The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก
เรื่องย่อ
The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก ภาพยนตร์ดัดแปลงจากผลงานนวนิยาย ค.ศ. 1995 ในชื่อ เดอะเพรสทิจ ของคริสโตเฟอร์ พริสท์ โดยเรื่องราวกล่าวถึง โรเบิร์ต แองกิเออร์ และ อัลเฟรด บอร์เดน สองคู่แข่งนักมายากลเวทีในกรุงลอนดอนช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่ถูกครอบงำจิตใจจากความต้องการที่จะสร้างมายากลเวทีที่ดีที่สุด พวกเขาได้ร่วมแข่งขันกันโดยสูญเสียความเป็นมนุษย์และก่อให้เกิดผลลัพธ์อันน่าเศร้า ศึกมายากลหยุดโลก พากย์ไทย เรื่องราวอันลึกลับของสองนักมายากล ในการแข่งขันอันดุเดือดที่นำพาพวกเขาไปสู่การต่อสู้ตลอดชีวิต เพื่อการเอาชนะที่เต็มไปด้วยการครอบงำ หลอกลวง และอิจฉาริษยา กับภยันตรายและมหันตภัยที่ตามมา The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก นับตั้งแต่ที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก เมื่อครั้งเป็นนักมายากลหนุ่มที่กำลังไต่อันดับ โรเบิร์ต แองกิเออร์ และ อัลเฟรด บอร์เดน ได้เป็นคู่แข่งกัน อย่างไรก็ดี การแข่งขันฉันท์มิตรของพวกเขาได้กลายเป็นการต่อสู้อันขมขื่น ทำให้ทั้งสองกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่หมายเอาชีวิต และในเวลาต่อมาก็ยังเป็นอันตรายต่อทุกคนๆที่อยู่รอบตัวพวกเขา ด้วยเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการหักมุม
ผู้กำกับ
Christopher Nolan
บริษัท ค่ายหนัง
Touchstone Pictures
นักแสดง
- Hugh Jackman
- Christian Bale
- Michael Caine
- Piper Perabo
- Rebecca Hall
- Scarlett Johansson
โปสเตอร์หนัง
รีวิว pantip
The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก มีโอกาสได้ดูเรื่องนี้ไม่นาน แต่ยอมรับว่าเป็นหนังสนุกมากเพราะหนังหยิบความเป็นหนังมายากล กลยุทธ์สร้างภาพมายาหลอกลวง ผสมผสานกับความอยากรู้อยากเห็น หนัง Nolan แทบทุกเรื่องมีลูกเล่นให้ดูได้คิดตามปั่นป่วนผู้ชมตลอดเวลา และเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นพล็อตล้างแค้นเชือดเฉือนกันของนักมายากล ที่อิจฉาความดังของอีกฝ่ายและหาทางเล่นงานสกัดแข้งสกัดขาไปให้พ้นทางพอดูไปเรื่อยๆมันทำให้เราเห็นว่านักมายากล 2 คน แข่งขันกันจนไม่แน่ใจว่าอยากแก้แค้น หรือลุ่มหลงกันแน่ เพราะหลายครั้งพวกเขามีความหลังที่เลวร้ายต่อกัน จากมิตรกลายเป็นศัตรูและสร้างตราบาปให้อีกฝ่าย แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือคนรอบข้างได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ความอยากจะเล่นงานอีกฝ่าย แก้แค้นแก้เผ็ดประจานแฉอีกฝ่ายมันเลยทำให้ตัวละครวนเวียนอยู่ในวงจรนี้แบบไม่มีที่สิ้นสุด คนหนึ่งเครียดแค้นฝั่งอยู่กับความทรมาน อีกคนก็แยกไม่ออกว่าอะไรคือความจริงหรือเรื่องหลอก
หนังซุกซ่อนปมปริศนาได้เก่งมากๆ Nolan มีงบสร้างหนังเรื่องนี้ไม่เยอะ แต่ทำบทได้สนุกแยบยล The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก แต่เล่าเรื่องแล้วเข้าใจง่าย ไต่เรื่องราวของ 2 ตัวจากดีเป็นร้ายมิติของหนังยังคงมีอยู่ บทพูดของหนังมันคือการเฉลยเรื่องราวคือต้องสังเกตุดีๆเพราะ อีกจุดที่ชอบคือการใส่นักวิทยาศาสตร์อย่าง Tesla ลงไป คือบทเลือกจะยกย่องตัวละครนี้ ถึงขีดความสามารถในการประดิษฐ์สิ่งของที่ล้ำสมัย ความเก่งกาจของ Nolan คือตัวละครออกมากออกน้อย มีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำให้หนังอยู่เสมอ คนที่ยกย่อง Now You See Me แนะนำว่าควรหาเรื่องนี้มาดูมันเป็นหนังมายากลที่ค่อนข้างจะครบเครื่อง มันตอบโจทย์ความบันเทิงลำดับต้นๆเป็นงาน Masterpierce ที่แฟนเดนตายของ Nolan ต้องดูสักครั้ง
The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก ครบรอบ 15 ปี The Prestige: ศึกศักดิ์ศรีแห่งมายากล
.
องก์ที่ 1 คำปฏิญาณ: นักมายากลนำสิ่งของธรรมดาออกมา แต่มันอาจไม่ธรรมดาอย่างตาเห็น
.
ย้อนไปในปี 1999 หลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำ Memento (2000) หมาดๆ คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ได้รู้จักกับหนังสือชื่อ The Prestige ว่าด้วยการชิงดีชิงเด่นระหว่างนักมายากลสองคนในศตวรรษที่ 19 จากการแนะนำของโปรดิวเซอร์รายหนึ่ง นี่คือเรื่องปกติของผู้กำกับคลื่นลูกใหม่แววดีที่ใครๆ คอยส่งวัตถุดิบให้พิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกปล่อยให้สุมอยู่บนกอง เว้นแต่เรื่องนี้เตะตาโนแลนอย่างจัง นานๆ ครั้งที่เขาจะรู้สึกถูกจริต ไม่ยี่หระว่ากรรมวิธีดัดแปลงอาจซับซ้อนหนักหนา
.
“ตอนนั้นเรายังเด็กและโง่เขลา” เขากล่าว “ผมกำลังรุ่งกับ Memento กำลังหลงระเริงที่เอาไอเดียบ้าๆ จากน้องชายมาเขียนบทหนัง แถมเล่าแบบย้อนกลับ ก็เลยรู้สึกว่าไม่กลัวอะไรแล้ว ทีนี้จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
.
กระทั่งเข้าสู่ปี 2000 อันเป็นช่วงเวลาของการเดินสายโปรโมต Memento โนแลนตัดสินใจเอ่ยปากชักชวน โจนาธาน ผู้เป็นน้องชายให้มาร่วมด้วยในตำแหน่งเขียนบทเมื่อตระหนักว่างานนี้จำเป็นต้องอาศัยจินตนาการอันโลดแล่น และแน่นอน โนแลนคนน้องคล้อยตามหลังจากได้ฟังพี่ชายสาธยายเรื่องราวอยู่เป็นนาน แถมเป็นการเล่าแบบสลับเหตุการณ์ไปมา
.
“นี่ครั้งแรกเลยที่ผมเขียนบทหนังดัดแปลง” โจนาธานเผย “แล้วมันก็ยากจริง ผมเคยคิดว่าจะเจอคู่มืออธิบายกฎตายตัวของการเขียนบทหนังดัดแปลง แต่มันไม่มีให้หรอกนอกจากต้องคิดหาทางเอาเอง”
.
กลายเป็นเวลากว่าห้าปีที่สองพี่น้องโนแลนหน้าดำคร่ำเครียดกับการปั้นบทเรื่องนี้ The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก เขียนขึ้นและแก้ใหม่นับครั้งไม่ถ้วน จนแม้แต่งานมาทีหลังอย่าง Insomnia (2002) กับ Batman Begins (2005) ชิงสำเร็จลุล่วงไปก่อน กระนั้น พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้และมองเป็นโอกาสถ่ายเทความพิถีพิถัน คล้ายเป็นความหมกมุ่นที่จำเป็นต้องมีสำหรับงานนี้ ยิ่งมีเวลา พวกเขายิ่งขุดลึกลงไปจนทะลุถึงใจกลางกล่องปริศนาแล้วต่อประกอบมันใหม่ด้วยกลไกหลายชั้นกว่า
.
จนในที่สุด การขับเคี่ยวระหว่าง อัลเฟรด บอร์เดน กับ โรเบิร์ต แองเจียร์ ก็พร้อมเนรมิตเป็นรูปเป็นร่าง โนแลนรีบรวบรวมทีมนักแสดงอย่างไม่รอช้า แม้ไม่เคยจินตนาการถึงใบหน้าของใครยามเขียนบท แต่เมื่อถึงคราวพิจารณา ตัวละครต่างๆ ก็ดูจะมีรูปทรงรับกับนักแสดงคนนั้นๆ พอดิบพอดี และขณะที่ผู้คนเข้าใจว่า คริสเตียน เบล กับ ไมเคิล เคน ได้ติดสอยห้อยตามมาก่อนใครจากการประเดิมถูกชะตาใน Batman Begins คนแรกจริงๆ ที่ได้รับการทาบทามคือ ฮิวจ์ แจ็คแมน
.
“ตอนผมได้พบกับคริส เขายังไม่แคสต์ใครสักคน” แจ็คแมนนึกย้อน “เอเย่นต์ผมเชียร์ให้เล่นเป็นบอร์เดนซึ่งว่างอยู่ แล้วพอมีช่องได้เว้นวรรคจากการถ่าย X-Men 3 ผมก็เดินทางไปคุย จะให้เล่นบทไหนก็ยินดีทั้งนั้น แต่ในเมื่อเขาถามว่าอยากเลือกบทไหน ผมเลยตอบว่าแองเจียร์ มันดูเหมาะกับผมมากกว่า ส่วนคริสเตียนก็สมควรเล่นเป็นบอร์เดนจริงๆ”
.
ทั้งสองตัวละครคือสองด้านของเหรียญ เริ่มจากการเป็นนักมายากลแววดีก่อนจะแสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญคนละด้าน บอร์เดนเป็นอัจฉริยะในการคิดค้นกล ส่วนแองเจียร์เป็นเลิศในฐานะโชว์แมนผู้นำเสนอความตื่นตา ซึ่งต่างสะท้อนคุณสมบัติของนักแสดงเจ้าของบทอยู่กลายๆ
.
“ผมเข้าถึงบอร์เดนได้ง่ายเพราะบุคลิกเขาออกเก้ๆ กังๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนดู” เบลอธิบาย “มันทางผมชัดๆ เพราะผมแทบไม่เคยเล่นละครเวทีซึ่งเป็นสิ่งที่ฮิวจ์ถนัดมาก มันเหมือนเป็นรังเหย้าของเขาเอง”
.
รูปแบบการแคสติ้งบทหลักๆ The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก เป็นเช่นนี้เรื่อยไป โนแลนมองเห็นเองว่าใครเหมาะสม เช่น เซอร์ ไมเคิล เคน ในบทคัตเตอร์, แอนดี้ เซอร์คิส ในบทอัลลีย์, ไพเพอร์ เพอราโบ ในบทภรรยาของแองเจียร์ และ สการ์เลตต์ โจฮานส์สัน ในบทโอลิเวีย กระนั้น ก็มีบ้างที่เหนือความคาดหมาย สำหรับการจำลองยุควิคตอเรียนซึ่งผู้ชายเป็นฝ่ายมีอิทธิพล ตัดสินใจ ออกคำสั่ง โนแลนก็สามารถแทรกตัวละครหญิงที่แสดงความขัดขืนด้วยอารมณ์อันรุนแรงผ่านบทซาราห์ ภรรยาของบอร์เดน
.
“เหลือเชื่อมากๆ ฉันแค่ส่งเทปออดิชั่นที่ถ่ายด้วยกล้องวิดีโอของเพื่อน แถมถ่ายในห้องเช่าโทรมๆ ในลอนดอนของตัวเองหลังเพิ่งเรียนจบปริญญา” รีเบ็คก้า ฮอลล์ บรรยาย งานนี้แทบจะเป็นหนังเรื่องแรกของเธอ ประสบการณ์ ชื่อเสียงมีเพียงน้อยนิด แต่เธอก็ถูกเรียกตัวไปเพื่อประเมินเคมีคู่กับเบล ผลลัพธ์ยิ่งกว่าฉลุย จากนั้นโนแลนให้เธอเล่นซีนอารมณ์หนักๆ แบบด้นสด “ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” รีเบ็คก้าคิดแค่นั้นแล้วจัดเต็ม รู้ตัวอีกทีก็ได้ลัดฟ้าไปอยู่ในลอสแอนเจลิสนานสี่เดือน
.
อย่างไรก็ตาม ขณะที่การรวบรวมนักแสดงราบรื่นดีเป็นส่วนใหญ่ โนแลนต้องมาชะงักกับการแคสต์บท นิโคลา เทสลา ซึ่งไม่ใช่ในแง่ที่เฟ้นหายาก กลับกัน เขามีเพียงตัวเลือกเดียวในใจ ทว่าตัวเลือกเดียวนั้นไม่ยอมตกลงโดยง่าย เพราะคนที่โนแลนต้องการคือ เดวิด โบวี
.
“เราตระหนักกันแต่แรกว่าบทเทสลาต้องเป็นคนที่เหมือนมาจากโลกอื่น” โนแลนกล่าว “ผมจึงมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเทสลากับโบวี นี่คือคนเดียวที่เล่นบทนี้ได้ โบวีดูน่าเกรงขาม แผ่รังสีความลึกลับ ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะโน้มน้าวเขาสำเร็จ นี่เป็นครั้งเดียวจริงๆ ที่ผมต้องตามตื๊อนักแสดงที่เคยตอบปฏิเสธผมไปแล้ว”
ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ไซไฟสุดลึกลับ ผลงานการกำกับของ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก ผู้กำกับที่ทำให้คนทั้งโลกต้องตะลึงกับ Memento (2000) , The Dark Knight (2008) , Inception (2010) , Interstellar (2014) และ Oppenheimer (2023)
โดย “ศึกมายากลหยุดโลก” จะเล่าเรื่องราวของสองนักมายากลที่มีจุดเริ่มต้นในที่เดียวกัน แต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ทำให้เขาทั้งสองกลายเป็นศัตรูที่จะคอยทำลายกลของแต่ละฝ่าย
นอกจากจะได้ชื่อผู้กำกับชื่อดัง ยังได้นักแสดงซูเปอร์ฮีโร่ในอนาคตมาอีกถึงสาม เริ่มตั้งแต่ ฮิวจ์ แจ็คแมน อดีตเจ้าของบทโลแกนในตำนาน หรือจะเป็นคริสเตียน เบล กับแบทแมนที่โคตรดาร์ก และสการ์เล็ต โจแฮนสัน สาวสวยแห่งมาร์เวล แต่ที่ขาดไม่ได้ในหนังของโนแลนก็คือพี่ไมเคิล เคน ขาประจำที่มาเกือบทุกเรื่อง
แค่เห็นชื่อผู้กำกับและนักแสดงก็คุ้มค่ากับการเสียเวลาดู แต่แค่นั้นยังน้อยไป เพราะหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นตรงบทภาพยนตร์ที่ซับซ้อนซ่อนปมเดายาก ที่มาพร้อมกับการดำเนินเรื่องสไตล์โนแลน ที่จะตัดสลับเนื้อเรื่องไปมาให้ผู้ชมอย่างเราได้เรียบเรียงเรื่องราวด้วยตัวเอง
ที่เรากล่าวว่ามันเป็นหนังมายากลตลอดกาลก็คงไม่เกินจริงนัก เมื่อหนังมีบทสรุปที่เล่นใหญ่และช็อกไปตามๆกัน ใครที่ชอบโนแลนหรือชอบหนังสไตล์นี้คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!
ฉันจะไม่บอกว่านี่เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก แต่มันถูกฝังกลบด้วยมรดกของภาพยนตร์ “ยอดนิยม” เรื่องอื่นๆ ของโนแลน สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ โนแลนได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างภาพยนตร์ที่เน้นเรื่องเมตาซีนอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่ฉันชอบมากที่สุด รองจาก “Memento” (2000) เช่นเดียวกับที่คุณสามารถเชื่อมโยงธีมของความทรงจำและการตีความที่แสดงในเรื่องราวของ “Memento” กับประสบการณ์จริงที่เรามีขณะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เราสามารถเชื่อมโยงสามฉากของกลเม็ดมายากลที่เล่าในเรื่องราวกับภาพยนตร์เรื่องนี้เองได้ ดังที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวไว้ การเปิดเผยในฉากสุดท้ายของกลเม็ดมายากลเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ในความเป็นจริง ภาพยนตร์ทั้งเรื่องสามารถเชื่อมโยงได้
อย่างแปลกประหลาดกับกลเม็ดมายากล เป็นภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่ให้ความรู้สึกธรรมดาจนกว่าจะมีจุดพลิกผันที่สำคัญทำให้มันยอดเยี่ยม เมื่อพูดถึงประสบการณ์การชมภาพยนตร์แล้ว นี่เป็นภาพยนตร์สไตล์โนแลนทั่วไป มีเส้นเวลาที่ไม่ต่อเนื่องเพื่อเสริมการเล่าเรื่อง แต่ไม่เหมือนภาพยนตร์ส่วนใหญ่ของเขา เรื่องนี้ทำขึ้นอย่างมีศิลปะมากกว่าการเปิดเผยที่น่าตื่นเต้นเพียงอย่างเดียว นี่อาจเป็นภาพยนตร์ที่ไทม์ไลน์ที่ขาดๆ หายๆ ของโนแลนช่วยเสริมการเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด เช่นเดียวกับภาพยนตร์ส่วนใหญ่ เขามุ่งเน้นไปที่ธีมเดียว ซึ่งในที่นี้คือความหลงใหล ความหลงใหลของโรเบิร์ต แองเจียร์คือสิ่งที่ขับเคลื่อนโครงเรื่องของภาพยนตร์ และได้รับการพิสูจน์แล้ว และไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งตัวเอกและตัวร้าย การพัฒนาตัวละครทำได้อย่างราบรื่นจนเราเห็นตัวเอกกลายเป็นตัวร้าย
ในขณะที่ตัวร้ายยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าเราจะไม่ได้ “แลกเปลี่ยน” ระหว่างตัวร้ายและตัวเอกอย่างเต็มที่ แต่เมื่อภาพยนตร์ดำเนินไป ตัวเอกกลับรู้สึก “ผิด” มากกว่าตัวร้าย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากที่ภาพยนตร์จะทำได้ อัลเฟรด บอร์ดอนเป็นหนึ่งในตัวละครที่ “ซับซ้อน” The Prestige (2006) ศึกมายากลหยุดโลก ที่สุดที่ฉันเคยเห็น เขารู้สึกเหมือนเป็นไอ้สารเลวตลอดทั้งเรื่อง และมีหลายฉากที่ช่วยสร้างความรู้สึกนี้ให้ผู้ชม จนกระทั่งเราได้รู้จักตัวละครของเขาในบทที่สาม มันไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนดีจากการกระทำที่ผิดของเขา แต่เขากลับได้รับการเคารพนับถือจากความทุ่มเทของเขาในฐานะนักมายากล พล็อตเรื่องทั้งหมดของเทสลาอาจดูเหมือนเป็นกลไกพล็อตที่สะดวก แต่เทสลาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ลือกันว่าสามารถเดินทางข้ามเวลาได้ ดังนั้น นั่นจึงค่อนข้างสมเหตุสมผล ฮิวจ์ แจ็คแมนแสดงได้ดีมาก
นี่คงเป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเขาจากเรื่อง “Prisoners” (2013) และ “Logan” (2017) เขาแสดงได้ไม่ตรงกับบุคลิกของวูล์ฟเวอรีนในที่สาธารณะเลย ในความคิดของฉัน เขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับวูล์ฟเวอรีน แต่การที่ทำให้เขานึกถึงวูล์ฟเวอรีนทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวบนหน้าจอนั้นไม่น่ารักเลย เขาไม่ได้ทำให้ฉันนึกถึงวูล์ฟเวอรีนเลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะเป็นคริสเตียน เบล เขาแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก คุณแทบจะไม่เห็นแม้แต่คำใบ้ถึงความซับซ้อนของตัวละครที่เขากำลังแสดง หลังจากเปิดเผยแล้ว ในการดูครั้งที่สอง คุณจะเริ่มสังเกตเห็นเนื้อหาและการตีความจริง ๆ ของฉากนั้น ๆ โดยรวมแล้ว เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมาก ความหมกมุ่นเป็นธีมหลัก การใช้ไทม์ไลน์ที่ขาดตอนในการเล่าเรื่อง และการเปิดเผยจุดพลิกผันในตอนท้าย ยอดเยี่ยมมาก ได้รับคะแนนพิเศษ “10/10” และ “A+”
7.1