KUBHD ดูหนังออนไลน์ The Creator (2023) เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ
ในอนาคตอันใกล้ ได้เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับกองกำลังปัญหาประดิษฐ์ขึ้น อดีตเจ้าหน้าที่ชำนาญการหน่วยรบพิเศษที่กลายเป็นชายหนุ่มที่หัวใจแข็งกระด้าง หลังจากยังคงเศร้าโศกเสียใจกับการหายตัวไปของภรรยา แต่เขาได้รับเลือกให้ไปปฏิบัติหน้าที่ออกตามล่าและสังหารผู้สร้างปัญญาประดิษฐ์ ที่อยู่เบื้องหลังของสงครามในครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นจากระบบเอไอที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจ ที่มันกำลังจะกลายเป็นอาวุธลับที่ทรงพลังในการยับยั้งสงคราม หรืออาจจะใช้เป็นการปิดฉากมนุษยชาติเลยก็ได้
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Creator (2023) เดอะ ครีเอเตอร์ หนังประเภท Sci-Fi วิทยาศาสตร์ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
- Gareth Edwards
บริษัท ค่ายหนัง
- Regency Enterprises
- Entertainment One
- New Regency
- Bad Dreams
นักแสดง
- John David Washington
- Gemma Chan
- Ken Watanabe
- Sturgill Simpson
- Allison Janney
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
สมาชิกหมายเลข 2470599
[รีวิว] The Creator – สงครามแบบฉบับไซไฟที่มาพร้อมกับภาพในอนาคตของเมืองไทยอันน่าทึ่ง
ภาพยนตร์ไซไฟThe Creator (ภาพยนตร์)นวนิยายวิทยาศาสตร์
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ The Creator มีความพิเศษมากกว่าภาพยนตร์ไซไฟเรื่องอื่นๆ คงหนีไม่พ้นการที่ฉากหลังกว่า 80 เปอร์เซนต์ของเรื่องนั้นถ่ายทำที่ประเทศไทยในหลายๆ จังหวัดนั่นเอง ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่เรื่องราวของการจินตนาการถึงโลกอนาคตจะมีภูมิหลังอยู่ในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาประเทศอย่างประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้เห็นภาพในอนาคตของบ้านเรา แม้มันจะไม่ได้ออกมาจากผู้กำกับชาวไทยก็ตาม
แม้ผู้ชมแทบจะคุ้นชินกับภาพยนตร์ไซไฟที่มักจะหยิบประเด็นของความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกกันว่า AI (Artificial intelligence) มาเล่าเรื่องราวและตั้งคำถามว่าเหล่า AI นั้น มีความเป็นมนุษย์มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะในแง่ของร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ หรือจิตวิญญาณ
ซึ่ง The Creator ก็ไม่ได้เล่าอะไรที่ต่างไปจากนี้มากนัก เมื่อโจชัว (John David Washington) ตัวเอกของเรื่องต้องออกไปตามล่าปัญญาประดิษฐ์ทรงพลังที่สามารถทำลายล้างมนุษยชาติได้ แต่กลับพบว่าปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นเป้าหมายนั้นอยู่ในร่างของเด็กสาว ทำให้โจชัวตั้งคำถามขึ้นว่าการสังหารปัญญาประดิษฐ์ตนนี้จะแตกต่างอย่างไรกับการสังหารเด็กสาวที่เป็นมนุษย์ ในเมื่อ AI ก็มีร่างกาย อารมณ์และสติปัญญาเช่นเดียวกับมนุษย์
และแน่นอนจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้กับการเนรมิตสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย เช่น อ่าวนาง จ.กระบี่ สะพานมอญ จ.กาญจนบุรี ปราสาท สัจธรรม จ.ชลบุรี แอร์พอร์ตเรียลลิงก์ สถานีมักกะสัน กรุงเทพฯ และอื่นๆ ให้ออกมาในธีมไซไฟได้อย่างเนียนตาและน่าประทับใจสุดๆ ภายใต้งบเพียงแค่ 80 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น (ซึ่งน่าตกใจกับเมื่อเทียบคุณภาพงานที่ได้กับภาพยนตร์ในหลัก 150-200 ล้านดอลลาร์ฯ) พอเห็นแล้วก็อดดีใจและเสียใจไปพร้อมกันไม่ได้ว่าสถานที่ในบ้านเราจะสามารถถ่ายทอดออกมาได้สวยงามขนาดนี้และยังมีอีกมากที่รอคอยให้ถูกหยิบไปใช้ แต่กลายเป็นว่าคนที่เอาไปใช้และต่อยอดได้ในระดับนี้กลับไม่ใช่คนไทย (คงต้องรออีกนาน)
ในส่วนของการเล่าเรื่องผู้กำกับแกเร็ท เอ็ดเวิร์ดส์ (Gareth Edwards) เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างโจชัวและ แอลฟี (Madeleine Yuna Voyles) AI ในร่างเด็กสาว กับการผจญภัยไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจในวิถีการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ ในพื้นที่ “นิวเอเชีย” ที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์สามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปกติสุข และความลับของแอลฟีที่นำมาสู่บทสรุปที่ตราตรึงใจและอาจต้องเสียน้ำตา
ดูเผินๆ The Creator อาจจะมีองค์ประกอบที่สำคัญของการเป็นภาพยนตร์ไซไฟน้ำดี ทั้งการตั้งคำถามเรื่องของมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์ การเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายเล่นกับอารมณ์และความรู้สึก (เสริมด้วยดนตรีประกอบชั้นยอดจาก Hans Zimmer) และที่สำคัญเลย คือ การสามารถสร้างโลกเพื่อรองรับและนำเสนอ “ภาพใหญ่” ให้เหมาะสมกับธีมเรื่องได้ ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องไม่สามารถไปถึงจุดนี้ได้ (แน่นอนปัจจัยหลัก คือ เรื่องของทุน) ทำให้แม้เรื่องที่เล่าจะดูลึกซึ้งเพียงใด แต่เมื่อต้องเล่าอยู่กับฉากเล็กๆ เพียงไม่กี่ฉาก การตอบคำถามให้กับผู้ชมถึงสภาพของโลกที่ตัวละครต้องเผชิญอยู่ก็จะทำได้น้อยลงไปด้วย (อย่าลืมว่าภาพยนตร์ไซไฟมันคือการนำเสนอโลกในแบบที่ต่างออกไป ลองนึกภาพ Star Wars ที่ไม่มีสงครามอวกาศ ชาวนาวีที่ต้องสวมชุดยางใน Avatar หรือ Ironman ที่บินได้ 2-3 ครั้ง เพราะต้องจำกัดงบประมาณดู)
แต่องค์ประกอบเหล่านี้กลับถูกนำเสนอในรูปแบบที่ยังไม่ลึกซึ้งพอ เริ่มตั้งแต่การตั้งคำถามถึงเรื่องของมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์ที่จนท้ายที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่น่าพอใจ กลายเป็นภาพยนตร์ดราม่าทั่วๆ ไป ขัดกับภาพที่นำเสนอในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง และที่ The Creator ดูเข้าใจง่ายจนน่าแปลกใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเรื่องแทบไม่ได้บอกเล่าเทคโนโลยีเกี่ยวกับ AI เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ความสามารถของ AI ที่สามารถทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ก็แทบไม่มีกล่าวถึง (รู้แค่ว่าแอลฟีมีความสามารถในการควบคุมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้) ในภาพกว้างที่เหมือนจะดูดีของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ในนิวเอเชีย แต่พอมองเข้าไปลึกๆ ตัวเรื่องก็ยังไม่ได้พาคนดูไปสำรวจว่า เหตุใดผู้คนในนิวเอเชียถึงยอมรับและผูกพันธ์กับเหล่า AI (ถึงขั้นสามารถเป็นคนในครอบครัวได้)
รวมถึงเรื่องราวการเมืองเบื้องหลัง การสร้างยาน Nomad และอื่นๆ ที่ควรจะถูกพูดถึงเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับเนื้อเรื่องบ้าง แต่ทั้งหมดเหมือนว่าผู้กำกับเอ็ดเวิร์ดส์ ลงทุนสร้างโลกทั้งใบมาเพื่อเล่าเรื่องแค่โจซัวกับแอลฟี และทิ้งเนื้อเรื่องในส่วนอื่นไปแทบจะทั้งหมด จากบทสัมภาษณ์เขาบอกว่า เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวมากถึง 5 ชั่วโมง แต่แน่นอนความยาวขนาดนั้นไม่สามารถฉายในโรงภาพยนตร์แบบปกติได้ จึงต้องตัดให้เหลือประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งไม่แน่ว่าส่วนที่ถูกตัดออกไปอาจจะเป็นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็คงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะบอกว่าเวลาที่จำกัดทำให้เขาไม่สามารถเล่าเรื่องได้มากกว่านี้เพราะภาพยนตร์แทบทุกเรื่องก็ฉายอยู่ในความยาวราวๆ นี้กันทั้งนั้น
ฉากหลังที่เป็นจุดแข็งของภาพยนตร์ที่มีทั้งความสวยงามและความประณีตในการสร้างสรรค์ออกมา แต่เชื่อว่ามีหลายคนที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างของฉากเหล่านี้ บางคนถึงขั้นรู้สึกว่าฉากที่ดูล้ำสมัยแต่ก็ให้ความรู้สึกแปลกตาเหล่านี้ คล้ายคลึงกับภาพที่สร้างจาก Midjourney ปัญญาประดิษฐ์ที่เคยทำให้เหล่าคนทำงานในแวดวงศิลปะอกสั่นขวัญแขวนมาแล้ว โดยส่วนใหญ่ผลงานเหล่านั้นจะเน้นไปที่ความสวยงาม แปลกตามากกว่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
เช่นกันกับหลายๆ ฉากของเรื่อง สิ่งปลูกสร้างที่ดูล้ำสมัยใหญ่โตกลับตั้งอยู่บนพื้นที่ธุรกันดารและแวดล้อมด้วยธรรมชาติ แน่นอนว่าการจะสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ โดยปกติก็จำเป็นจะต้องพัฒนาพื้นที่โดยรอบไปด้วยพร้อมๆ กัน (ลองนึกภาพตึกสูงตั้งอยู่กลางป่าดู) แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว เพราะหากจะมองหาตัวอย่างที่คล้ายๆ กันในโลกความเป็นจริง ที่ Inter Continental Shanghai Wonderland Hotel ดูจะเป็นตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุด ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ไม่มีถูกผิด เพียงแค่เป็นสิ่งที่ผู้ชมไม่คุ้นชินเท่านั้นเอง (หรือจะอ้างว่าในโลกของ The Creator มันเป็นแบบนั้นก็ได้)
ด้านนักแสดงที่ควรจะพูดถึงที่สุด เห็นทีจะเป็นหนูน้อย เมเดลีน ยูนะ วอยเลส (Madeleine Yuna Voyles) ในบทของ แอลฟี นอกจากการแสดงที่น่าจับตามองแล้ว ต้องอย่าลืมว่าขณะที่ถ่ายทำหนูน้อยคนนี้น่าจะมีอายุราวๆ 6-7 ขวบ เท่านั้น แต่ต้องเดินทางไปถ่ายในหลายๆ สถานที่ ซึ่งอย่าว่าแต่เด็ก ขนาดผู้ใหญ่ให้ไปทำงานไกลบ้านนานๆ ยังเป็นเรื่องยาก จึงต้องชื่นชมความอดทนของหนูน้อยคนนี้ ซึ่งหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นใบเบิกทางที่ยอดเยี่ยมให้กับเมเดลีนในอนาคต
สรุป The Creator ภาพยนตร์ไซไฟที่ดูง่ายเข้าถึงกับผู้ชมและมาพร้อมกับงานสร้างที่โดดเด่นน่าประทับใจ การเนรมิตพื้นที่ประเทศกำลังพัฒนาให้กลายเป็นโลกในอนาคตให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายเรื่องที่ควรจะถูกเล่าเพื่อสร้างความลึกซึ้งมากกว่านี้ หากจะมีภาคต่อไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็นับว่าน่าจับตามองเพราะยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าอีกมากมาย
Kanin The Movie
หนึ่งในสิ่งที่ชอบที่สุดใน The Creator (2023) คือไอ้ยาน NOMAD นี่แหละ แม้ว่าจริงๆ มันจะคือ ‘Death Star at home’ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนดู Rogue One (2016) เลย แต่งานดีไซน์ และวิธีใช้มันกับเรื่องเล่านี่ทำงานได้ดีเลย ทั้งการที่มันมีสถานะเป็นตำรวจโลก เคลื่อนที่ไปมา พร้อมประหารผู้ต่อต้านตามใจนึก จนถึงเรื่องของสวรรค์ ดินแดนบนท้องฟ้าของคนดีที่หนังพูดถึงอยู่เรื่อยๆ และที่โดนใจสุดๆ คือไอ้เลเซอร์จากยาน เลเซอร์ขนาดยักษ์ที่สามารถสำรวจตรวจสอบสแกนได้ทุกสิ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และที่โหดสัดๆ คือตอนที่มันเปลี่ยนเป็นหน้าจอล็อคเป้าเอาไว้ยิ่งขีปนาวุธ ทั้งเท่สัดๆ และโคตรน่ากลัว
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Underwater (2020) มฤตยูใต้สมุทร
3 Body Problem (2024) ดาวซานถี่ อุบัติการณ์สงครามล้างโลก EP.1-8 (จบ)