The Bombardment (2022) เงาสงคราม
เรื่องย่อ
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2488 กองทัพอากาศอังกฤษได้ออกปฏิบัติภารกิจเพื่อวางระเบิดสำนักงานใหญ่ของเกสตาโปในโคเปนเฮเกน การโจมตีครั้งนี้ส่งผลกระทบร้ายแรงถึงชีวิต เนื่องจากเครื่องบินทิ้งระเบิดบางส่วนพุ่งเป้าไปที่โรงเรียนโดยไม่ได้ตั้งใจ และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 120 คน โดย 86 คนเป็นเด็ก เรื่องนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี ค.ศ. 1945 ในประเทศเดนมาร์ก เป็นเหตุการณ์การทิ้งระเบิดที่ผิดพลาดของกองทัพอังกฤษ ที่ทิ้งระเบิดไปโดนโรงเรียนที่มีซิสเตอร์และเด็กนักเรียนอยู่ ทำให้มีเด็กๆและซิสเตอร์ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ไปหลายราย ขอย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของหนังก่อน
เปิดเรื่องมาในประเทศเดนมาร์ก The Bombardment ซึ่งเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศกำลังร้อนระอุ กลุ่มผู้ต่อต้านที่ออกมาประท้วง หรือเห็นต่าง ต้องถูกกลุ่มเกสตาโปไล่จับ และทำร้ายร่างกายไม่เว้นวัน และกำลังจะพ่ายแพ้ ทางกลุ่มผู้ต่อต้านจึงหันเหไปขอความช่วยเหลือจากประเทศอังกฤษ โดยขอให้กองทัพอังกฤษส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดสำนักงานใหญ่ของเกสตาโปในโคเปนเฮเกน แต่เมื่อถึงวันทำภารกิจ กลับเกิดเหตุการณ์ผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ปรากฎว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดบางส่วนดันมุ่งเป้าไปที่โรงเรียนอย่างไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 120 คน โดย 86 คนเป็นเด็กนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียน ใครที่ชอบดูหนังสร้างจากเรื่องจริงบอกเลยว่าห้ามพลาด! เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร
ผู้กำกับ
- Ole Bornedal
บริษัท ค่ายหนัง
- Miso Film
นักแสดง
- Bertram Bisgaard Enevoldsen
- Ester Birch
- Fanny Leander Bornedal
- Alex Høgh Andersen
- James Tarpey
- asper Kjær Jensen
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
โดยมีชื่อภาษาไทยว่า เงาสงคราม เป็นหนังสงครามจากเดนมาร์ก ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอังกฤษทิ้งระเบิดพลาดเป้าไปโดนโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กและครู จนมีผู้เสียชีวิตมากมาย สรุป นี่ไม่ใช่หนังสงครามจ๋าๆ แต่เป็น “หนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2” ซึ่งใช้การเดินเรื่องของตัวละครหลายๆ ฝั่ง ตั้งแต่ทหารอังกฤษ ชาวเมืองโคเปเฮเกน The Bombardment กลุ่มต่อต้าน แม่ชี และเกสตาโป (ตำรวจลับยุคฮิตเลอร์) มาประกอบกัน โดยเล่าเรื่องไปแบบเนิบๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เราเข้าใจสถานการณ์ ความเป็นอยู่ ความคิด การใช้ชีวิตของแต่ละคน จนเรารู้จัก ผูกพัน และสนิทกับตัวละคร ก่อนจะถึงจุดพีคในช่วงท้าย
หนังเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับการดูเพื่อความบันเทิง เพราะมันแฝงความเจ็บปวด ความจุก และสะเทือนใจจากสงคราม ซึ่งคนก่อสงครามไม่ได้มารบ ส่วนคนที่ไม่ต้องการรบ และต้องการใช้ชีวิตไปวันๆ กับครอบครัวดันต้องมารับผลกระทบไปซะอย่างนั้น ถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้ดีไหม ก็ต้องบอกว่าทำได้ไม่เลว (ถ้าไม่นับบทที่อาจยืดเยื้อไปนิด) โปรดักชันก็อลังการงานสร้าง แต่ถ้าถามว่าหากย้อนเวลากลับไป จะดูไหม หรือ มีโอกาสกลับมาดูซ้ำไหม ก็ต้องบอกว่าไม่ เพราะมันเศร้า และผ่านไป 1 วันแล้วยัง Move On ได้ไม่เต็มที่ซักเท่าไหร่
ไม่ใช่เพราะหนังมีฉากที่รุนแรง โหดร้ายเกินรับได้ แต่เป็นความคิดเชื่อมโยงของเราเอง ที่รู้สึกว่าถ้าเรามีลูก แล้วลูกเราไปโรงเรียนวันนั้น สภาพจิตใจเราจะพังพินาศได้ขนาดไหนกัน เพราะฉะนั้น จากเรื่องย่อ ก็พอรู้คร่าวๆ แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนท้ายของ The Bombardment (2022) แอดจึงแนะนำว่าใครที่ไม่ชอบหนังสงคราม หนังดราม่า หนังที่สะเทือนอารมณ์ชวนให้หดหู่ ก็ข้ามไปได้เลย แต่ถ้าเป็นคอหนังสงคราม หรือต้องการดูหนังที่สามารถบอกเราได้ว่าผลกระทบจากสงคราม มันมีอะไร การต้องใช้ชีวิตภายใต้ภาวะสงครามพร้อมเลี้ยงลูกไปด้วย มันกดดันขนาดไหน รวมถึงความเจ็บปวดทางกายและทางใจที่มัน (จะ) ฝังทิ้งไว้นั้น รุนแรงได้ขั้นไหน ก็สามารถดูและทำความเข้าใจกันได้จ้า
หนังเรื่องนี้สร้างมาจากเหตุการณ์จริงของการทิ้งระเบิดที่ผิดพลาดของกองทัพอังกฤษในประเทศเดนมาร์ก ดันไปทิ้งระเบิดใส่โรงเรียน ที่มีเด็กๆและซิสเตอร์อยู่ร่วมดันนับร้อยชีวิต เรื่องนี้เป็นหนังของเดนมาร์ก แต่มีนักแสดงคนนึงที่เราน่าจะรู้จักกันดี คือ Alex Høgh Andersen ที่เคยรับบทเป็น Ivar the Boneless (ไอวาร์ ผู้ไร้กระดูก) ในซีรีส์ Vikings ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นนักแสดงเดนมาร์กทั้งหมด บทของเรื่องนี้ทำออกมาได้ดี เฉียบคมพอสมควร ฉลาดที่เลือกดำเนินเรื่องราวผ่านตัวละครผู้เป็นซิสเตอร์
และเคร่งครัดในศาสนาคริสต์ แต่เหตุการณ์ในช่วงนั้น ที่อยู่ในยุคสงคราม มีทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การกดขี่คนชาติอื่นๆ ทำให้ซิสเตอร์เกิดการตั้งคำถามว่าคำสอนที่เคร่งครัดของศาสนานั้น มันจริงแท้ซักแค่ไหน ไม่อยากสปอยล์ อยากให้ไปดูกันเอง The Bombardment จะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครอย่างเห็นได้ชัด นอกจากตัวละคนนี้ ตัวละครหลัก คนอื่นๆในเรื่อง ก็ออกแบบตัวละครออกมาได้ดีเยี่ยม ทุกคนมีปม มีปัญหา และมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ ในส่วนของบทผมชอบมากๆ แต่การดำเนินเรื่องยังไม่ได้ดีอะไรมากนัก มีฉากให้รู้สึกเบื่อ หรือเอื่อยเกินไปอยู่บางช่วง แต่ภาพรวมคือออกมาดี
ในด้านการแสดงทุกคนทำออกมาได้ดี เล่นได้สมบทบาทกันทุกคน แต่คนที่การแสดงโดดเด่นสุดก็คงจะเป็นตัวละครซิสเตอร์ เทเรซ่า รองลงมาก็ตัวละครเด็ก 3 คน น้องๆเล่นได้ดีกันมาก เป็นธรรมชาติสุดๆ ส่วน Alex เรื่องนี้รับบทเป็นตำรวจ แต่เขาเหมือนเป็นตัวละครสมทบซะมากกว่า เลยไม่ได้โชว์ฝีมืออะไรมากนัก ถ้าอยากดูฝีมือเขาต้องไปดูใน Vikings เพราะจัดเต็มจริงๆ ต่อมางานภาพทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ถ่ายออกมาสวยทุกฉาก ไม่มีอะไรจะติ และสุดท้ายงานโปรดักชั่นต่างๆ ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของ Netflix ไม่ได้ถึงกับดีเยี่ยมแต่ก็ไม่แย่ สุดท้ายนี้ใครที่ชอบหนังแนวสงคราม หรือหนังสร้างจากเรื่องจริง แนะนำให้ดูเรื่องนี้ ไม่ผิดหวังแน่นอน และหากใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วชอบ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามเพจไว้ด้วยนะครับ
ฉันไม่เคยเข้าใจคำว่ายิงมิตรเลย มันเป็นคำที่ใช้ในยามสงคราม เมื่อกองกำลังหรือเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรสังหารหรือทำร้ายทหารหรือพลเรือนของประเทศพันธมิตรโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีอะไรเป็นมิตรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของเด็ก 86 คนที่เสียชีวิตระหว่างการโจมตีด้วยระเบิดที่สำนักงานเกสตาโปในโคเปนเฮเกนในปี 1945 คุณอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับลูกเรือที่มีประสบการณ์เมื่อสงครามสิ้นสุดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการโจมตีในเวลากลางวัน
ฉันทราบเรื่องราวนี้ แต่เมื่อนำมาถ่ายทอดในภาพยนตร์ที่แสนเศร้าเรื่องนี้ ทำให้เราเห็นถึงความไร้จุดหมายที่แท้จริงของสงคราม เราได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ฉันเขียนบทความนี้ในขณะที่สงครามกำลังเกิดขึ้นในยูเครนและมีพลเรือนหลายร้อยคนถูกสังหารโดยขีปนาวุธร่อนของรัสเซีย ภารกิจนี้แม้จะบรรลุวัตถุประสงค์หลักในการทำลายสำนักงานใหญ่ของเกสตาโป แต่การเสียชีวิตของเด็กผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ทำให้เป็นหนึ่งในจุดที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของ RAF
พอคุณคิดว่าไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เล่าอีกแล้ว คุณก็ไปสะดุดเข้ากับบางอย่างที่คุณไม่เคยได้ยินมาก่อน หนังเรื่องนี้เล่าถึงเหตุการณ์ในชีวิตจริง (ช่วงปลายสงคราม) ที่กองทัพอากาศอังกฤษออกปฏิบัติภารกิจทิ้งระเบิดสำนักงานใหญ่เกสตาโปในเดนมาร์ก แต่น่าเสียดายที่เครื่องบินบางลำทิ้งระเบิดใส่โรงเรียนคาทอลิกที่เต็มไปด้วยเด็กๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เด็กๆ และครูของพวกเขาเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก The Bombardment ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยสั้นนัก แต่เรื่องนี้ควรจะยาวกว่านี้อีกหน่อย แม้ว่าการออกแบบฉากจะยอดเยี่ยมและการวางฉากของตัวละครจะดี แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการทิ้งระเบิดจริงกลับดูเร่งรีบเกินไป ดังนั้นฉันจึงไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้จะส่งผลทางอารมณ์ได้มากน้อยแค่ไหน
ปัญหาหลักอย่างหนึ่งคือฉันไม่แน่ใจว่าอะไรจริงและอะไรไม่จริง ฉันเดาว่าเรื่องราวย่อยบางเรื่องเป็นเรื่องแต่งและใส่ไว้เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ดราม่า แต่เนื่องจากเวลาฉายสั้น จึงไม่มีเนื้อที่ให้เล่ามากนัก ตอนจบเป็นการผสมผสานระหว่างความโล่งใจและความเศร้า ฉันคิดว่าเทเรซาและริกมอร์ไม่รอด แต่ชื่อของพวกเขาไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้ที่เสียชีวิตในเครดิต ซึ่งตามความคิดเห็นของฉันข้างต้น ทำให้ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นตัวละครในนิยาย
เป็นเรื่องน่ากลัวมากเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่สะเทือนอารมณ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องจริง เครื่องบินทิ้งระเบิดของ RAF มุ่งหน้าไปที่โคเปนเฮเกนเพื่อทิ้งระเบิดสำนักงานใหญ่ของนาซีจนหมดสิ้น ซึ่งผู้ครอบครองเครื่องบินได้วางโล่มนุษย์ไว้ในอาคาร อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับแผนการที่ดีที่สุดทั้งหมด มีบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง และแฟนนี่ บอร์เนดัล (ลูกสาวของผู้เขียนบทและผู้กำกับ) รับบทเป็นแม่ชีเทเรซาผู้ซุกซนและไม่ยอมประนีประนอม ซึ่งสามารถเอาชนะใจเด็กนักเรียนได้เมื่อเธอพูดและแสดงออกมาในระดับเดียวกับพวกเขา The Bombardment ดาราตัวจริงได้แก่ เบอร์ทรัม เอเนโวลด์สัน เอสเตอร์ เบิร์ช และเอลลา นิลส์สัน ซึ่งรับบทเป็นเด็กๆ สามคน เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ให้หยิบใช้ได้สะดวก
ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Land of Bad (2024) ภารกิจฝ่าแดนดิบ
Conquer Lahad Datu (2024) ปฏิบัติการ ลาฮัดดาตู
Rules of Engagement (2000) คำสั่งฆ่าคนบริสุทธิ์
The Ministry of Ungentlemanly Warfare (2024) แสบจารชนคนพลิกโลก
6.2