The Classic (2003) คนแรกของหัวใจคนสุดท้ายของชีวิต
เรื่องย่อ
เพื่อนของอาย Ji-hae กำลังมีปัญหาในการแสดงความรู้สึกต่อเด็กผู้ชายที่เธอรักเธอจึงขอให้ Ji-hae เขียนอีเมลถึงเขาในนามของเธอ ในขณะที่เด็กชายหลงรักจดหมายของเธอ Ji-hae ได้ค้นพบเรื่องราวความรักของแม่ของเธอซึ่งคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของเธอเองอย่างมาก ช่วงเวลาปัจจุบัน จี-แฮ (รับบทโดย ซน เย-จิน) มีเพื่อนสนิทชื่อ ซู-กย็อง ทั้งสองเข้าร่วมกิจกรรมกับชมรมละครเวที เพราะ ซู-กย็อง อยากใกล้ชิดกับ คนที่แอบปลื้ม คือ ซัง-มิน (รับบทโดย โช อิน-ซ็อง) ซู-กย็อง ให้ จี-แฮ ช่วยเขียนจดหมายรักส่งให้ ซัง-มิน อยู่หลายครั้ง จี-แฮก็ช่วยเขียนทั้ง ๆ ที่แอบมีใจให้ซัง-มิน จี-แฮ The Classic
พยายามหลบหน้า ซัง-มิน เพื่อให้ซู-กย็อง และ ซัง-มิน ได้คบหากัน แม้ว่าเธอจะปวดใจแค่ไหนก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้ค้นพบสมุดบันทึก และจดหมายรักของแม่ในตู้เก็บของ เธอใช้เวลาอ่านข้อความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ จนทำให้เธอได้รู้ความรักที่เก็บเอาไว้ของแม่ ซึ่งเป็นความรักที่ต้องแอบซ่อนเหมือนกัน ช่วงเวลาในปี ค.ศ. 1968 จู-ฮี (รับบทโดย ซน เย-จิน) พบรักแรกกับ จุน-ฮา (รับบทโดย โช ซึง-อู) ในวันหยุดฤดูร้อนที่ชนบท แต่เธอถูกผู้ใหญ่หมั้นหมาย ให้แต่งงานกับลูกชายพ่อค้าใหญ่ ซึ่งเป็นเพื่อนกับ จุน-ฮา ทั้งคู่จึงต้องเก็บงำความรู้สึกที่มีต่อกัน ปิดบังทั้งเพื่อนและพ่อ เพื่อแอบพบกันอย่างลับ ๆ
ผู้กำกับ
- Jae-young Kwak
บริษัท ค่ายหนัง
- CJ Entertainment
นักแสดง
- Son Ye-jin
- Zo In-sung
- Cho Seung-woo
- Lee Ki-woo
- Lee Joo-eun
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
เมื่อไม่นานที่ผ่านมาได้เขียนถึงหนังที่เรียกว่าเปิดยุคทองของหนังเกาหลีและสร้างชื่อให้กับนักแสดงอย่าง #จวนจีฮยอน กับ #ชาแตฮยอน ที่เรียกได้ว่าเป็นงานระดับขึ้นหิ้งของหนังเกาหลีในบ้านเราอย่าง My Sassy Girl (2001) ซึ่งนำเสนอความคลาสสิคในแบบโรแมนติคคอมมิดี้ดีๆ The Classic ฮาๆ สุข เศร้า เหงา ซึ้ง หักมุม มีทุกรูปแบบทำให้หนังครองใจคนดูได้ตลอดมา สองปีผ่านไปค่ายหนังที่บุกเบิกหนังเกาหลีอย่าง #นนทนันท์เอ็นเตอร์เทนเม้น ก็ได้มอบความคลาสสิคขึ้นหิ้งอีกชิ้นให้คนดูที่คราวนี้มาในแบบโศก หวาน ซึ้ง และสมบูรณ์แบบในแง่ความเป็นภาพยนตร์แนวเมโลดราม่า งานชิ้นที่ว่านี้ได้ตอกย้ำคุณภาพของหนังเกาหลีเข้าไปอีก งานที่สร้างชื่อดาราอย่าง #ซนเยจิน ให้โด่งดังทะลุฟ้าในฐานะเจ้าแม่เมโลดราม่าและค้างฟ้าอยู่ตรงนั้นจวบจนปัจจุบัน #TheClassic #คนแรกของหัวใจคนสุดท้ายของชีวิต
ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์ที่ชื่นชอบการดูหนัง จะมีหนังสักกี่เรื่องที่ประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืม ในความเป็นจริงจากพรรษาการดูหนังของแต่ละคนย่อมเจอหนังทั้งดีทั้งแย่มานับไม่ถ้วน และแน่นอนว่ามีหนังอยู่ประเภทหนึ่งที่อยู่ในใจและจะติดอยู่ในห้วงแห่งความคำนึง นั่นคือหนังที่ยกไว้บนหิ้ง หนังที่ใครอย่าได้อาจหาญไปแตะต้องเพราะมันคือของสูง มันคือหนังที่เรารัก เช่นหนังเรื่องนี้ที่ส่วนตัวแล้วคิดว่านี่คืองานเมโลดราม่าที่สมบูรณ์แบบที่สุดทั้งตัวเรื่องที่เป็นเรื่องราวความรักของคนสองรุ่นตัดสลับกัน กับความเป็นเรื่องราวรักสามเส้า บทหนังที่สมบูรณ์แบบที่เก็บงำความลับและชี้ทางให้คาดเดาแม้จะไม่ยากที่จะคาดเดานักด้วยทางและหน้าหนังมันชี้ทางไปในทางความเศร้าและเสียสละ แต่กระนั้นยังดีพอที่จะจบด้วยความเหนือความคาดหมายเล็กๆ บทหนังที่มอบความประทับใจให้คนดูทั้งยิ้มอย่างมีความสุข อิ่มเอม
ตราตรึงใจในความรัก และโศกสลดเมื่อความรักและเส้นชีวิตของตัวละครไม่เป็นไปตามที่ต้องการ งานดนตรีที่ขับส่งเรื่องราวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และฉากต่างๆที่เหมือนเป็นตัวแทนของยุคสมัยทั้งในส่วนของคนรุ่นก่อนที่มาเป็นเพลงสากลคลาสสิคและสำหรับคนรุ่นหลังกับงานแบบป๊อปและอัลเทอร์เนทีฟ(ตามยุคสมัยนั้น) ซึ่งงานดนตรีที่ขับส่งดังว่าสามารถกระตุ้นต่อมความอิ่มเอม ความซาบซึ้งและความโศกเศร้าได้จนกระทั่งขอบตาอุ่นๆในแทบทุกฉาก หนังมอบความตรึงใจด้วยเรื่องราวที่กินใจในส่วนของคนรุ่นก่อนด้วยคำว่า #คนแรกของหัวใจ ด้วยเรื่องราวรักครั้งแรกที่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หากแต่ข้างในมันเรียกร้อง แน่นอนว่าหนังมีดีที่จะให้คนดูลุ้นและเอาใจช่วยให้ความรักของจูฮีและจุนอาได้สมหวังแม้จะมีกำแพงคอนกรีตอย่างหนากั้นขวางไว้และในทางเดียวกันก็สงสารแทซูสุดใจ ถึงแม้สุดท้ายเป็นความเสียสละของจุนอาเองที่ไม่ยอมเป็นภาระและเสียสละให้จูฮีได้มีชีวิตที่ดีส่วนตัวเขาเองคงต้องไปมีชีวิตที่ต่างไปด้วยการโกหกว่าตัวเองแต่งงานแล้ว หากแต่นั่นคือการสร้างความร้าวรานอย่างสุดเปรียบเปรยให้กับจูฮีในวันที่รู้ความจริงเมื่อต้องโปรยอัฐิของชายคนที่รักเธอทั้งน้ำตาในแม่น้ำของเขาและเธอ
อีกทางหนึ่งจีแฮลูกสาวของจูฮีที่อยู่กับเรื่องราวรัก The Classic โรแมนติคของพ่อกับแม่ผ่านจดหมายรักที่พ่อกับแม่เขียนโต้ตอบกันและได้รับรู้เรื่องราวของรักสามเส้าของคนรุ่นแม่ผ่านสมุดบันทึกเก่าๆ และเหมือนเป็นโชคชะตาที่ตัวเธอเองก็ต้องพานพบกับเรื่องราวรักสามเส้าไม่ต่างกันเมื่อในหัวใจของเธอมีซังมินอยู่ข้างในแต่ยังพยายามขัดขืนเพราะเขาคือผู้ชายที่เพื่อนของเธอรัก แต่หารู้ไม่ว่าในใจซังมินก็ไม่ต่างจากจีแฮที่ต่างฝ่ายต่างมีใจแต่กลับมีเส้นบางๆกั้นไว้อยู่ แล้วสุดท้ายก็ไม่มีอะไรมากั้นขวางสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างในของคนทั้งคู่มันทะลักออกมาพร้อมกับการที่จีแฮรับรู้ว่าแท้จริงแล้วจดหมายที่แม่เธอเก็บไว้ไม่ใช่สำนวนการเขียนของพ่อเธอหากแต่เป็นชายอีกคนที่เขียนจดหมายแทนและคนคนนั้นคือคนที่แม่เธอรักหมดหัวใจและเขาก็รักแม่เธอไม่น้อยกว่ากัน และเหมือนโชคชะตาเล่นตลกเมื่อจีแฮเล่าถึงจุดสุดท้ายของบันทึกแล้วกลายเป็นว่าซังมินคือลูกชายของจุนอาชายเดียวในดวงใจของแม่เธอที่คือคนแรกของหัวใจแม่เธอและเธอก็เจอ #คนสุดท้ายของชีวิต ที่คล้ายดั่งโชคชะตาลิขิตมันไว้แล้ว
ทำไมหนังถึงคลาสสิค จากเรื่องราวที่กล่าวมามันมาจากบทภาพยนตร์ชั้นยอดจนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ใครจะปฏิเสธว่าการดูหนังเรื่องนี้คุณไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับชะตากรรมของคนทั้งสองรุ่น คุณปฏิเสธหรือไม่ว่าตลอดเวลาการดูหนังเรื่องนี้ไม่มีสักครั้งที่ขอบตาคุณอุ่นระอุ และนั่นคือความคลาสสิค ถ้านั่นยังไม่พอหนังมอบฉากจำไว้มากมายให้รำลึกเช่นฉากขี่หลังกลางสายฝน ฉากหิ่งห้อยที่ริมแม่น้ำ หรือแม้กระทั่งฉากวิ่งลุยฝนด้วยเสื้อของซังมินที่เป็นที่มาของร่มวิเศษที่สามารถตัดเส้นแบ่งในความรู้สึกของซังมินและจีแฮ อีกทั้งหนังได้มอบการแสดงที่แสนประทับใจด้วยเคมีที่ลงตัวอย่างที่สุด แน่นอนอย่างที่ทราบกันว่าซนเยจินแจ้งเกิดเต็มตัวจากหนังเรื่องนี้ด้วยการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เป็นธรรมชาติและคนดูหลงรัก ในขณะเดียวกัน #โจซึงอู ก็มอบการแสดงที่ไม่น้อยหน้าเล่นแบบเฉือนกันไม่ลงและหลังจากเรื่องนี้เขาก็มีงานต่อมาอีกมากมาย (Inside Man (2015),Marathon (2005) หรือกระทั่ง Stranger (2017) เป็นอาธิ)
ด้วยเรื่องราวที่แม้จะโศกเศร้าในคนรุ่นหนึ่งและสมหวังและซาบซึ้งในคนอีกรุ่น The Classic หนังที่จบแบบน่าจะทำร้ายจิตใจคนดูแต่กลับมอบความสมหวังและตราตรึงให้แบบเหนือความคาดคิด หนังที่บทภาพยนตร์ลงตัวด้วยบทสนทนาที่ธรรมดาเป็นธรรมชาติไม่ได้ปั้นแต่งให้ดูหวานจนเลี่ยน (ให้ดูจากฉบับซับไทย) หนังที่นักแสดงเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติและคนดูหลงรัก หนังที่อยู่บนหิ้งในความรู้สึกของใครๆหลายๆคน หนังที่คนดูรัก หนังที่มีชื่อไทยที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกภาพยนตร์ The Classic คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต จริงๆแล้วเมื่อวันก่อนได้พูดคุยกับสหายรุ่นที่ไม่เคยได้ดูเวอร์ชั่นนี้แต่ได้ดูฉบับรีเมคของไทยแล้วบอกว่าซาบซึ้ง ตัวเองซึ่งได้ผ่านตามาก็เลยหยิบต้นฉบับให้ไปดู
ในส่วนของใหม่คงไม่พูดถึงมากเพราะหลายๆท่านอาจพิสูจน์ไปแล้ว บางคนก็ยังไม่ แต่สำหรับตัวเองแล้วงานต้นฉบับชิ้นนี้มันคือของสูง มันคืองานที่ดีเกินไป มันคือความคลาสสิคที่คงไม่มีวันจะตามรอยได้ อย่าพูดถึงคำว่าจะทำให้ดีกว่า เอาแค่เทียบเท่าของเก่ายังโคตรอภิมหายาก เพราะหนังเรื่องนี้มันลงตัวทุกอย่าง มันคืองานอีกชิ้นที่ไม่ควรต้องถูกรีเมค ส่วนการสนทนากันวันนั้นประโยคที่ข้าพเจ้าได้บอกกับรุ่นน้องไปคือ งานรีเมคมันคืองานสร้างใหม่จากของเก่าที่ต้องดีมากๆจึงถูกรีเมค คุณจะห้ามไม่ให้คนดูรุ่นผมเอาไปเปรียบเทียบคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบางทีการเห็นคนรักถูกย่ำยีมันคือความเจ็บปวด และทรมานเหลือเกิน
เรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเพื่อนสนิทของเธอคบกับผู้ชายที่เธอแอบชอบ วันหนึ่งเธอพบไดอารี่และจดหมายจากอดีตที่เป็นของแม่เธอ เรื่องราวจึงเปลี่ยนไปในอดีตที่แม่เป็นหญิงสาวที่ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่ตัวเธอเองกลับถูกจัดแจงให้แต่งงานกับเพื่อนของผู้ชายคนนั้น มีความสัมพันธ์แบบขนานระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และเรื่องราวก็สลับไปมาระหว่างความรักสองแบบ ฉันพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นละครเกาหลีที่ดำเนินเรื่องได้ดี การถ่ายภาพค่อนข้างสวยงาม อย่างไรก็ตาม บางส่วนก็ดูซ้ำซาก (เนื่องจากบางแง่มุมของผลงานก่อนหน้านี้ของผู้กำกับรู้สึกว่าซ้ำซาก) The Classic แต่ในฐานะภาพยนตร์เองแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานที่ถ่ายทำได้ดีและนำเสนอออกมาได้ดี อย่างไรก็ตาม
ถือว่าค่อนข้างน่าเสียดายเมื่อเทียบกับความนิยมและความคาดหวังที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้จากผลงานก่อนหน้านี้ของผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมากกว่าอย่าง “My Sassy Girl” ผู้วิจารณ์รายนี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากฉันไม่เคยดูผลงานก่อนหน้านี้และได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ฉันอาจยกย่องภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เกือบจะประสบความสำเร็จในการเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง (ตรงกันข้ามกับภาพยนตร์ที่ดี ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น) ความคิดสร้างสรรค์ในบางครั้งในการจัดองค์ประกอบ บรรยากาศ และจังหวะเวลาถือว่ายอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างคาดเดาได้ง่าย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณรู้ว่าผู้กำกับนำเสนอธีมประเภทใดในผลงานก่อนหน้านี้ของเขา)
และยอมรับว่าฉันมองเห็นตอนจบได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น (แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ฉันเสียสมาธิจากการสนุกกับภาพยนตร์ก็ตาม) เราไม่สามารถหยุดได้ทุกครั้งที่เห็นฉากฝนตกหรือเมื่อเพลงของ Pachebel ดังขึ้น เราจะนึกถึงฉากหนึ่งจาก “My Sassy Girl” (เนื่องจาก “My Sassy Girl” ล้อเลียนละครน้ำเน่า) หากปราศจากสิ่งรบกวนเหล่านี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในฐานะผลงานที่สร้างสรรค์ ในแง่ของตัวละคร พวกเขาน่าจดจำอย่างแน่นอน และองค์ประกอบโรแมนติก (แม้ว่าจะไม่ได้มีมิติหรือลึกซึ้งเท่ากับผลงานของผู้กำกับที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้) ก็น่าเชื่อถือ
มีฉากหลังทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่เข้าคู่กันกับความโรแมนติก ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูมีความเข้มข้นขึ้น เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ชวนคิดถึง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์มหากาพย์ (ซึ่งตัวมันเองก็อาจไม่ใช่แนวทางที่แย่) ความใส่ใจในรายละเอียดบางส่วนก็ทำได้ค่อนข้างดี โดยรวมแล้ว ฉันสนุกกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติก แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความคาดหวังที่เข้มงวดและความซ้ำซากจำเจอยู่บ้าง แต่ตัวละครและความโรแมนติกก็สร้างความประทับใจที่ดีได้อย่างแน่นอน
เป็นภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้ดีมาก โครงเรื่องทั้งสองเรื่องและเนื้อเรื่องของทั้งสองเรื่องเชื่อมโยงกันได้อย่างแนบเนียน นักแสดงทุกคนแสดงได้น่าเชื่อถือมากในบทบาทของตัวเอง มีบางช่วงในภาพยนตร์ที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจได้จริงๆ มีฉากเบาๆ มากมายแต่ก็มีความโรแมนติกพอเหมาะพอดี มีอารมณ์ขันเล็กน้อยประปราย เพลงประกอบก็เหมาะสมมาก…ทำออกมาได้ดีมาก ฉากที่จุนโฮ (ขออภัยหากสะกดผิด) กลับมาจากสงครามและได้พบกับจีแฮนั้นยอดเยี่ยมมาก!! ฉันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อรู้ตัวในที่สุด (ในฉากที่ค่อนข้างยาว เมื่อจุนโฮสะดุดโต๊ะ และจีแฮก็เดินเข้ามาหาเขา) ว่าเขาสูญเสียการมองเห็น… The Classic น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ในตอนนั้น 🙂 แล้วก็มีตอนที่จุนพบแทซูพยายามฆ่าตัวตาย มันเศร้ามากจริงๆ และฉันถอนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อรู้ว่าแทซูยังไม่ตาย! และใครจะลืมจุดที่มีความสุขที่สุดในหนังได้… ตอนท้ายเรื่องเมื่อซังมินถอดสร้อยคอของจุนโฮ (เขาเป็นลูกชายของจุนโฮ) แล้วใส่ให้จี มันดีมาก!! ความรักของจีและจุนได้หวนกลับมาอีกครั้งผ่านลูกๆ ของพวกเขา… โชคชะตาเป็นผู้กำหนด!
ฉันจะพูดอะไรเกี่ยวกับ The Classic ได้อีก นอกจากว่าฉันไม่เคยคิดว่าจะชอบหนังแบบนี้ หนังรักวัยรุ่นแบบเชยๆ ไม่ใช่แนวที่ฉันดูบ่อยนัก แต่ The Classic เป็นหนังที่สวยงามมาก ฉันไม่คุ้นเคยกับภาพยนตร์เกาหลีและไม่เคยดู ‘My Sassy Girl’ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ว่าหนังเรื่องนี้จะวัดผลอย่างไรเมื่อดูภาคต่อ แต่ในฐานะภาพยนตร์ที่แยกออกมาแล้ว มันเป็นการเดินทาง 2 ชั่วโมงที่ซาบซึ้ง สะเทือนอารมณ์ และตลกขบขันสำหรับฉัน การถ่ายภาพทำได้ยอดเยี่ยม และเมื่อจับคู่กับเพลงประกอบที่น่าประทับใจพอๆ กัน ก็สามารถสร้างฉากชนบทของเกาหลีที่สวยงามได้ รวมถึงช่วยเสริมอารมณ์ที่สะเทือนอารมณ์และคิดถึงอดีตของภาพยนตร์โดยทั่วไป
การแสดงนั้นยอดเยี่ยมมากในความคิดของฉัน ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะแสดงได้แย่เกินจริงได้ง่ายเมื่อพิจารณาจากโครงเรื่องโดยรวมของภาพยนตร์ แต่ฉันไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดกับนางเอกเลยสักครั้ง การคัดเลือกนักแสดงนั้นสมบูรณ์แบบ และฉันหลงใหลในตัวละครของจุนโฮและแทซูที่ตลกขบขันมาก นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบตลกๆ มากมายในภาพยนตร์ที่ทำให้ฉันหัวเราะจนนั่งไม่ติดโซฟา ทำให้ตัวละครดูน่ารักไม่รู้จบ ภาพยนตร์พาเราย้อนอดีตไปหลายปีตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ของตัวละครพบกันครั้งแรก และทำให้ฉันน้ำตาซึมในตอนจบ เรื่องราวในยุคปัจจุบันก็ดีไม่แพ้กัน ภาพยนตร์ยังจบลงด้วยสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่ๆ สองอย่างซึ่งทำให้ฉันคิดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ไปอีกนาน
โดยรวมแล้ว ฉันแปลกใจจริงๆ ที่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ The Classic หลังจากพิจารณาว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทั้งที่ฉันไม่ชอบละครโรแมนติก/คอมเมดี้เลย ฉันจึงสรุปได้ง่ายๆ ว่านี่เป็นการสร้างภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมาก โดยที่ผู้ชมจะหลงใหลไปกับภาพยนตร์นี้โดยสิ้นเชิง อาจไม่สมจริงเท่าไร และไม่ว่าเราจะวิเคราะห์มันนานแค่ไหนและพบกับความซ้ำซากจำเจในตอนจบ เราก็รู้เพียงว่าเราได้รับความบันเทิงและซาบซึ้งจากภาพยนตร์เรื่องนี้
ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
First Knight (1995) สุภาพบุรุษอัศวิน
The Sweetest Thing (2002) ยุ่งนัก…จะสวีทใครสักคน
Doc Hollywood (1991) ด็อคเตอร์หัวใจพลอมแพลม
6.8