ดูหนังออนไลน์ The Cable Guy (1996) เป๋อจิตไม่ว่าง
เรื่องย่อ
คนที่อ้างว้างและจิตใจกังวลสายเคเบิลยกขึ้นในโทรทัศน์เพียงต้องการเพื่อนใหม่ แต่เป้าหมายของเขาออกแบบปฏิเสธเขามีผลร้ายสตีเว่น(แมทธิว บรอเดอริก)สถาปนิกหนุ่มวางแผนตีสนิทกับชิป (จิม แครี่)ช่างเคเบิ้ลทีวีเพื่อหวังจะประหยัดค่าติดตั้งและชิปก็พาตัวเองเข้าไปเกาะติดอยู่กับชีวิตของสตีเว่น จนยากที่จะสลัดออกไปได้ง่ายๆ สตีเวน โควัคส์ (Matthew Broderick) เป็นชายหนุ่มธรรมดาที่เพิ่งเลิกรากับแฟนและย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใหม่ เขาตัดสินใจติดตั้งเคเบิลทีวี และได้พบกับ ชิพ ดักลาส (Jim Carrey) ช่างติดตั้งเคเบิลทีวีที่ดูเป็นมิตรแต่แปลกประหลาด ชิพเสนอติดตั้งเคเบิลให้ฟรี (แบบผิดกฎหมาย)
เพื่อแลกกับการเป็นเพื่อนกับสตีเวน ในตอนแรก The Cable Guy สตีเวนรู้สึกว่าชิพเป็นแค่ชายที่ชอบพูดมากและแปลก ๆ แต่ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เมื่อชิพเริ่มบุกรุกชีวิตส่วนตัวของเขา ชิพพยายามบงการชีวิตของสตีเวน ตั้งแต่การหาทางคืนดีกับแฟนเก่า ไปจนถึงการพาเขาไปทำกิจกรรมแปลก ๆ ที่สตีเวนไม่ต้องการ และเมื่อสตีเวนเริ่มตีตัวออกห่าง ชิพก็เผยด้านที่น่ากลัวและเป็นอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ สตีเวนต้องหาทางตัดขาดจากชิพ แต่กลับพบว่าชิพติดตามเขาไปทุกที่ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาไปจากชีวิตของเขา นำไปสู่การเผชิญหน้าที่ทั้งตลกและน่าขนลุก
ผู้กำกับ
- Ben Stiller
บริษัท ค่ายหนัง
- Columbia Pictures
นักแสดง
- Jim Carrey
- Matthew Broderick
- Leslie Mann
- Jack Black
- George Segal
- Diane Baker
- Ben Stiller
โปสเตอร์หนัง
รีวิว เป๋อจิตไม่ว่าง
นี่คือหนังตลกที่ดังตั้งแต่ยังไม่สร้างเพราะเฮีย Jim Carrey ได้ทุบสถิติใหม่รับค่าตัวไป 20 ล้านจากหนังเรื่องนี้ แต่ตัวหนังกลับไม่ถูกใจผู้ชมเท่าที่ควรครับ ทำเงินได้คืนมาจากทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าพอเท่าทุน The Cable Guy (ลงไป 47 ล้านน่ะครับ ถ้าตัดค่าตัวเฮียแกออก หนังก็จะลงทุนไม่เกิน 30 ล้านเท่านั้น) เหตุผลประการสำคัญก็เพราะหนังมันออกมาในแนวตลกร้าย จิกกัดเสียดสี โทนดาร์คๆ มากกว่าจะเป็นตลกเอาฮาแบบเบาๆ ไม่เหมือนอย่างผลงานเรื่องก่อนๆ ของเฮีย Jim ไม่ว่าจะ The Mask, Ace Ventura หรือ Dumb and Dumber
เฮีย Jim รับบทช่างเคเบิ้ลจอมป่วนที่ สตีเว่น โคแว็กซ์ (Matthew Broderick) หนุ่มจอมซื่อเรียกมาตามคำแนะนำของเพื่อนที่บอกว่ายัดใต้โต๊ะให้ช่างเคเบิ้ล 50 เหรียญ แล้วเดี๋ยวช่างก็จะทำการติดเคเบิ้ลเถื่อนที่ดูได้ครบทุกช่องให้ โดยไม่ต้องจ่ายค่ารายเดือนแต่อย่างใด จริงๆ ถ้าเป็นช่างคนอื่นก็คงขอแค่ 50 แล้วจบครับ แต่นายช่างคนนี้ไม่รับเงิน ทว่าขอให้สตีเว่นมาเป็นเพื่อนเขาแทน และนั่นล่ะครับจุดเริ่มชีวิตป่วนสุดหายนะ เพราะนายช่างคนนี้ก็แสนจะแสบ กวนชีวิตสตีเว่นตลอด ครั้นสตีเว่นจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะนายช่างคนนี้ก็จะตามรังควานซะจนอยู่ไม่สุข…
ว่าตามจริงการให้ เฮีย Jim มาเล่นบทนี้มันก็เหมาะนะครับ เฮียแกก็เล่นได้เพี้ยนบ้าถึงขีดดี ส่วน Broderick ก็ดูหงอไม่ เป็นหนุ่มหน้าอ่อนไม่สู้คนได้กำลังดีเหมือนกัน จริงๆ นักแสดงไร้กังวลครับ แต่จุดที่ทำให้ความสนุกของหนังมันไม่กลมกล่อมส่วนหนึ่งก็ด้วยความเพี้ยนล้นๆ ของตัวละครนายเคเบิ้ลกายที่ดูป่วนมาก บ้ามากจนออกแนวน่าหงุดหงิดมากกว่าจะขำขัน ชวนให้นึกถึงบทของ Bill Pullman ใน Mr. Wrong (1996) น่ะครับ อันนั้นมันก็เพี้ยนมาก บ้ามาก ไร้เหตุผลมากจนชวนให้หงุดหงิดเหมือนกัน แล้วที่นี่มันก็ส่งผลต่อความสนุกของหนังครับ เมื่ออะไรต่อมิอะไรมันชวนให้รู้สึกลบมากกว่าจะเป็นบวก
อันนี้คือที่ผมรู้สึกนะครับ มันเพี้ยนล้นน่ารำคาญมากกว่าจะสนุก ไม่เหมือนบทเอซ เวนทูร่าหรือเดอะ แมสค์ที่แม้จะเพี้ยนมาก การ์ตูนมาก แต่ก็ยังมีจุดน่ารัก หรืออย่างน้อยก็จะมีจุดเด่นด้านบวกผสมอยู่ในตัวละครนั้นๆ อย่างนายเอซที่เพี้ยนจนเหมือนต๊องและบ้า แต่แกก็เป็นนักสืบที่เก่งจริง มีความสามารถในการสังเกตรายละเอียดเล็กๆ เพื่อนำหลักฐานทั้งหลายมาไขคดี หรือเดอะแมสค์ก็ยังมีอิทธิ์ฤทธิ์น่ารักๆ หลายประการ ดูแล้วมันเลยพอดี
ส่วนกับนายเคเบิ้ลกายคนนี้มีแต่ป่วนป่วนป่วน รวนชีวิตชาวบ้าน เลยออกจะเป็นอะไรที่ผิดจากที่คาด เพราะอย่าว่าแต่สตีเว่นอยากให้นายคนนี้ออกไปจากชีวิตเลยครับ คนดูก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน! แต่กระนั้นถ้ามองไปที่ประเด็นที่หนังพยายามสื่อมันก็ยังพอไหวครับ เพราะทีมเขียนบทและผู้กำกับนั้นแทรกการจิกกัดไว้ให้คนดูลองเก็บไปคิด โดยเฉพาะเรื่องการเสพติดทีวีครับ เอาล่ะ ผมกำลังจะสปอยล์แล้วนะครับ The Cable Guy ไม่อยากทราบอย่าอ่านตัวอักษรที่มีสีน้ำเงินนะครับ
หนังได้เฉลยในตอนท้าย ว่านายเคเบิ้ลกายคนนี้ถูกเลี้ยงด้วยทีวีมาตั้งแต่เด็กครับ พ่อแม่ทิ้งไว้หน้าจอ เปิดทีวีทั้งวัน แกเลยเข้ากับใครแบบธรรมดาไม่เป็น ความสามารถในการเข้าสังคมก็ไม่มีครับ จะทำความรู้จักใครก็โผงผางเหมือนตัวการ์ตูน ไม่สนไม่แคร์คนอื่น มุ่งสนใจแต่ตนเอง ไม่ยอมรับคำปฏิเสธ เป็นคนประเภทอยากได้อะไรก็ต้องได้ และถ้าไม่ได้ล่ะก็ คนที่ไม่ตามใจเตรียมโดนเอาคืนได้เลย
นั่นล่ะครับ ปมที่มาของการเป็นตัวป่วนของเขา ซึ่งอันที่จริงก็น่าเห็นใจครับเพราะเมื่อเขาไม่ได้เติบโตอย่างเหมาะควร ไม่มีคนสอนสั่ง ไม่มีต้นแบบชีวิตให้เขาเรียนรู้และเดินตาม ได้แต่เสพและเรียนจากสารพัดสิ่งปรุงแต่งในทีวี ไม่ว่าจะตัวการ์ตูนที่เน้นความตลกแต่แฝงความรุนแรงบางอย่าง (สังเกตครับว่าการ์ตูนฝรั่งอย่างบั๊กส์ บันนี่หรือมิคกี้ เมาส์ก็มักจะกวนกัน ตีกันมากกว่า จะมาน่ารักแบบแคสเปอร์น่ะน้อยครับ ไหนจะสารพัดซูเปอร์ฮีโร่อีก)
ยังไม่รวมละครน้ำเน่า รายการขายของสารพัดชนิด หรือการเสนอข่าวที่เน้นหวือหวา รุนแรง และมักเป็นข่าวร้าย (เพราะข่าวร้ายขายดีเสมอ) ที่ไม่ประเทืองปัญญาคนดู ซึ่งทั้งหมดนั่นก็หล่อหลอมออกมาเป็นเขาที่เราเห็นครับ… เดอะ เคเบิ้ล กาย ยอมรับว่าผมรำคาญพี่แกนะ แต่พอถึงฉากเล่าเฉลยในตอนไคลแม็กซ์ที่จานดาวเทียมนั่น สิ่งที่เขาพูดและเปิดเผยออกมาทำให้ผมเห็นใจเขาในบัดดล เขาก็แค่เด็กที่ขาดความอบอุ่น แต่คนที่โตมาโดยไร้ตัวแบบที่ดี ไร้คนคอยแนะนำชี้ทางอย่างเหมาะสม… เขาก็แค่เหยื่ออีกคน เหมือนผู้ใหญ่อีกมากหลาย เหมือนเด็กอีกมากมายที่ทำตัวไม่ดีหรือเป็นตัวป่วนในสายตาใคร ก็เพราะสิ่งแวดล้อมสอนมาแบบนั้น…
ผมชอบสิ่งที่เขาสื่อในตอนท้ายนะครับ ว่าเขาก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ The Cable Guy เขาอยากดีกว่านี้ แต่จะทำไงได้ล่ะในเมื่อชีวิตเขาเป็นสิบปีถูกหลอมด้วยทีวีอย่งเดียวแบบนี้ แน่นอนครับว่านี่คือตัวละครที่ไม่ได้มีจริง มีแค่ในแผ่นฟิล์ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าคนที่มีพฤติกรรมทำนองนี้ก็มีอยู่ และจะว่าไปแล้ว นี่คือตัวละครที่ทีมผู้สร้างนำเสนอขึ้นมาเพื่อชวนให้คนดูได้คิด ได้ใคร่ครวญถึงบางสิ่ง ถ้าคุณเป็นพ่อแม่นี่ก็คือบทเรียนที่ควรจำไว้ เพื่อไม่ให้เกิดกับลูกครับ และการจิกกัดเสียดสีในหนังนั้นมันชวนคิด มันสะท้อนความจริงที่ชวนตระหนักหลายอย่าง… ว่าแต่ทราบไหมครับว่าใครทำหนังเรื่องนี้
ผู้กำกับคือ Ben Stiller ครับ เป็นงานกำกับหนังโรงเรื่องที่ 2 ต่อจาก Reality Bites เรื่องนั้นพี่แกนำเสนอเรื่องของคนเจนเนอเรชั่น X ครับ ก็มีประเด็นไม่เลว ส่วนในเรื่องนี้พี่แกก็โดดลงมาเล่นด้วยครับในบทประกอบเล็กๆ เป็นผู้ต้องหาคดีความที่คนทั่วประเทศกำลังสนใจ (ทั้งที่คดีมันไม่ได้มีอะไรมาก แต่คนก็ติดตามเพราะกระแส เพราะสอดรู้ ฯลฯ นี่ก็จิกกัดอีกเหมือนกันครับ) และหนังเขียนบทโดย Lou Holtz Jr.
แต่เป็นที่รู้กันว่าคนเขียนบทอีกคนที่มีส่วนในบทหนังเกินครึ่งคือ Judd Apatow ที่ร่วมงานกับ Stiller มาตั้งแต่สมัยทำรายการทีวี The Ben Stiller Show ด้วยกัน แต่ Apatow ก็เลือกจะใส่ชื่อแค่อำนวยการสร้างก็พอ ว่ากันว่าพี่ท่านทำเพื่อท้าทายกฎของสมาคมนักเขียนบทที่มีรายละเอียดนั่นนี่จนบางทีก็น่ารำคาญ ต้องอย่้างนี้ถึงจะใส่ชื่อได้ ต้องเขียนบทเท่านี้ถึงจำใส่ได้ ครั้งนี้เขาเลยประกาศเลยครับว่าเขามีเกณฑ์ครบที่จะใส่ชื่อลงไปได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ มีอะไรหรือเปล่า? 5555
มีอีกหนึ่งสาระ (หรือการจิกกัด) ที่พวกเขาใส่ลงไปนะครับ นั่นคือฉากเล็กๆ หลังเหตุการณ์ไคลแม็กซ์จบลง ส่งผลให้ระบบเคเบิ้ลล่ม ทีวีไม่มีดูกันไปพักหนึ่ง แล้วหนังก็ฉายไปที่ชายคนหนึ่ง เขาเลือกที่จะหันมาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วอ่านมันอย่างช้าๆ… เหมือนกระซิบผ่านภาพว่า เราใช้เวลาติดตามคดีความดังๆ ที่ไม่ได้มีผลกับชีวิต ดูทีวีน้ำเน่า ดูคนขายของ ดูอะไรต่อมิอะไรมากมายที่อาจไม่ได้ประเทืองปัญญา ไม่ได้พัฒนาตัวเราไม่ว่าจะด้านสติปัญญา อารมณ์ หรือจิตวิญญาณ แต่เราเลือกเสพเพราะมันง่ายครับ มันง่ายกว่าการอ่านที่ต้องใช้เวลา ใช้สมาธิ ต้องใช้การตีความและการคิดของตน ซึ่งในบางทีสิ่งที่เราอ่านมันก็ไม่สนุกสนานด้วย ในขณะที่การดูทีวีนั้นแค่เปิดแล้วนั่ง เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ มันง่ายกว่า มันสนุกกว่า แต่มันให้อะไรได้คุ้มกับเวลาที่เราเสียไปหรือเปล่าอันนี้คือคำถามที่หนังทิ้งไว้ให้คิด ในฐานะหนังตลกสักเรื่องนั้น The Cable Guy อาจไม่โอและไม่สนุกอะไรเต็มที่ แต่ด้านประเด็นชวนคิดก็นับว่าไม่เลว
สำหรับบางคน The Cable Guy ภาพยนตร์เป็นมากกว่าความหลงใหล ภาพยนตร์เป็นวิถีชีวิต สำหรับฉัน ภาพยนตร์ไม่เพียงแต่เป็นงานอดิเรกที่ฉันชื่นชอบเท่านั้น แต่ฉันรู้สึกว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องสะท้อนถึงตัวตนของบุคคลที่รับชมภาพยนตร์ได้อย่างชัดเจน พวกเขาบอกว่าคุณสามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งได้จากวิธีที่เขาแสดงพฤติกรรม พูด เดิน ฉันเชื่อว่าคุณสามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งจากภาพยนตร์ประเภทที่เขาชอบได้เช่นกัน
และฉันคิดว่าสำหรับชิป ดักลาส (จิม แคร์รีย์) ภาพยนตร์และโทรทัศน์เป็นมากกว่าความบันเทิงแบบใช้แล้วทิ้ง มันคือชีวิตทั้งหมดของเขา เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพยนตร์มากจนสร้างตัวละครหลายตัวขึ้นมาตามบุคลิกของบุคคลในโทรทัศน์ นักวิจารณ์หลายคนตำหนิการแสดงของแคร์รีย์ว่าเป็นพวกซาดิสต์เกินไป ฉันคิดว่าการแสดงของแคร์รีย์สมบูรณ์แบบเพราะกล้าหาญและแตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาอย่างมาก และสะท้อนความคิดของบุคคลที่มีปัญหาซึ่งเติบโตมากับทีวีมากกว่าที่จะได้สัมผัสชีวิตจริง ภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่จะเหมือนกับ “The Cable Guy” และส่วนใหญ่ไม่มีความกล้าที่จะแสดงออกอย่างกล้าหาญและโดดเด่นเช่นนี้
ใน “The Cable Guy” แคร์รี่เป็นตัวละครหลัก ชื่อจริงของเขาคือชิป ดักลาส แต่ตอนท้ายเรื่องเราไม่แน่ใจว่าอะไรจริงหรือเท็จอีกต่อไป ชิปทำงานให้กับบริษัทเคเบิลทีวีและเสนอที่จะเชื่อมต่อผู้เช่าอพาร์ตเมนต์ใหม่ สตีเวน (แมทธิว โบรเดอริก) กับเคเบิลทีวีผิดกฎหมาย สิ่งเดียวที่ดักลาสขอเป็นการตอบแทนคือมิตรภาพ ซึ่งสตีเวนก็ตกลงอย่างไม่เต็มใจ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือชิปเป็นสัตว์ประหลาดที่หมกมุ่น เขาเติบโตมากับภาพยนตร์ตั้งแต่ยังเป็นเด็กและแยกแยะภาพยนตร์กับความเป็นจริงไม่ออก เขาจึงไล่ตามเส้นทาง “Fatal Attraction” และเริ่มสะกดรอยตามสตีเวน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ประเภทหนึ่ง เช่นเดียวกับเรื่อง “What About Bob?” ที่พระเอกเป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะรู้ว่า “คนร้าย” นั้นบ้าแค่ไหน ริชาร์ด เดรย์ฟัสส์คลั่งไคล้ในการพยายามโน้มน้าวครอบครัวของเขาว่าบิล เมอร์เรย์เป็นบ้าใน “Bob” ใน “The Cable Guy” แมทธิว โบรเดอริกต้องพยายามอย่างหนักในการเปิดโปงด้านซาดิสต์ของชิป
ฉันไม่ใช่แฟนตัวยงของแคร์รี่ แต่ฉันต้องยอมรับว่าเมื่อเวลาผ่านไป นักแสดงตลกคนนี้เริ่มชอบฉันมากขึ้น และเมื่อฉันเห็นเขาใน “Dumb and Dumber” ฉันนึกภาพไม่ออกว่าจะมีใครมารับบทนี้ได้อีก เขาอยู่ในบทบาทอื่นที่ฉันมองไม่เห็นว่าใครเล่นเป็นตัวละครของเขาได้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำให้ฉันเชื่อว่าเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมได้ แปลกดี ฉันคิดว่าการแสดงตลกของแคร์รีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเหตุผลที่ภาพยนตร์ของเขาได้รับการตอบรับดีขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เพราะเขาได้คิดค้นแนวตลกสมัยใหม่ขึ้นมา และเติบโตในพื้นที่แคบๆ นั้นมาเป็นเวลานาน ฉันเชื่อว่าอารมณ์ขันไม่มีอยู่จริง มันถูกคิดค้นขึ้นมา อารมณ์ขันในรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นแล้วก็หายไป ตอนนี้ อดัม แซนด์เลอร์และจิม แคร์รีเป็นนักแสดงตลกสองคนที่ได้รับค่าตัวสูงที่สุดในโลก แต่ในอีกห้าสิบปีข้างหน้า พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ
การแสดงตลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ขันถูกคิดค้นและสร้างขึ้นใหม่จนสิ่งที่เคยตลกไม่ใช่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมภาพยนตร์ตลกหลายเรื่องจากยุคต่างๆ ของประวัติศาสตร์อเมริกาจึงดูล้าสมัยมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานในปัจจุบัน The Cable Guy เราอาศัยอยู่ในโลกของจิม แคร์รีย์ อดัม แซนด์เลอร์ และไมค์ ไมเยอร์ส แม้ว่าพวกเขาจะยังมีงานทำอยู่ แต่สตีฟ มาร์ติน เอ็ดดี้ เมอร์ฟี บิล เมอร์เรย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแดน แอ็กครอยด์ ซึ่งเป็นนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุค 80 ต่างก็พบว่าตัวเองติดหล่มอยู่กับที่ โดยถ่ายทำภาพยนตร์เด็กให้กับดิสนีย์ และบางคน (โดยเฉพาะเมอร์เรย์และแอ็กครอยด์) ก็ออกจากวงการตลกเพื่อไปประกอบอาชีพที่จริงจังกว่าในด้านภาพยนตร์ที่ไม่มีวันล้าสมัย นั่นคือ ดราม่า (สำหรับเมอร์เรย์แล้ว มันคือ “Lost in Translation” แอ็กครอยด์โชคไม่ดีนักกับโปรเจ็กต์อย่าง “Pearl Harbor” ซึ่งอาจจัดอยู่ในประเภทตลกก็ได้)
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยเบน สติลเลอร์ ซึ่งสร้างความสมดุลระหว่างความประหม่าและความน่ารักได้อย่างลงตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้มีบทบาทรับเชิญพอสมควร และในฉากที่ยอดเยี่ยม โอเวน วิลสันรับบทเป็นไอ้ขี้แยที่มั่นใจในตัวเองซึ่งไปเดทกับแฟนสาวของสตีเวน เคเบิลกายรู้เรื่องนี้และคิดว่าเขากำลังช่วยสตีเวนอยู่ จึงบุกทำร้ายวิลสันในห้องน้ำของร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง บางทีเหตุผลที่นักวิจารณ์หลายคนไม่ชอบ “เคเบิลกาย” เมื่อออกฉายในปี 1996 อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองเชื่อมโยงกับตัวละครของแคร์รีย์ได้ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ ฉันรู้เพียงว่านี่เป็นภาพยนตร์ตลกที่กล้าหาญและน่าประหลาดใจที่สุดเรื่องหนึ่งในยุค 90 ไม่ได้ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษแต่ก็มีเอกลักษณ์และน่าสนใจมาก ฉันเชื่อมโยงกับตัวละครหลักของเรื่องนี้ได้เพราะเราทั้งคู่ชอบดูหนัง ฉันคลั่งไคล้หนังเรื่องนี้มากกว่าชิปมาก แต่หนังเรื่องนี้มีสายตาที่ดีในการมองเห็นจุดเสียดสีที่ดี ใช่ มันมักจะค่อนข้างมืดมนและไร้สาระ แต่ไม่ใช่ประเด็นเหรอ?
ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
God of Driving (2025) เทพรถซิ่ง
The Wedding Veil Inspiration (2023)
Mr. Bean The Movie (1997) บีน เดอะมูฟวี่
6.4