเข้าไปสนิทกับแคลร์เพื่อสืบข้อมูลว่าเธอได้บอกอะไรกับเจ้าหน้าที่ FBI แต่ความสนิททำให้ดัดหลงรักแคลร์ ซึ่งแคลร์ไม่รู้ว่าดัดคือหนึ่งในแก๊งปล้นธนาคาร แนวทางของหนังเรื่องนี้จึงอยู่ในหมวดหมู่หนังแนวดราม่าอาชญากรรม ความเข้มข้นของพล็อตเรื่องคือการรอคอยบทสรุปและชะตากรรมของตัวละครแต่ละตัวว่าจะได้รับผลจากการกระทำอย่างไร และเมื่อตัวละครดัคต้องการวางมือจากวงการปล้นธนคารเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนรัก แน่นอนว่า หนทางการกลับตัวกลับใจเป็นคนดีบนเส้นทางนี้นั้นไม่ง่าย หนังพาเราไปเข้าใจตัวละครดัคอย่างค่อยเป็นค่อยไปว่าทำไมเขาถึงเลือกเข้าสู่เส้นทางอาชญากร ด้วยการฉายภาพให้เราเห็นถึงปมในใจและผลกระทบจากปัญหาครอบครัว

อย่างไรก็ดี The Town มีความฉลาดด้วยลูกเล่นของการวางแผนปล้นที่ดูสมจริงและแยบยล รวมถึงแสดงภาพให้เรามีความเห็นอกเห็นใจตัวละครแก๊งปล้นที่มีเป้าหมายแค่เพียงต้องการเงิน ไม่ได้หวังเอาชีวิตใคร ฉากไล่ล่าทั้งการหนีและการตามจับชวนลุ้นระทึก โดยเฉพาะฉากการปล้นครั้งสุดท้ายของหนังที่ทิ้งทวนให้เราเห็นชะตากรรมของตัวละครอย่างน่าเศร้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นสำคัญที่หนังแทรกไว้ผ่านเรื่องราวการปล้น คือสภาพแวดล้อมและสังคมที่บ่มเพาะให้คนชายขอบเลือกกลายเป็นผู้ร้าย ซึ่งการเลือกเป็นผู้ร้ายมันก็ต้องมีผลกระทบต่อชีวิตและนำพาความสูญเสียมากกว่าผลดี…

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ ยิ้ม

หนังโปรดของข้าพเจ้า

The Town (2010)

ในยุคที่เรากำลังหาหนังปล้น (heist films) ดี ๆ ดูได้ยากเหลือเกิน ดีในที่นี้หมายถึง แผนการปล้นน่าเชื่อถือ หนังไม่โม้จนเกินไป ถ้าเป็นหนังอาชญากรรมยุคใหม่ก็ต้องบอกว่ามันมีส่วนผสมของดราม่าที่ลงตัว (ช่วงยุค 70 ออกแนวเป็นทริลเลอร์ลุ้นระทึกไม่สนใจดราม่าตัวละครสักเท่าไร) การถือกำเนิดของ The Town จึงนับว่าเป็นการมาถูกที่ถูกเวลา

ย้อนไปถึงหนังปล้นดัง ๆ คลาสสิกตั้งแต่อดีต
Rififi – เป็นหนังอาชญากรรมปล้นร้านเพชรเรื่องแรก ๆ เลยมั้งครับที่ให้ความสำคัญกับตัวละคร นอกจากฉากปล้นสุดคลาสสิกแล้วยังมีการต่อยอดเล่นกับจิตใจมนุษย์ด้วยครับ
The Killing – หนังปล้นสนามม้าของ ‘สแตนลี่ย์ คูบริค’ ส่วนผสมของแผนการปล้นที่น่าเชื่อถือและการกำกับให้คนดูลุ้นชนิดหายใจไม่ทั่วท้องตลอดเวลา!
Dog Day Afternoon – เหตุการณ์จริงของการปล้นธนาคารธรรมดา ๆ ที่กลายเป็นหนังสะท้อนปัญหาอเมริกายุคนั้น
Inside Man – อีกหนึ่งหนังปล้นธนาคารล้ำ ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขายฉากแอ็คชั่น

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Heat ที่อาจจะเรียกว่าเป็นต้นแบบของ The Town ก็ว่าได้

The Town เล่าเรื่องของ ‘ดั๊ก’ (Ben Affleck) หนึ่งในโจรปล้นธนาคารที่เกิดตกหลุมรัก ‘แคลร์’ ผู้จัดการธนาคารที่เขาเคยจับเป็นตัวประกัน และความรักครั้งนี้ก็ทำให้เขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากออกจากเมืองไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง โดยที่มีเขาต้องทิ้งชนักติดหลังทั้งหมด ตั้งแต่ ‘เจมส์’ (Jeremy Renner) เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของเขา และยังเคยติดคุก 9 ปีจากการฆ่าคนที่จะมาทำร้ายเขาอีกด้วย, ‘คริส’ (Blake Lively) น้องสาวของเจมส์ อดีตคนรักของเขาที่มีลูกติดโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก, ไหนจะ ‘สตีเฟน’ (Chris Cooper) พ่อของเขาที่ติดคุกอยู่ในเมืองนี้อีก จนเมื่อเขาพร้อมหันหลังให้เมืองนี้ ‘เฟอร์กี้’ (Pete Postlethwaite) ก็มาพร้อมคำขู่ถึงแฟนสาวเขา เพื่อต้องการให้เขารับงานใหญ่ชิ้นสุดท้าย

เราจะเห็นว่าโครงเรื่องการปล้นธนาคารและต้องการวางมือมันเหมือนกับ Heat ครับ ดำเนินเรื่องด้วยการเปิดหนังด้วยฉากปล้นธนาคารเหมือนกัน จบหนังด้วยฉากปล้นครั้งใหญ่เหมือนกัน (ตัวเอกรอดไปได้เหมือนกันด้วยเนี่ยสิ) ไหนจะต้องดวลฝีปากทันเกมกับ FBI ที่แอบสะกดรอยตามเหมือนกัน (แต่ Heat เด็ดกว่าเยอะ) ที่เหมือนกันอีกก็คือต้องการวางมือหลังจากเจอผู้หญิงที่หลงรัก และยังไม่รวมฉากส่งซิกที่ช่างละม้ายคล้ายกันเสียเหลือเกิน ฮ่าๆๆ

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า The Town แค่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Heat ซึ่งเป็นเรื่องปกติของโลกภาพยนตร์ที่ต้องหยิบยืมงานศิลปะเก่า ๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพราะถ้ามองกันตามตรงแล้วก็ต้องบอกว่า Heat สร้างโครงเรื่องดราม่าของตัวเองได้น่าสนใจทีเดียว

เมื่อดูปมที่มาของ ‘ดั๊ก’ เด็กคนหนึ่งที่โตมาในย่านที่การปล้นธนาคารถูกมองว่าเป็น ‘ไอดอล’ เด็ก ๆ ใฝ่ฝันจะรวยทางลัดแบบนี้กัน แม่ก็หนีหายไป พ่อก็ติดคุก ช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อมีโอกาสได้ดีจากการเป็นนักกีฬาฮ็อกกี้ก็โยนมันทิ้งไป ชีวิตเขาไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกชักชวนให้เข้าสู่วงการอาชญากรรมได้โดยง่าย จนกระทั่งเขาได้เจอ ‘แคลร์’ ที่กลายมาเป็นที่พักใจของเขา เป็นคนที่เขาไว้ใจจะเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง

ต้องขอชมวิธีการเล่าเรื่องปมตัวละคร ‘ดั๊ก’ ด้วยการค่อย ๆ ปอกเปลือกออกมาทีละขั้น ๆ จากการพูดคุยกับ ‘แคลร์’ ในแต่ละครั้ง นับเป็นชั้นเชิงของหนังที่ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ

พูดถึงความเป็นหนัง neo-noir สักหน่อย จริง ๆ ฟิล์มนัวร์นี่เป็นประเภทหนังที่จัดยากเหมือนกันแฮะ ถ้าว่ากันตามธีมเรื่องหมิ่นเหม่ศีลธรรม ทำให้คนดูต้องเอาใจช่วยคนทำผิดและมีผู้หญิงเป็นแรงจูงใจ ผมก็นับว่า The Town มันก็จัดเป็นนัวร์สมัยใหม่ได้อยู่ครับ

ความเป็นนีโอ-นัวร์ หรือนัวร์สมัยใหม่คือการที่หนังสร้างตัวละคร ‘ดั๊ก’ ในรูปแบบ ‘good bad guy’ เราเห็นภาพว่าเขาคือ ‘โจรปล้นธนาคาร’ แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมากนัก เพราะเขาต้องการเพียงเงิน ไม่ได้ต้องการทำร้ายร่างกายใคร นิสัยส่วนตัวก็ดูเป็นคนน่าคบหา แล้วยิ่งเมื่อเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ ‘แคลร์’ ฟัง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจ สภาพแวดล้อมบีบให้เขาไม่มีทางเลือกมากนัก การโตมาโดยไม่มีเสาหลักเป็นที่พึ่ง และการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตอาชีพกีฬาที่ผิดพลาดทำให้เขาเหลือทางเลือกไม่มาก ดังนั้นเมื่อเขาแสดงออกว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ คนดูอย่างเราจึงรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครนี้ให้ทำสำเร็จ

นอกจากนี้หนังยังเล่นประเด็นที่เกี่ยวกับชนักติดหลัง ‘ดั๊ก’ ที่หมิ่นเหม่ต่อการตัดสินคน ๆ หนึ่งว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะการที่เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้น เขาต้องทิ้ง 3 อย่างพร้อม ๆ กันคือ
1. ‘เจมส์’ เขาไม่ได้จะตัดขาดอะไรจากเพื่อนรักที่ดีที่สุดของเขา เพียงแต่เมื่อเพื่อนของเขาอยากให้เขารับงานครั้งสุดท้ายที่มีความเสี่ยง เขายังห่วงเพื่อนเสมอ แต่หนังมาร้ายกาจในฉากสุดท้าย เมื่อเจมส์ที่ครั้งหนึ่งเคยลงมือฆ่าคนที่จะมาทำร้ายดั๊ก จนตัวเองต้องติดคุก 9 ปี กับฉากที่ ‘ดั๊ก’ ได้แต่นิ่งเฉยยืนมองเพื่อนถูกตำรวจไล่ตามจับกุม
2. ‘คริสและลูกไม่มีพ่อ’ หนังพูดถึงตัวละครนี้ค่อนข้างน้อย นอกจากให้คนดูรับรู้แค่ว่าเธอเป็นแฟนเก่าของดั๊ก (พร้อมกับเป็นแฟนคนอื่นอีกหลายคนในเวลาเดียวกัน) แต่เมื่อถึงจุดที่คริสต้องการจะไปจากเมืองด้วย คำตอบของเขากลับเป็น ‘ปฏิเสธ’
3. ‘สตีเฟน’ พ่อแท้ ๆ ที่อยู่ในคุก โอเคว่าตัวละครนี้อาจไม่ใช่ชนักติดหลังที่ร้ายแรงสักเท่าไร แต่การจะไปต่างเมืองย่อมทำให้เขาไม่มีโอกาสเจอพ่อได้ง่าย ๆ เหมือนเดิมแล้ว

และนี่คือ ‘good bad guy’ ที่เรากำลังลุ้นให้เขาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้สำเร็จ

บทหนังในสายตาผมเรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ ‘ดี’ และมีธีมฟิล์มนัวร์อาชญากรรมดราม่าที่เรียกว่า ‘แข็งแรงมาก’ อันเกิดจากการที่หนังโฟกัสไปที่ตัวละครเอกเป็นหลัก ซึ่งผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือตัวละครรองบางตัวไม่ได้รับการสนใจอย่างที่ควร หนังยังมีจุดที่ใช้ความบังเอิญเข้าช่วย เช่นอุบัติเหตุของคริสก่อนฉากปล้นครั้งสุดท้ายที่ทำให้ตำรวจรู้ว่าพวกของดั๊กกำลังจะไปปล้นสนามเบสบอล รวมถึงฉากช่วงท้ายที่ดูจะง่ายเกินไปสักหน่อย

หนังมาพร้อมฉากปล้น 3 ฉากเด็ดที่น่าจดจำ
• เริ่มจากฉากปล้นธนาคารอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวหนัง ซึ่งทำให้เห็นว่าวิธีการของโจรกลุ่มนี้คือมืออาชีพจริง ๆ
• ตามด้วยฉากปล้นรถขนเงินอย่างรวดเร็วอีกเช่นเคย + car chase เล็ก ๆ เพิ่มความน่าตื่นเต้น และปิดท้ายด้วยฉากตลกร้ายที่ตำรวจเบือนหน้าหนีแก๊งโจรที่กำลังขนเงินออกจากรถ!
• ไคลแม็กซ์ของหนังอยู่ที่ฉากปล้นสนามเบสบอลเนี่ยแหละครับ แผนการปล้นที่แอบคิดถึง The Killing ปี 1956 (สนามม้า vs. สนามเบสบอล) ผสมฉากดวลปืนที่ดูแล้วคิดถึง Heat (แต่ Heat ทำออกมาเทพกว่ากันเยอะ) คิดถึงในแง่ที่ว่ามันเป็นฉากดวลปืนที่สมจริง เสียงปืนประกอบสมจริง ยิ่งพวกหูฟังลำโพง 5.1 นี่อิ่มเลยครับ

หลังจาก ‘เบน แอฟเฟล็ก’ พิสูจน์ความสามารถในการทำงานเบื้องหลังของตัวเองใน Gone Baby Gone ผลงานกำกับหนังเรื่องแรกว่าด้วยธีมหนังฟิล์มนัวร์สีเทาที่พร้อมขยี้จิตใจคนดู เขาใช้เวลาอีก 3 ปีเพื่อส่งตรงพิสูจน์กับคนทั้งโลกว่าความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์จากการกำกับหนังเรื่องแรกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะฝีมือของเขา!! และรอบนี้เขาเปลี่ยนจากหนังฟิล์มนัวร์สืบสวนมาทำหนังแอ็คชั่นอาชญากรรมซะด้วย!

เนื่องด้วยรีวิวนี้เขียนหลังจาก Argo ได้ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปแล้ว เลยอยากขอพูดถึงฝีมือกำกับนักแสดงของเขาสักหน่อยว่า เขากำกับหนังแค่ 3 เรื่อง และไม่ใช่หนังที่ไปเชิดฉายบนเวทีออสการ์ แต่นักแสดงของเขาจากหนังทั้ง 3 เรื่องได้เข้าชิงออสการ์การแสดงถึง 3 คน! โอเคว่าเครดิตใหญ่ย่อมอยู่กับนักแสดง แต่การที่เขาดึงศักยภาพออกมาได้ก็ต้องให้เครดิตเขาด้วยเช่นกันครับ
• การเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกและครั้งเดียวของ Amy Ryan จากบทแม่ที่สภาพชีวิตย่ำแย่ออกตามหาลูกสาวใน Gone Baby Gone
• Jeremy Renner เข้าชิงออสการ์ครั้งที่สอง จากบทอันธพาลคาดเดาได้ยากใน The Town
• Alan Arkin จากบทสมทบเป็นโปรดิวเซอร์ในแผนการ Argo

ไหนจะการโชว์ลูกไม้รายละเอียดเล็ก ๆ สอดแทรกภาพสัญลักษณ์ในหนังของเขา เช่นฉากตำรวจเบือนหน้าหนี, ฉากที่แก๊งโจรเพิ่งจะคุมหน้าด้วยหน้ากากแม่ชี แล้วมองออกไปนอกรถมีเด็กน้อยคนหนึ่งมองมายังแก๊งปล้นธนาคาร ซึ่งไปสอดรับกับการเล่าเรื่องวัยเด็กของ ‘ดั๊ก’, การตัดต่อสภาพจิตใจของ ‘แคลร์’ หลังจากโดนปล่อยตัวให้เดินลงน้ำก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งลูกไม้เล็ก ๆ ที่เขาทำออกมาได้ดี และไม่ต้องพูดถึงการคุมสเกลฉากปล้นแต่ละฉากที่ยอดเยี่ยมมาก!

พูดถึงการแสดงกันบ้าง ‘เจเรมี่ เรนเนอร์’ คู่ควรกับรางวัลรองชนะเลิศออสการ์การแสดงสมทบฝ่ายชายปีนั้นมาก ๆ ครับ (รางวัลชนะเลิศปีนั้นต้องยอมให้เบลจาก The Fighter จริง ๆ) เฮียเรนเนอร์แกแสดงได้กุ๊ยมาก สถุล ถ่อย ทราม คาดเดาได้ยาก แต่ดูเป็นมิตรรักพวกพ้อง แสดงดีจริง ๆ ครับ เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่ผมชอบด้วย เลือกรับงานช่วงหลังมานี้น่าสนใจดีครับ

ในขณะที่คนที่คู่ควรแก่การยกย่องมากที่สุดผมขอมอบให้ ‘เบน แอฟเฟล็ก’ นักแสดงนำของเรื่องครับ เขาคือผู้เสียสละอย่างแท้จริง แม้เขาจะเป็นตัวเดินเรื่อง บทหนังพูดถึงตัวละครของเขา แต่เขาพร้อมจะทำตัวไม่เด่น กลืนไปกับฉาก ปล่อยให้นักแสดงร่วมฉากได้แสดงกันเต็มที่ บทสมทบแค่ไหนถ้าได้ออกจอร่วมกับเฮียเบนนี่เด่นกันทุกคน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรนเนอร์เอย, รีเบคคา ฮอลล์เอย, คริส คูเปอร์เอย, พีต พอเซิลธ์เวตเอย, แม้กระทั่งเบลค ไลฟ์ลี เด่นกว่าแกหมดเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ย้ำอีกครั้งว่าอยากเห็นเฮียเบนเลิกเล่นหนัง(ของคนอื่น) แล้วมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวสักที!! แล้วจะเล่นหนังของตัวเองบทไหนก็แล้วแต่เฮียเลยครับ!!

Director: Ben Affleck
novel “Prince of Thieves”: Chuck Hogan
Screenplay: Peter Craig, Ben Affleck, Aaron Stockard

Genre: Heist, Crime, Neo-noir, Drama, Action, Thriller
9/10

ดูหนัง ออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

The Equalizer 2 (2018) มัจจุราชไร้เงา 2

The Equalizer (2014) มัจจุราชไร้เงา

Man On Fire (2004) คนจริงเผาแค้น

Jason Bourne (2016) ยอดจารชนคนอันตราย

The Bourne Ultimatum (2007) ปิดเกมล่าจารชน คนอันตราย

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่