KUBHD ดูหนังออนไลน์ The Mummy (2017) เดอะ มัมมี่
เรื่องย่อ
The Mummy (2017) เดอะ มัมมี่ เรื่องราวของ The Mummy ฉบับนี้ จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับหนัง The Mummy ไตรภาคที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ แต่ภาพยนตร์เวอร์ชั่น 2017 จะเป็น “ตอนที่หนึ่ง ในจักรวาลหนังตัวประหลาด” หรือ “Universal Monsters”เมื่อเจ้าหญิงจากยุคอียิปต์โบราณ “อามาเนต์” (รับบทโดย Sofia Boutella) ที่ถูกทำให้กลายเป็นมัมมี่จากการก่อกบฎ สังหารฟาโรห์ และ ราชินี จนต้องถูกจับทำเป็นมัมมี่ทั้งเป็น และฝังไว้กลางทะเลทรายในอิรักเมื่อหลายพันปีก่อน จนกระทั่งมีการขุดค้นพบโลงศพหินโบราณของเธอ โดยการนำทีมของ “นิค มอร์ตั้น” (แสดงโดย Tom Cruise) นักโบราณคดีชาวอเมริกัน แต่ในระหว่างการขนย้าย ก็เกิดเรื่องขึ้น เมื่ออามาเนตถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยด้วยมือของนิค และเมื่อเธอตื่นขึ้น ความวิบัติจึงบังเกิดกับคณะขนย้าย เครื่องบินถูกทำลาย และนิคที่น่าจะตายไปแล้วก็ฟื้นขึ้น พร้อมกับประสาทสัมผัสถึงเรื่องราวของอามาเนต
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Mummy (2017) เดอะ มัมมี่ หนังประเภท Action บู๊ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ดูหนัง ออนไลน์ ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน
บริษัท ค่ายหนัง
- ดาร์กยูนิเวิร์ส
- เพอร์เฟกซ์เวิลด์พิกเจอส์
- เค/โอเปเปอร์โปรดักส์
- ฌอน แดเนียล คอมปะนี
นักแสดง
- ทอม ครูซ
- แอนนาเบล วอลลิส
- โซเฟีย โบเทลล่า
- เจค เอ็ม. จอห์นสัน
- คอร์ตนีย์ บี แวนซ์
- มาร์แวน เคนซารี่
- รัสเซล โครว์
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
Wasant Tong Suthanyaphruet
The Mummy (2017) เดอะ มัมมี่
“Dark Universe ส่อแวว(พัง)ตั้งแต่เลือก Alex Kurtzman กับ Chris Morgan ที่ถูกถีบจากแฟรนไชล์อื่นๆแล้ว แค่สนองความบันเทิงยังลำบาก มิน่าต้องอาศัย Tom Cruise ลุ้นทำรายได้เพื่อไปต่อแบบชั่วๆ เอ๊ย ชัวว์ๆ !!”
[คะแนน C]
ป่านฉะนี้ไม่รุ้ผุ้บริหารสตูดิโอ Universal Pictures จะรุ้สึกอับอายแค่ไหนและเป็นความซวยแน่นอนที่ The Mummy เปิดตัวใกล้ๆกับ Wonder Woman แล้วดูคุณภาพที่แตกต่างทุกด้าน(ซิ?) ในงบสร้างที่แทบจะใกล้ๆกันเลย $125 ล้าน ไม่ใช่เม็ดเงินจำนวนน้อยๆแล้วแต่ว่าใครใช้สอยได้ดี หากอยู่ในมือนักทำหนังที่ขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือสักแต่ใช้เงินมือเติบผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่เห็นในงานนี้ จะมาอ้างขาดประสบการณ์ก็คงไม่ได้เพราะอย่าง Patty Jenkins เธอไม่เคยเป็นโปรดิวเซอร์หนังบล็อกบัสเตอร์มาก่อน แต่ยังทำได้ดีจนได้รับเสียงชื่นชม(แรง)ไปแล้วเลย.. ทั้งนี้ The Mummy ในส่วนของงานสร้างและโลเคชั่นก็สอบตกแล้ว ตัวหนังแทบไม่มีฉากน่าประทับใจหรือชวนให้จดจำ ไม่ว่าจะในอียิปต์หรือกรุงลอนดอนก็ถ่ายทอดแบบผ่านๆ จากที่เห็นร่วมๆ 80% คือพยามเซ็ตหลอกในสตูดิโอด้วยซ้ำ แถมไม่ค่อยเนียนตาอีกด้วยอย่างแบ๊กกราวด์และบรรยากาศของซีนในป่าตรงจุดที่เครื่องบินตก ใคร่ครวญหาสิ่งที่ราคาแพงจนน่าพอใจก็ไม่ยักจะเจอเลยจริงๆ
ในส่วนของบทภาพยนตร์ถึงไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ไม่คาดคิดสักนิดนึงเลยว่า The Mummy จะหมดท่าและเบาปัญญาขนาดนั้น เนื้อหาแทบไม่มีอะไรให้จับต้องสาระได้เลย แล้วพัฒนาการในตัวละครก็ย่ำแย่ ชนิดต้องยัดความโรแมนติกเข้ามาช่วยอุ้มในช่วงท้าย เนื่องไม่มีธีมหรือประเด็นให้ลุ้นเอาใจช่วยเลยนั่นเอง การเล่นแง่มุมเรื่องความดีที่ซ่อนอยู่ของ Nick Morton ก็ไร้ความหมายเพราะหนังไม่ได้(กล้า)ผลักให้ตัวละครถึงขั้นเป็นคนเลวร้ายอยุ่แล้วในตอนต้น แค่ออกทางโกหกปลิ้นปล้อนและโลภมากเท่านั้น หรือการกระชับความสัมพันธ์ที่ระหว่างเดินเรื่องคอยช่วยเหลือกันมันก็พอชวนจิ้นๆบ้าง แต่มันก็ไม่ได้นำพาให้เรารุ้สึกได้ว่าเขาและเธอมีความผูกพัน และรักใคร่ถึงขั้นยอมเสียสละแบบที่พยามยัดเยียดในเวลาต่อมา ตรงข้ามถ้าเป็นแฟนหรือสามีภรรยาที่เพิ่งเลิกราไป แล้วกลับมาเจอกันและสถานการณ์ทำให้แสดงส่วนลึกในใจที่เก็บซ่อนไว้ มันยังจะเข้าท่า ชวนเชื่อ และซาบซึ้งได้กว่านี้ เหล่านี้ไม่นับเรื่องราชินีมัมมี่ Ahmanet ที่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้จนสงสารนักแสดง Sofia Boutella หรือตัวละคร Dr. Henry Jekyll ของ Russell Crowe ที่เข้ามาเพื่อให้เหมือนจะมีอะไรแต่ก็วนไปค่ะ ถึงรายหลังจะโยนแนวคิด(เห่ยๆ)เพื่อต่อยอดแฟรนไชล์อยู่บ้าง
ในจุดนี้ไม่ถือโทษโกรธเคือง Tom Cruise ที่รับเล่นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เงิบหนักที่สุดในชีวิตการแสดง เพราะเจ้าตัวมาไกลเกินกว่าจะคิด(สั้น)คือแค่เล่นเอาค่าตัวมหาศาล เนื่องซุปตาหนุ่มใหญ่วัย 54 เป็นทั้งผุ้บริหารและนักทำหนังเต็มตัวมานานแล้ว การลงทุนเปลืองตัวให้แก่ Universal Pictures ย่อมต้องได้รับประโยชน์ที่จะตามมาอื่นๆ สำคัญที่สุดคือการได้อนุมัติโปรเจ็คที่เขาอยากจะร่วมสร้างหรือแสดงนำ ถือเป็นเงื่อนไขและการช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป จากนี้ป๋าคงโผล่มาแจมเล็กๆในภาคคนอื่นตามสมควรเพื่อช่วยเรียกคนดู แฟนๆก็คงสับสนน่าดูเพราะทั้งอยากเห็นดาราขวัญใจและภาวนาอย่าเล่นเยอะให้เสียราคา (Ha).. ด้านนางเอกสาวที่เห็นหลายเพจบ่นกันเยอะ Annabelle Wallis ทั้งที่ดาราสาวคือตัวหลักๆที่ช่วยให้หนังไม่แห้งแล้งและจืดชืดไปกว่านั้น ลองนึกภาพว่าไม่มีเธอมันคงตื้อตันไปใหญ่ ในเมื่อเรื่องราวไม่มีจุดให้ดิ้นๆไปไหนสักทาง อธิบายเข้าใจตรงกันง่ายๆคือ The Mummy เวอร์ชั่น 2017 เรายังไม่แน่ใจเลยว่ามันคือแนวอะไรกันแน่? Action, Adventure, Fantasy, Thriller, Horror อย่าคิดว่าคือการนำเสนอแนวทางหลากหลายแบบหนัง(ดี)อื่นๆ เพราะผลงานนี้มันไม่ได้เรื่องสักแนวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ !!!!
We Love Movie Club
#Review The Mummy – “ผ่าปฏิบัติการมัมมี่สะท้านโลก” (2017)
> ระดับความน่าสนใจ : B+ <<
[#บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของภาพยนตร์]
การมาของ “The Mummy” (2017) เป็นการปลุกชีพหนึ่งในตัวละครอมตะของสตูดิโอ Universe พ่วงด้วยการเป็นหนังเปิดจักรวาล Dark Universe ที่จะมีหนังตามออกมาอีกหลายเรื่องในอนาคต การที่หนังได้ Tom Cruise มารับบทนำถือว่าทำให้โปรเจคนี้น่าสนใจขึ้นมาก แต่เมื่อพิจารณาจากภาพรวมแล้ว เหมือนทีมงานผู้สร้างจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ฉากแอคชั่นเสี่ยงตายเวอร์ๆสไตล์ Mission Impossible ทำให้น้ำหนักถูกเทไปที่ตัวละครของ Tom Cruise จนหมดและตัวละครหลักเจ้าของชื่อเรื่องอย่างมัมมี่กลายเป็นแค่ส่วนประกอบรองลงมาเท่านั้น
หนังเล่าเรื่องราวของ Ahmanet เจ้าหญิงจากยุคโบราณกาลที่ทำสัญญากับปีศาจร้ายเพื่อครองพลังอำนาจมืด ก่อนจะถูกจับฝังลืมในสุสานใต้ทะเลทรายที่แสนกันดาร ก่อนที่เธอจะถูกปลุกขึ้นมาในโลกปัจจุบัน ซึ่ง Nick นายทหารที่ใช้ชีวิตในการตามล่าหาสมบัติโบราณและ Jenny นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญเรื่องของอียิปต์ ต้องหาทางยับยั้งมหัตภัยครั้งนี้ ก่อนที่ทั้งโลกจะตกอยู่ในอันตราย โดยมี Dr. Henry Jekyll ผู้อยู่เบื้องหลังองค์กรปริศนาเป็นผู้เข้ามาไขความลึกลับของตำนานกับการเปิดประตูถึงความจริงที่ว่าพวกเขากำลังอยู่ในโลกที่เหล่าเทพและอสูรกายไม่ใช่เรื่องเล่าอีกต่อไป
ส่วนที่ดีของ “The Mummy” (2017) คือฉากแอคชั่นที่มีมาเรื่อยๆและทำออกมาได้น่าตื่นตา แต่ข้อดีนี้เหมือนเป็นข้อเสียในตัวเหมือนกัน เมื่อหนังอัดฉากแอคชั่นมาเพียบ แต่ในส่วนของความลึกลับ ความน่าสะพรึงของตัวละครเจ้าหญิง Ahmanet นั้นกลับเป็นได้แค่มัมมี่ที่ไม่ค่อยน่าเกรงขามเท่าไหร่ แม้หนังจะเปิดฉากตัวละครนี้ในสภาพฟื้นชีพได้น่าสนใจ รวมถึงวิธีการสร้างสมุนใหม่ๆ แต่หลังจากนั้นความน่ากลัวลึกลับในตัวนางก็ค่อยๆจางหายไป โดยฉากที่แสดงพลังได้รุนแรงสุดก็คือพายุฝุ่นถล่มเมืองนั่นเอง
เมื่อเทียบตัวละครมัมมี่เวอร์ชั่นนี้กับเวอร์ชั่นปี 1999 เราจะพบว่ามีหลายส่วนที่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกัน เช่น ฉากพายุทรายที่กลายมาเป็นหน้าคน, ฉากแมลง (หนัง The Mummy ปี 1999 มีฉากแมลงกินเนื้อคนที่น่าตื่นตาชวนชนลุกและในเวอร์ชั่นนี้ แม้ไม่ใช่แมลงกินคน แต่ก็มีฉากมัมมี่บังคับแมลงให้ได้เห็นเช่นกัน ต่างกันที่ปริมาณแมลงที่ปรากฏบนจอ ซึ่งเวอร์ชั่นนี้แบบว่า… เออ… ทำไมนางไม่เรียกมามากกว่านี้ให้บ้าคลั่งไปเลย)
นอกจากนี้คือมุกตลกที่หนังปี 99 ทำได้ดี ซึ่งเวอร์ชั่นนี้ก็พยายามจะใส่มุกตลกเข้ามาเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวมองว่ามันเป็นความพยายามที่ไม่ลงตัวเท่าไหร่
ไม่เพียงตัวละครมัมมี่ที่นำเสนอได้ไม่เด่นเท่าไหร่แล้ว แต่อีก 1 ตัวละครที่น่าเสียดายก็คือ Dr. Henry Jekyll ที่เราเห็นในตัวอย่างและตื่นเต้นที่จะได้เจอพี่แกบนจอว่าจะเป็นตัวเชื่อมไปในหนังเรื่องอื่นๆของจักรวาลนี้ยังไงบ้างและจะมีฉากแปลงร่างเป็น Mr. Hyde ให้เราได้เห็นหรือไม่ (ย้อนกลับไปครั้งหลังสุดที่เราได้เห็นตัวละครนี้ในหนังฟอร์มยักษ์ก็คือ The League of Extraordinary Gentlemen (2003) ซึ่งภาพลักษณ์ของ Mr. Hyde ในเรื่องนั้นก็ยังกับ The Hulk เลย!)
ซึ่งพอได้ดูหนังจริงๆ หนังเปิดตัว Dr. Henry Jekyll ได้ดี ดูลึกลับมีเป้าหมายบางอย่างแอบซ่อนอยู่ มีบารมีที่น่าจะคุมตัวละครอื่นๆ คุกคามตัวละครอื่นๆได้แน่นอน แต่ส่วนตัวมองว่าหนังเปิดเผยตัวละครนี้มากไป แถมดันเปิดเผยมาแบบดื๊อๆ เรียบๆ จนน่าเสียดายช่วงเปิดตัวของพี่แกเหลือเกิน ภาพที่เราเห็นเหมือนแค่ผู้ชายที่โมโหร้ายทั่วๆไปเท่านั้น มันคงดีกว่านี้ถ้าทีมงานเลือกนำเสนอตัวละครตัวนี้ให้บทบาทน้อยลง แต่มีพลังในบทมากขึ้นให้แฟนๆได้ตื่นเต้น คล้ายๆการมาของ Nick Fury ในหนัง Iron Man (2008)
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร Nick และ Jenny ก็มาแบบฉาบฉวย เราไม่รู้ว่าตัวละครนี้ได้รักกันตอนไหน หรือ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เข้าใจกันมากพอที่จะทำให้ Nick ตัดสินใจสำคัญในช่วงท้ายของหนังได้ เช่นเดียวกับความอาฆาตของ Ahmanet ที่เราแทบไม่รู้สึกเลยว่านางโกรธแค้นใคร ต้องการอะไรในการคืนชีพ ทำไมนางถึงอันตรายขนาดนั้น
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่า Tom Cruise จะแสดงเป็น Van Helsing ในหนังใหม่สักเรื่อง แต่ข่าวก็เงียบไปนานนับปี จนพี่แกมีชื่อรับบทนำในหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็แอบลุ้นในใจตลอดระหว่างดูว่าหนังอาจเปิดตัว Tom เป็น Van Helsing ในหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ความคาดเดาที่ไม่เกิดขึ้น (หนังอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ หากเอานักแสดงคนอื่นมรับบทนำ และให้ Tom Cruise โผล่มาเป็น Van Helsing ช่วยท้ายในหนัง เอาแบบโผล่มาช็อตเดียวช็อคคนดูให้ตะลึงฟินแตกกันไปเลยงี้)
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเปิดจักรวาล Dark Universe ซึ่งการใส่ฉากห้องทดลองภายในองค์กรลับเข้ามาก็น่าจะเป็นตัวเรียกน้ำย่อยได้ดีในระดับหนึ่งกับการให้เราได้สังเกตว่าสิ่งของจากอมนุษย์ในห้องนี้มาจากตัวละครอะไรบ้าง ซึ่ง 1ในนั้นคือกะโหลกที่มีเขี้ยวงอกออกมา 2 เขี้ยวที่อาจเป็นของผีดูดเลือดในตำนาน ! (อารมณ์เหมือนฉากห้องเก็บสมบัติของ The Collector ในหนัง Guardians of the Galaxy ภาคแรกที่มีของมากมายมาวางล่อให้เราสังเกตมันเอง)
ด้านนักแสดง Tom Cruise รับบทตัวละครเหมือนที่เราเห็นในหนัง Mission Impossible ส่วน Sofia Boutella ก็เป็นผู้หญิงที่เมคอัพได้ขึ้นมาก นางเป็นมัมมี่ที่ดูดี แต่บทกลับไม่ได้มีอะไรนัก Annabelle Wallis นี่เล่นหน้าเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ จนไม่รู้ว่าไปสะกิดใจพระเอกได้ตอนไหน
รุ่นใหญ่อย่าง Russell Crowe ถือว่าเอาตัวรอดไปได้ในบทนี้ ปิดท้ายที่ Jake Johnson ที่หลักๆคือการแหกปากโวยวาย และบทถูกจับยัดไปเพื่อสร้างความตลกที่กลับไม่ค่อยตลกเลย
โดยสรุป “The Mummy” (2017) เป็นหนังมัมมี่ที่อยู่ในระดับกลางๆ ซึ่งมีฉากแอคชั่นสเกลใหญ่อัดอยู่เพียบ แม้จะมีช่องโหว่อยู่เยอะและเป็นการเปิดจักรวาล Dark Universe ที่น่าผิดหวังไปหน่อย แต่ก็น่าสนใจที่ว่าหนังเรื่องต่อไปที่จะตามออกมาของจักรวาลนี้มันจะไปในทิศทางไหนและทำออกมาได้ดีกว่ารึเปล่า
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
The Mummy Tomb Of The Dragon Emperor (2008) เดอะ มัมมี่ : คืนชีพจักรพรรดิมังกร
The Mummy (1999) เดอะ มัมมี่ : คืนชีพคำสาปนรกล้างโลก
The Mummy Resurrected (2014) เดอะ มัมมี่ คืนชีพมัมมี่สยองโลก
The Mummy Returns (2001) เดอะ มัมมี่ : ฟื้นชีพกองทัพมัมมี่ล้างโลก
7.1