ดูหนัง ออนไลน์ The Outpost (2020) ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย เต็มเรื่อง
ดูหนัง ออนไลน์ The Outpost เต็มเรื่อง ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์จริง ทีมทหารสหรัฐประจำการที่ด่านที่อันตรายที่สุดในอัฟกานิสถานถูกโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งโดยกองกำลังของกลุ่มก่อการร้ายตอลิบาน การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของพวกเขาคือการแสดงที่กล้าหาญที่สุดของชาวอเมริกัน
พวกเรากำลังจะได้มองอีกหนึ่งหนังที่อิงมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ทำการทางด้านการทหารที่ถูกจารึกไว้ภายในประวัติศาสตร์กับการต่อสู้กับองค์การก่อการร้าย กับฐานปฏิบัติการที่เสียเปรียบในเชิงที่มีความสำคัญในการรบ ที่ถูกตั้งชื่อนางแฝงและก็เรียกว่า “ปากหลุมแดนนรก” ภารกิจที่จำต้องตัวรอดจากการเช็ดกลุมร้อมของทหารกล้า 54 นาย ถึงได้เริ่มขึ้นใน “The Outpost ฝ่ายุทธภูเขาไม่ล้อมตาย”
ผลงานการควบคุมหนังเรื่องปัจจุบันของ “ร็อด ลูปรี่” ที่หวนมาฝ่างานหนังใหญ่อีกที ภายหลังที่เปลี่ยนทิศทางหันไปเอาดีกับงานด้านทีวีมากยิ่งกว่า ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขมาจากหนังสือเชิงสารคดีของ “เจค แท็ปเปอร์” หนชื่อว่า ‘The Outpost : An Untold Story of American Valor’ ที่อ้างอิงมาจากบันทึกรวมทั้งสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในฐานปฏบัว่ากล่าวการด้านทหารของกองกองทัพสหรัฐอเมริกา
เรื่องย่อ ดูหนังออนไลน์ The Outpost (2020) ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย
The Outpost เกิดเรื่องราวของข้าราชการทหารกองทัพสหรัฐอเมริกา กรุ๊ปเล็กๆกรุ๊ปหนึ่งที่จำต้องทำงานอยู่ที่ฐานทัพในซอกเขาลึกของอัฟกานิสถาน ที่เปลี่ยนเป็นที่มีความสำคัญในการรบที่ตั้งที่เสียเปรียบในเชิงการทำสงครามการทหาร เนื่องจากว่าตั้งอยู่กึ่งกลางซอกเขาที่ล้อม รวมทั้งยังอยู่ในพื้นที่ฐานปฏิบัติการของโคนลิบาน 54 ทหารกล้าที่ปฏิบัติงาน จะต้องต่อสู้เจอหน้ากับองค์การก่อการร้ายนับร้อยที่อาวุธครบมือ
หนังมากับรายละเอียดและก็โทนที่แบ่งอารมณ์ออกได้เด่นชัด โดยในครึ่งแรกเป็นการปูเรื่องราวและก็แนะนำตัวละครกับภารกิจทุกวันของติดอยู่แรกเตอร์ แล้วก็ยังเกลี่ยหน้าที่แต่ละผู้แสดงออกมาได้เท่าเทียมกัน มิได้มีผู้ใดกันแน่เด่นหรือบทนำกว่าผู้ใดกันแน่ ในขณะที่ช่วงหลังของเรื่องเต็มไปด้วยระเบิดตูมตาม ฉากแอคชั่นการรบที่จัดเต็มตลอดแบบมิได้หยุดหายใจ ท่ามกลางเหตุการณ์เคร่งเคลียดที่อยู่เบื้องหน้า
หากว่าหนังจะเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆในต้นแบบหนังแอคชั่นการทำศึกกลยุทธ์ด้านการทหารที่เคยได้เห็นรวมทั้งมองจากหนังเรื่องอื่นๆมาบ้างแล้ว แม้กระนั้นก็จัดว่าหนังมีวัตถุดิบชั้นเยี่ยมเป็นเค้าเรื่องที่มีความมั่นคงรวมทั้งเหมือนตามได้ง่าย ด้วยการใช้ผู้แสดงแล้วก็เหตุขับเรื่องราวไป โดยการใช้เคล็ดลับเล่าฐานรากตามไทม์ไลน์ไปเรื่อยแบบไม่เด่นอะไร
The Outpost น่าจะเป็นหนังที่อัดแน่นด้วยดาราชายคับหน้าจอ ถึงแม้ผู้แสดงจะเยอะมากเยอะไปหมด ประเภทที่ถึงแม้หนังจะจบลงไปและยังไม่สามารถที่จะจำบริเวณใบหน้าทุกคนได้ เพราะเหตุว่าหนังเรื่องจะชมเชยทุกผู้แสดงที่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารกล้าที่เคยมีชีวิตอยู่จริง ทำให้ทุกๆติดอยู่แรกเตอร์ย่อมสำคัญเสมอกันทุกหน้าที่
แม้กระนั้นที่เด่นจริงๆก็น่าจะเป็น “สก็อตต์ อีสต์วูด” ที่แน่ๆว่าเขายังแสดงบทในรูปแบบนี้ได้ค่อนข้างจะดีแล้วก็ดีเลิศอยู่แล้ว เขาเป็นเสน่ห์ส่วนหลักของเรื่อง ถึงแม้บทที่เขารับผิดชอบแทบไม่มีมิติอะไรเลยก็ตาม เวลาที่ “ออร์แลนโด บลูม” ก็ดูเหมือนจะมาเป็นเพียงแต่ส่วนเสริมของหนัง แม้กระนั้นก็เป็นส่วนที่มีความจำเป็นของเรื่องอยู่ไม่น้อย
หนังยังมี “แจ็ค เคซี”, “เทเลอร์ จอห์น สมิธ”, “ไมโล กิ๊บสัน” หรือ “วัวรีย์ ฮาร์คริกต์” ที่ถ่ายทอดความเป็นผู้ชายชายชาตรีออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่ว่าที่ขยี้หน้าที่ออกมาได้ดีเยี่ยมและก็มีมิติที่สุดก็น่าจะเป็นการแสดงของศิลปินชายหนุ่มดาวรุ่ง “เคเลบ แลนดรีย์ โจนส์” ที่จำต้องแบกรับบทเป็นทหารที่มีผลต่อจากภาวการณ์ทางอารมณ์ เพราะว่าการเผชิญหน้ากับความร้ายแรงในสนามรบการทำศึก เขาเล่นได้เลิศและก็เล่นได้จริง
จำต้องกล่าวว่า The Outpost เป็นหนังสงครามที่อัดแน่นมาด้วยกระทำการที่ทำให้ผู้ชมจะต้องลุ้นระทึกและก็หัวใจเต้มแรงตามภาพเหตุที่อยู่ข้างหน้า หนังตอบปัญหาผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยม คนชอบดูหนังการทำศึกตื่นเต้นชนิดนี้ควรต้องชื่นชอบได้อย่างง่ายดาย ครึ่งแรกบางทีอาจจะเบาๆแม้กระนั้นมิได้ทำให้มีความรู้สึกน่ารำคาญ เปลี่ยนแปลงโหมดมาสู่ช่วงหลังที่ใส่ฉากการทำศึกมาแบบแทบจะมิได้หยุดหายใจ
โดยภาพรวมแล้ว The Outpost ฝ่ายุทธภูเขาไม่ล้อมตาย ถือได้ว่าเป็นหนังที่ดูและจะจับใจได้ง่ายๆ ด้วยการอ้างอิงจากเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน ข้างหลังดูหนังจบก็สามารถไปรีเสิร์ชค้นคว้าข้อมูลของเหล่าทหารกล้าได้ต่อ หนังมาพร้อมกับสูตรสำเร็จที่มิได้สร้างความต่างจากหนังเรื่องอื่นอะไร แต่ว่าก็ยังสาแก่ใจแล้วก็ระทึกใจกับฉากแอคชั่นที่ทำออกมาเจริญ
รีวิว The Outpost : ชัยภูมิมรณะ ครึ่งแรกคุยเยอะแยะแทบสารคดี
เรื่องย่อ จากความเป็นจริงสุดอัศจรรย์ของภารกิจเสี่ยงตายในอัฟกานิสถาน เมื่อทหารปริมาณ 54 คน ถูกล้อมด้วยกองกำลังตาลีบันกว่า 400 คน ในพรมแดนที่เป็นไปไม่ได้ออกและก็อันตรายที่สุดในโลก แนวทางเดียวที่จะรอด เป็นจำเป็นต้องสู้ รวมทั้งฝ่ายุทธภูเขาไม่ล้อมตายนี้ไปให้ได้!
“นักวิเคราะห์ต่างเรียกค่ายนี้ว่า ค่ายมรณะ เพราะเหตุว่าจะไม่มีผู้ใดรอดไปจากค่ายนี้ได้” เรียกว่าจั่วหัวได้อย่างน่าดึงดูด กับเนื้อความ “สร้างขึ้นจากข้อเท็จจริง” ที่แปลงเป็นคำการตลาดที่สำเร็จสำหรับหนังแนวเรื่องเศร้าการสู้รบไปเสียแล้วซึ่งตัวหนังก็ปรับปรุงบทมาจากหนังสือชื่อ The Outpost: An Untold Story of American Valor เขียนโดยหัวหน้านักข่าวของ CNN อย่าง เจก แทปเปอร์ ที่เล่าถึงความกล้าหาญเมืองนรกแตกของ 53 ทหารอเมริกัน (แล้วก็ทหารลัตเวียอีก 2 นาย)
ใน สนามรบปนบารมี (ตอนหลังแปลงชื่อเป็น การศึกค่ายคีตติ้ง) ที่กระทำการกึ่งกลางป่าดงเหล่าผู้ก่อเหตุร้ายแรงตาลีบันถึงในซอกเขาบ้านนอกของอัฟกานิสถาน โดยความช่วยเหลือเกื้อกูลที่ใกล้ที่สุดจำเป็นต้องรอกันกว่า 2 ชั่วโมง รวมทั้งที่สำคัญชัยภูมิที่ตั้งค่ายก็แหกแบบเรียนอุบายทุกเล่ม เพราะว่าเล่นตั้งอยู่กึ่งกลางแอ่งกระทะที่ปิดล้อมจากเทือกเขาสูงทุกด้าน เรียกว่าเชื้อเชิญให้ปิดประตูตีแมวได้เลย
ผู้กำกับ ร็อด ลูรี บางทีอาจยังไม่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้ชินหูนัก แม้กระนั้นก็ไม่ใช่มือใหม่เสียเชิงเดียว เนื่องจากเขาก็ชำนาญกับการเป็นนักเล่าเรื่องราวแบบเครียดๆหนักๆอีกทั้งดราม่าทหาร การต่อสู้ หรือการบ้านการเมือง อยู่ตลอด ซึ่งนี่ก็เป็นโพรเจกต์ที่คอการรบต่างรอให้ได้ขึ้นหนังอยู่ตลอด ไม่แตกต่างจากปฏิบัติงานเรดวิงที่เคยเปลี่ยนเป็นหนังมีชื่ออย่าง Lone Survivor (2013) ของผู้กำกับ ปีเตอร์ เบิร์ก มาแล้ว
แต่ในด้านซีนโชกเลือดแล้วก็เรื่องโศกเศร้าแล้ว สนามรบปนเดโชจัดว่าชั่วร้ายกว่าเรดวิงมากมาย ด้วยเหตุว่าเป็นการล้อมฆ่าทหารอเมริกันเพียงแค่ 50 กว่าคน โดยกองกำลังตาลีบันกว่า 400 ผู้ที่เหนือกว่าทั้งยังปริมาณคนรวมทั้งทั้งยังเชิงพื้นที่กว่ามากมายเนื่องจากว่าหนังได้เรื่องรีเสิร์ชที่ดีจากหนังสือเป็นทุนอยู่แล้ว ประกอบกับสิ่งที่มีความต้องการอุทิศทำความเคารพทหารทุกนายที่พลีชีพไปในค่ายที่นี้
ก็เลยจะต้องเล่าย้อนกันไปตั้งแต่ต้นโคนปัญหา ยุคที่ ผู้กองคีตติ้ง (ออแลนโด้ บลูม) ปฏิบัติการสันติโดยเข้าสนทนากับหัวหน้าเผ่าต่างๆให้วางอาวุธ โดยแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือเกื้อกูลเงินลงทุนเพื่อการพัฒนาทางการศึกษาแล้วก็สาธารณูปโภคแก่ประชาชน เรื่อยๆมากระทั่งมีการเปลี่ยนหัวหน้าค่ายและก็ทำให้กติกาของคีตติ้งถูกเพิกเฉย
แล้วก็จากความเคลื่อนไหวนิดๆหน่อยๆอย่างตัวบุคคล ดังเช่นผู้จัดการ ตลอดจนเหตุผลทางการเมืองอะไรก็ตามหนังก็เบาๆให้พวกเราซับก้อนเมฆร้ายที่ตั้งเค้าก่อนกำเนิดลมพายุทีละเล็กละน้อยจากแนวทางความสงบสุขรวมทั้งการได้ยุบค่ายกลับไปอยู่บ้าน ก็เปลี่ยนแปลงเป็นการดื้อดึง และก็เรื่องเศร้าท้ายที่สุดซึ่งที่ว่านี้หนังก็เลยจะต้องใช้เวลาปูที่ไปที่มาเกือบจะครึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นทั้งยังจุดแข็งก็คือได้ข้อมูลมากมาย (ในระดับที่แทบผ่านเส้นไปเป็นหนังสารคดี)
เพื่อผู้ชมวินิจฉัยความถูกไม่ถูกคุ้นเคย โดยผู้กำกับก็ใช้คุณลักษณะเด่นของเซ็ตติ้หารณะกึ่งกลางป่าศัตรูกับลูกกระสุนปืนที่ไม่เคยทราบจะยิงมาตอนไหน ได้เชิญให้อกสั่นขวัญแขวนอยู่เป็นระยะ ซึ่งนับว่าทำเป็นดี (ถ้าเกิดคุณมิได้เกลียดตอนดราม่ายาวๆในหนังสงครามแอ็กชัน) ..ว่ากันตามจริงจากไม่ค่อยถูกใจในตอนแรก เมื่อถึงจุดหนึ่ง แปลงเป็นถูกใจขั้นตอนการเล่าที่ตรงนี้ขึ้นมาเสียอย่างงั้น เสมือนได้เรียนปัญหาไปพร้อม
ส่วนข้อผิดพลาดที่ตามมาเป็น.. จะด้วยเพราะเหตุว่าความนับถืออย่างซาบซึ้งหรือยังไงไม่เคยรู้ได้ แต่ว่าที่แน่นอนเป็นไม่เห็นอกเห็นใจผู้ชมเลย เนื่องจากตั้งแต่เปิดเรื่องมาจนกระทั่งจุดนี้หนังก็แวะเวียนให้ได้ทราบจะทหารทั้งยัง 55 นายในค่าย (อเมริกัน 53 ลัตเวีย 2) แบบขึ้นชื่อลือนามให้รายคน! ทุกคน!
ซึ่งสารภาพว่าปวดเศียรเวียนเกล้ามากมายสำหรับการจำต้องจำใบหน้าและก็ชื่อบางบุคคลเพื่อรู้เรื่องเหตุการณ์ต่างๆได้กระจ่างแจ้งขึ้น และก็เมื่อถึงจุดหนึ่งๆความรู้สึกช่างมันเถอะก็มีขึ้น แล้วก็ขอเลือกจำเพียงแค่ตัวหลักๆที่หน้าขึ้นโปสเตอร์อย่าง ผู้กองคีตติ้ง, นายสิบโรเมชา (สก็อตต์ อีสต์วูด) และก็ พลทหารคาร์เตอร์ (ค้างเล็บ แลนดี โจนส์) เพียงพอ ซึ่งก็เป็นแถวทางที่ดีขอรับ เสนอแนะเลย
หนังเข้าตอนแอ็กชันที่รอขมักเขม้นในครึ่งเรื่องข้างหลัง แม้กระนั้นมาและก็สาดกันยาวๆแบบไม่เว้นจังหวะหายใจ ปริมาณนาทียิ่งนาน ความมันยิ่งมากมายตาม แล้วก็เหตุการณ์ในเรื่องก็ยิ่งบีบหัวใจ จนกระทั่งจำต้องจิกเบาะ อีกทั้งงานภาพที่วิ่งสู้ฟัดข้างผู้แสดงฝ่าควันระเบิดและก็ห่าลูกกระสุนเหมือนกับพวกเราไปอยู่นั่นด้วย ยิ่งผสมกับการเล่นเสียงห่าปืนกล ปืนใหญ่ จากรอบทิศทาง เช่นเพชรฆาตที่เบาๆล้อมพวกเราเข้ามา จำต้องกล่าวว่าคุ้มมากมายกับการดูปูเรื่องมากว่าชั่วโมง ด้วยเหตุว่าได้มองเห็นทุกปัญหาที่ทิ้งเอาไว้ระเบิดขึ้นมาเป็นหายนะในทุกหนทุกแห่งของค่ายคีตติ้ง เป็นบันเทิงใจมากมาย ไม่มีอะไรให้ติติงเลย
สรุปแล้วนี่เป็นหนังสงครามที่ให้ข้อมูลแน่นมากมาย ได้ศึกษาเล่าเรียนอีกทั้งแง่ตัวคนภายในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ไปอยู่ในการทำศึก ไปจนกระทั่งได้พินิจพิจารณาระบบการจัดการจัดแจงที่น่าจะเป็นบทเรียนชั้นเลิศ แล้วสายแอ็กชันก็สาแก่ใจคุ้มทุกนาทีในชั่วโมงข้างหลังได้เต็มเหยียดยาวๆแบบโคตรลุ้นโคตรมัน แน่ๆถึงจะรู้อยู่แล้วว่าข้อเท็จจริงมันจบไม่สวย แม้กระนั้นให้ตั้งการ์ดกันเจ็บไว้ขนาดไหนก็อดไม่ไหวจริงๆที่มองเห็นผู้แสดงหลายตัวที่ผูกพันมาตลอดเรื่องถูกตาย การรบมิได้ให้อะไรที่ประดิษฐ์กับมนุษย์เลยจริงๆ
หนังจากความเป็นจริงครั้งคราวก็ให้ความรู้ความเข้าใจสึกที่ไม่จริง หนังสงครามหลายหนก็ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวรู้สึกราวกับพวกเราได้อยู่ในการทำศึกจริงๆการได้มองก็เลยบางทีอาจซึมทราบในความผลพวงและก็ความเถื่อนของการรบ แม้กระนั้นก็ยังมิได้รู้สึกราวกับพวกเราไปพบพบมันมาด้วยตนเองจริงๆวันนี้ มีหนังสงครามเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นได้ ‘ฝ่ายุทธภูเขาไม่ล้อมตาย’ หรือ ‘The Outpost’ เป็นหนังหัวข้อนั้น
The Outpost (2020) through the battle of death. Watch movies based on real events. A US military team stationed at the deadliest outpost in Afghanistan is under relentless attack by Taliban insurgent forces. Their fight for survival is the bravest show of Americans.
We are about to see another film based on a true story. Take military action that is inscribed in history against terrorist organizations. with operational bases that are disadvantageous in terms of combat importance who was named a pseudonym and was called “The mouth of the Hell Hole”, a mission that must survive from wiping out the troop of 54 brave soldiers to begin in “The Outpost, through the mountains without being surrounded to death”
The current film control work of “Rod Loopry” who has returned to the big movie work again After changing direction, he turned to be more good at TV work. Adapted from “Jake Tapper’s non-fiction book, ‘The Outpost : An Untold Story of American Valor’, based on the records and events that actually happened in the offensive practice. Soldiers of the United States Army
Synopsis ดูหนัง ออนไลน์ The Outpost เต็มเรื่อง
The Outpost is the story of a United States Army officer. A small group was forced to work at a military base in the deep gorges of Afghanistan. That has become an important combat location that is disadvantageous in terms of military warfare. Because it is located in the middle of the gorge surrounded by Including being in the area of the Liban base of operations, 54 brave soldiers who operate Will have to fight face to face with hundreds of terrorist organizations that are fully armed.
The film comes with details and tones that clearly distinguish the mood. In the first half, it lays out the story and introduces the characters and their daily missions. and still spread the duties of each performer equally There is no one who is definitely outstanding or leading than anyone. While the latter part of the story is filled with boom explosions Action-packed battle scenes that never stop breathing In the midst of the tense events ahead
If the movie is filled with the same successful formula in the prototype of action movies, warfare, military strategies that have been seen, including looking at some other movies. However, it is considered that the film has excellent material, a plot that is stable and easy to follow. with the use of actors and events to drive the story By using the trick to tell the foundations along the timeline continuously without anything outstanding.
The Outpost should be a movie packed with male stars on screen. Even though there are many performers The type that even though the movie ends and still can’t remember everyone’s face Because the movie compliments all the brave soldiers who have ever lived. Make every first contact is always important in every duty.
But the real standout is probably “Scott Eastwood”, who is sure that he can still portray this kind of role quite well and is already very good. He is the main charm of the story. Even though the role he was responsible for almost had no dimension at all, when “Orlando Bloom” seemed to only come as an extension of the movie. however, it is quite a necessary part of the story.
The film also has “Jack Casey”, “Taylor John Smith”, “Milo Gibson” or “Voiry Harcrickt”, who perfectly portray the masculinity. prestige But perhaps the best and most dimensional in the face-shaking performance is probably the performance of young artist Caleb Landry Jones, who is forced to bear the brunt of a soldier who is affected by circumstances. emotional because facing violence on the battlefield He played great and played really well.
It must be said that The Outpost is an action-packed war movie that will leave audiences thrilled and heart pounding based on the events that lie ahead. The movie answers the audience’s problems perfectly. This kind of thrilling war movie buffs should easily appreciate. The first half may have been light, but it didn’t bother me. Change the mode to the latter, where the battle scenes are almost breathless.
Overall, The Outpost went through the mountain battle without being surrounded by death. It can be considered as a movie that is easy to watch and captivate. with references to stories that actually happened before After watching the movie, you can continue to research the information of the brave soldiers. The movie comes with a successful formula that doesn’t make any difference from other movies. But still satisfying and thrilling with the action scenes that come out well
Review of The Outpost : Chaiyaphum Manana, the first half talks a lot, almost a documentary
Synopsis Based on the astonishing reality of a deadly mission in Afghanistan. When 54 soldiers are surrounded by over 400 Taliban forces in the most impossible and dangerous border in the world. The only way to survive it is necessary to fight Including going through this non-death mountain battle!
“Analysts call this camp the death camp because no one will escape from it,” he glamorously called the camp, with the “fact-based” text being a successful marketing slogan for the movie. The tragedy of the battle is based on the book The Outpost: An Untold Story of American Valor, written by CNN chief correspondent Jake Tapper, which chronicles the heroics of Hell. 53 American soldiers (and two Latvian soldiers)
in the battlefield (later changed the name to Keating Camp Battle) that operates halfway through the jungle, Taliban terrorists arrive in the rural gorges of Afghanistan. By the nearest help, we had to wait for more than 2 hours, and most importantly, Chaiyaphum where the camp was located had broken every schematic study book. Because the play is located in the middle of a basin surrounded by high mountains on all sides called inviting them to close the door and hit the cat
Director Rod Lurie is perhaps not yet a familiar masterpiece. However, he wasn’t exactly a beginner. Because he is skilled in being a serious story teller, including military dramas, battles, or politics all the time, this is a project that combat fans are always waiting to see in the movie. It’s no different from working on Red Wing, which was turned into a famous movie like Lone Survivor (2013) directed by Peter Berg.
But in terms of bloody scenes and tragic stories Pondecho Battlefield was much more evil than Red Wing. Because it was a siege of just over 50 American soldiers by more than 400 Taliban forces who were superior both in number and in terms of space, because the movie got a good research story from the book. already Along with the desire to dedicate respect to all the soldiers who died in the camp here.
So we have to go back to the beginning of the problem, the era when Captain Keating (Orlando Bloom) conducted a peaceful operation by negotiating with the chiefs of various tribes to lay down their weapons. In exchange for subsidizing investments for educational development and public utilities. This continued until there was a change of camp leader and the Keating rules were ignored.
and from small movements like a person like a manager As well as political reasons, whatever the movie is light, let us absorb the bad clouds that set him before the origin of the wind, little by little from the peaceful way, as well as collapsing the camp back home. changed to stubborn And the last sad story, which is that this movie will have to spend almost half of the story which is also the strong point is that there is a lot of information (At the level that almost passes the line as a documentary film)
for the audience to judge whether or not they are familiar with In which the director uses the outstanding feature of Settiharana in the middle of the enemy forest with a bullet that does not know when it will fire. has invited the hearts to tremble from time to time which is considered good (If you don’t hate long drama episodes in action war movies) at some point Becomes satisfied with the storytelling process here. As if learning the problem along the way
The next error is.. Whether because of the deepest respect or not, I never know. But that certainly is not sympathetic to the audience at all. Because since the opening of the story until this point, the movie has stopped by to know that all 55 soldiers in the camp (American 53, Latvian 2) are famous and famous for each person! everyone!
Which admits it’s a huge headache for memorizing certain faces and names to understand the events has clarified. and at some point, the feeling of whatever it was and would like to choose to remember only the main characters that appear on the poster like Captain Keating, Sergeant Romecha (Scott Eastwood) and Private Carter (Clanb Landy Jones) are enough, which is a good line, suggestion.
The movie enters the action episode that waits to be intense in the second half. But came and splashed long without pausing for breath. The minute volume, the longer It’s much more according to And then the events in the story even more squeezed the heart. until having to peck the cushion Also, the visual work running against the actors through smoke, explosions and bullets like we were there too. Even more, mixed with the sound of machine guns, artillery from all directions, like a killer that gently surrounds us. Having said that, it’s very worth watching for more than an hour. because he had seen all the problems that left him exploding into disaster everywhere of the Keating camp It’s a lot of entertainment. Nothing to complain about
All in all, this is a very informative war movie. Has studied and studied in terms of the inner person as a human being who goes to war Until considering the management system that should be a great lesson And the action line is satisfying, worth every minute in the next hour, it can be full and long, extremely exciting. Of course, I already know that the facts do not end well. However, to set up a guard to protect against pain, how much I can’t help but see many characters who have been bound throughout the story being killed The battle really did not give humans anything to invent.
Movies based on reality from time to time give an impression of feeling that is not true. Many war movies don’t really feel like we’re in a real war, so looking at it can get a glimpse of the consequences and brutality of the battle. But it still doesn’t feel as if we actually encountered it in person today. There is one war movie that evokes that feeling. ‘Breaking through the mountains without siege’ or ‘The Outpost’ is a movie on that topic.
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Outpost (2020) ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย หนังประเภท Biography ชีวิตจริง เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
8.2