Terrifier 3 (2024) เทอร์ริไฟเออร์ อิหนูกูจะฆ่ามึง 3
เรื่องย่อ
หลังจากรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ Art the Clown ในวันฮาโลวีน Sienna และพี่ชายของเธอต้องดิ้นรนเพื่อสร้างชีวิตที่แตกสลายของพวกเขาขึ้นมาใหม่ เมื่อเทศกาลวันหยุดใกล้เข้ามา พวกเขาพยายามโอบรับจิตวิญญาณแห่งคริสต์มาสและทิ้งความสยองขวัญในอดีตไว้ข้างหลัง แต่เมื่อพวกเขาคิดว่าปลอดภัยแล้ว Art the Clown ก็กลับมาอีกครั้ง โดยตั้งใจที่จะทำให้ความรื่นเริงในวันหยุดของพวกเขากลายเป็นฝันร้ายครั้งใหม่ เทศกาลแห่งความสุขคลี่คลายอย่างรวดเร็วเมื่อ Art ปลดปล่อยความหวาดกลัวที่บิดเบี้ยวของเขาออกมา พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีวันหยุดใดที่ปลอดภัย
ผู้กำกับ
Damien Leone
บริษัท ค่ายหนัง
- Dark Age Cinema
- Bloody Disgusting
- The Coven
- Fuzz on the Lens Production
นักแสดง
- David Howard Thornton
- Lauren LaVera
- Elliott Fullam
- Samantha Scaffidi
โปสเตอร์หนัง
รีวิว terrifier 3 พากย์ ไทย
TheHOUSE
รีวิว TERRIFIER 3 ‘เทอร์ริไฟเออร์ 3‘ ภาคนี้โหดจัดโหดจริง ใช้เรต ฉ.20- ได้เกินคุ้ม! โหดจนต้องแจกถุงอ้วกก่อนเข้าโรง! คะแนนความโหด 10/10 ไม่หัก!
TERRIFIER ภาค 1, 2 แฟรนไชส์หนังโหดที่มีตัวตลกใบ้ ‘Art the clown’ เป็นตัวชูโรงไล่ล่าไม่สนสี่แปด แฟนหนังโหดยกให้เป็นไอค่อนฆาตกร(ผี)สุดโหดตัวใหม่ในโลกภาพยนตร์ ที่ใครๆ ต่างก็รอภาค 3
จนมาถึงภาค 3 เซอร์ไพรส์มากที่ประเทศไทยได้นำเข้ามาฉายในโรง โดยค่ายหนังที่รู้ใจคอหนังสยองอย่าง Night Edge Pictures ตอนแรกที่รู้ข่าวก็หวั่นๆ ว่าหนังโหดขนาดนี้ (นึกเอาจากภาค 1, 2) จะฉายบ้านเราได้จริงเหรอ จะโดนตัด โดนเซ็นเซอร์ไหม? จนกระทั่งได้ดูกับตาเมื่อคืน..
อห. หนังใช้เรต ฉ.20- ได้เกินคุ้ม โหดเลือดสาด อวัยวะภายนอกภายในกระจุยกระจาย เกาเหลาเครื่องในรวม เลือดท่วมจอยิ่งกว่าน้ำท่วมภาคเหนือ เด็ก ผู้หญิง คนแก่ ไม่มียกเว้น ตั้งแต่ดูหนังที่ได้เรต ฉ.20- มา ก็มีเรื่องนี้แหละที่คิดว่า ต่อให้ได้เรต ฉ.30- ก็เชื่อ คือมันโหดจริงๆ นะ ไม่ได้ล้อเล่น ถ้าเทียบกับหนังฆาตกรไล่เชือดเรื่องอื่นๆ เรื่องนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดแล้ว สองภาคแรกรุนแรงยังไง ภาคนี้หนักกว่ามากกกกกกกกกกกกกก หลายๆ ฉากตุยในภาคนี้จะเป็นที่จดจำแน่นอน
โหดขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่รอบสื่อเค้าแจกถุงอ้วก และยาดมสมุนไพร ได้ข่าวว่าต่างประเทศมีคนลุกออกไปอ้วกตั้งแต่ 10 นาทีแรก แต่สำหรับสายแข็ง นี่คือหนังที่คุณตามหา ผกก. เซอร์วิสมาก รู้ว่าแฟนหนังโหดอย่างเราต้องการอะไร
ปล. เนื้อเรื่องมีความต่อเนื่องมาจากสองภาคแรก เพื่อความอิน ควรไปหาดูสองภาคแรกมาก่อนจะดีกว่า
TERRIFIER 3 #เทอร์ริไฟเออร์3
Sneak Preview 31 ต.ค. – 6 พ.ย. นี้
ฉายจริง 7 พ.ย. ในโรงภาพยนตร์
*ตรวจบัตร ปชช. ก่อนเข้าโรง
จดอ. JUST ดู IT.
#รีบรีวิว TERRIFIER 3
“ไม่เน้นเหตุผล เน้นล่อหัวคม ๆ แบบสุดในรุ่น”
Terrifier 3 ยังคงสุดโต่งของการเดินหน้าฆ่าสับแบบไม่บันยะบันยัง แม้บางจุดจะเห็นได้ชัดเจนถึงความไร้เหตุผลสิ้นดี พอ ๆ กับที่เรายังหาคำตอบไม่ได้ว่าตกลงแล้วจุดเริ่มต้นของ Art the Clown นั้นเป็นอย่างไรกันแน่
แต่สิ่งที่หนังยัง “ยืนหนึ่ง” อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับแฟรนไชส์ไล่เชือดหลาย ๆ เรื่องคือความแม่นยำในการเล่าเรื่อง ตั้งแต่ฉากเปิดที่เปรียบเสมือนจับคนดูหน้าใหม่มาปูพื้นพร้อมกันหมดถึงวิธีการ บุก ล่า ฆ่าไม่เลี้ยง ของ Art the Clown ในฐานะที่หนังเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นกับคนที่ไม่เคยดูมาก่อน แล้วอยากเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้ แน่นอนว่าหลังจากนั้น ทุกฉากทุกตอนก็ล้วนถูกสร้างมาอย่างมีน้ำหนัก ผลักให้เรื่องเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา และเกิดผลกระทบทางเนื้อเรื่องต่อกัน แม้ว่าเส้นเรื่องจะแบ่งเป็น 3 ฝั่งอย่างชัดเจน…
หนึ่งคือ Art the Clown ที่กลับมาล่า และเป้าหมายชัดเจนขึ้นคือการล้างแค้น Final Girl คนล่าสุดอย่าง Sienna ส่วนที่สองของเรื่องที่ “อยู่ ๆ หนังก็มีประเด็นดี ๆ ขึ้นมาผิดหูผิดตา” เมื่อหนังหยิบประเด็น “ชีวิตหลังรอดชีวิต” ที่ไม่มีอะไรสบายหายห่วงอย่างที่คิด… Sienna ยังคงทนทุกข์ทรมานต่อความรู้สึกผิดจากที่คนรอบตัวของเธอต้องล้มตาย ในขณะที่เธอกลับรอด และกลายเป็นประเด็นทางสังคมที่กำลังถกเถียงกันว่า “หรือจริง ๆ แล้ว Sienna กุเรื่องขึ้นมากลบเกลือนการฆาตกรรมหมู่ของตนเอง?” และส่วนสุดท้าย Jonathan น้องชายของ Sienna ที่พยายามเหลือเกินจะลืมทุกความเลวร้ายที่ผ่านมา โดยเริ่มชีวิตใหม่ในมหาวิทยาลัย แม้ว่าเพื่อนใหม่ที่เข้ามาจะเป็นกีคเรื่องสยองขวัญตัวแม่ก็ตาม ทำให้ให้ตลอด 2 ชั่วโมง 5 นาทีสำหรับคอหนังไล่เชือด Terrifier 3 จึงรู้สึกเหมือนเป็นการวิ่งมาราธอน “ไม่เล่าก็ล่า หยุดล่ามาเล่า” ตลอดเวลา
ต่อให้จะมีแผลใหญ่ของเรื่องอย่างการแสดงของ Elliott Fullam เจ้าของบท Jonathan Shaw เพราะในขณะที่ทุกคนพัฒนาขึ้น ตั้งแต่เบื้องหน้ายันเบื้องหลัง เพื่อต้อนรับหนังที่เป็นที่รู้จักมากขึ้น Fullam ยังคงมีปัญหาในเรื่องของการตีความอารมณ์ของตัวละครออกมาเป็นท่าทาง เห็นได้จากหลายครั้งที่ตัวละครของน้องพยายามจะแสดงอารมณ์อะไรออกมาสักอย่าง แต่กลับกลายเป็นท่าทางที่ทำให้เราสงสัยว่า “มันเป็นอะไรวะ?”
แต่หนังก็ได้ทดแทนปัญหานี้ด้วยการยอมลงทุนปั้นตัวละครใหม่ หนึ่งคือน้อง Antonella Rose ในบทของ Gabbie Shaw ลูกพี่ลูกน้องของ Sienna ที่มาเป็น “ตัวภาระประจำภาค” อย่างที่ Jonathan เคยเป็นในภาคที่แล้ว ซึ่งตรงนี้อีกหน่อยคงสามารถบรรจุได้แล้วว่าเหล่าตัวละครสเตริโอไทป์ในหนังสยองขวัญ นอกจากสาวบริสุทธิ์, หนุ่มนักกีฬา, สาวแซ่บ, ตัวเนิร์ด แล้วควรจะมี “เด็กภาระ” เพิ่มเข้ามา แต่ก็น่าเสียดายที่น้องได้โอกาสก้าวขึ้นมาเป็นว่าที่ตัวภาระประจำแฟรนไชส์ตัวที่ 2 ทั้งที การแสดงของน้องกลับ “แย่พอกัน” ตรงที่น้องไม่สามารถสร้างความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูชวนให้เอาใจช่วยได้ สิ่งที่น้องทำได้ดีจากบทของตัวเองคือเป็นเด็กจอมจุ้นที่มาป้วนเปี้ยนในฉากแล้วก็โดนด่าให้หลบ ๆ ไปทุกครั้ง ก่อนจะไปฟาดเคราะห์ร่วมกับคนอื่นในไคลแม็กซ์ (ตามสไตล์หนังแนวนี้อีกน่ะแหละ)
ที่รู้สึกว่า “เพลินเฉยเลย” กลับกลายเป็น Cole และ Mia สองตัวละครกีคเรื่องสยอง เพื่อนรูมเมทของ Jonathan ในมหาวิทยาลัย ตรงสเตริโอไทป์ “มาเพื่อตายเล่น ๆ” ตามสูตรหนังไล่เชือด แต่ก็เพลิดเพลินในเคมีของนักแสดงที่ทำให้เราเกิดความสนใจขึ้นมาทันทีว่า ไอ้สองคนนี้มันจะไปทำอะไรโง่ ๆ กันบ้างก่อนมันจะตาย
อีกหนึ่งส่วนที่เซอร์ไพรส์มาก คือหนังเรื่องนี้มีความเป็น “หนังคริสต์มาส” มากกว่าจะเป็นหนังฮาโลวีนจากชาติกำเนิดของมันเสียอีก ด้วยความครบเครื่อง ตั้งแต่บรรยากาศหิมะตก เสียงเพลงกระดิ่งจิงเกอเบล ครอบครัวสุขสันต์ และที่ขาดไม่ได้ “ฉากเปิดกล่องของขวัญ” ที่หนังก็ให้ความสำคัญกับฉากนี้เป็นอย่างมาก เสมือนตัวเองเป็นหนังคริสต์มาสจริง ๆ (และแน่นอนว่ามันต้องเรียกว่า Black Christmas)
และที่เข้มข้นขึ้นมาอย่างทันตา ในความ “อยู่ดี ๆ ก็มีเฉย” คือความชัดเจนว่าแฟรนไชส์นี้มี Lore (ตำนานประจำเรื่อง) เป็นของตัวเองแล้ว อย่างที่ Evil Dead มีตำนานเกี่ยวกับเหล่า Deadites, Freddy Krueger มีตำนานเรื่องปีศาจแห่งความฝัน ซึ่งเรื่องนี้มี “สงครามนรกสวรรค์ Something” ที่เรายังบอกได้แค่นี้ เพราะหนังมันก็เล่ามาแค่นี้จริง ๆ เป็นการสานต่อความแฟนตาซีที่เคยขมวดไว้เบา ๆ ในภาคที่แล้ว ที่ในภาคนี้คือการทำให้เข้มข้นขึ้น ชัดเจนขึ้นว่าหลังจากนี้จะแฟนตาซีใส่กันอย่างแน่นอน เป็นจุดเตรียมพร้อมก่อนจะ “ระเบิดแม่งให้สุด” ในภาคต่อไป… ซึ่งมันมีแน่นอน ไม่ว่าภาคนี้จะจบในตัว หรือทิ้งเชื้อรอภาคต่ออย่างชัดเจนก็ตาม
ส่วนสุดท้ายที่ต้องขอชื่นชมจริง ๆ แน่นอนว่าคือ Special Effects ที่แม้จะดูก็รู้ว่าเป็นงานโฮมเมดกันแบบสุด ๆ แต่ก็สมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งเลือดปลอมก็ยังเห็นได้ถึงส่วนผสมที่ทำให้ดูไม่ใช่แค่เอาน้ำแดงมาฉีดเล่นอย่างหลาย ๆ เรื่อง ทำให้ความสยองของ Terrifier 3 ยังคงเข้าขั้นรบกวนจิตใจ และใครที่กลัวเลือด แพ้เลือด เห็นน้ำแดง ๆ พุ่งพล่านไปทั่วแล้วเกิดอาการพะอืดพะอม ไม่แนะนำด้วยประการทั้งปวงเพราะเรื่องนี้ “มันกะเอาตายจริง ๆ” ด้วยฝีมือของทีมงานที่แทบจะเป็นการรวมญาติคนกองหนังสยองทั้งมวลของฮอลลีวู้ด ตบเท้ากันเข้ามาด้วยความสมัครใจเหมือนมาออกอีเวนต์โชว์งานฝีมือที่แม้หนังจะถูกตราว่าเป็น “โคตรเกรดบี” แต่ก็ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความปราณีต และเอาใจใส่ของทีมงานด้วยใจรักอย่างแท้จริง
TERRIFIER 3
เปิดรอบพิเศษ วันนี้ – 6 พฤศจิกายน
ฉายจริง 7 พฤศจิกายน ในโรงภาพยนตร์
สมาชิกหมายเลข 2470599
[รีวิว] Terrifier 3 – ปาร์ตี้บรรเลิงเลือดของตัวตลกจากขุมนรกที่ได้เวลาออกสู่สายตาประชาชีสักที
(1) ในที่สุดตัวตลกจากขุมนรก Art the Clown ก็ได้มีภาพยนตร์ฉบับฉายโรงปกติให้ได้ชมกันสักที หลังจากที่ต้องซุ่มตัวอยู่ในเงามืดในฐานะของ “หนังนอกกระแส” มาพักใหญ่ และคอยแอบเก็บเกี่ยวสร้างชื่อเสียงจากความสยองขวัญสุดขีดคลั่งจนกลายเป็นไอค่อนความสยองขวัญยุคใหม่ที่น่าจับตามอง แน่นอนว่าสำหรับ Terifier ภาค 3 (ที่ไม่มีชื่อไทยประมาณว่า “สับนรกคลั่ง” หรือ “ล่าคลั่ง ตัวตลกนรกแตก” อะไรเทือกนั้น) ตัวผู้กำกับ ดาเมียน ลีโอเน่ (Damien Leone) ก็ไม่มีการประนีประนอมอะไรทั้งนั้น ความโหดดิบ เลือดสาด ทุบเละ ยังกลับมาจัดเต็มมากขึ้น จนเรท ฉ 20- อาจจะดูเบาไปเลยด้วยซ้ำ
(2) คำถามแรกสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ จำเป็นต้องดูภาคก่อนหน้ามาก่อนด้วยรึเปล่า? คำตอบ คือ อาจจะไม่จำเป็นหากคุณไม่ได้หลงใหลเจ้า Art the Clown จนเข้าไส้ รู้แค่ว่า Terifier 3 จะมีการใช้ตัวละคร Final Girl หรือผู้รอดชีวิตจากภาคแรกอย่าง “วิคตอเรีย” ที่กลายมาเป็นอสูรกายคู่หูเจ้าอาร์ตซะอย่างนั้น และสองพี่น้องที่รอดชีวิตจากภาคสอง “เซียนน่า” (Lauren LaVera) กับ “โจนาธาน” (Elliott Fullam) มารวมกันเป็นเนื้อเรื่องในภาคนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
(3) เห็นได้ชัดว่า Terifier 3 ที่ถูกพัฒนามาเป็นภาพยนตร์เต็มรูปแบบ พยายามที่จะสร้างโครงเรื่องเพื่อรองรับความวิปริตสุดขีดคลั่งของ “ไอ้อาร์ต” โดยก็ทำตามสูตรสำเร็จของ “หนังไล่เชือด” แบบที่เราคุ้นเคยกันดี ทั้งความเหนือธรรมชาติที่ไร้คู่ต่อกรของตัวฆาตกร หรือเหยื่อง่าวๆ ที่เห็นก็รู้ชะตากรรมได้ไม่ยาก ตัวละครภาพจำอย่าง เด็กเนิร์ด สาวฮ็อต หนุ่มหล่อ สาวบริสุทธิ์สุดแกร่งเป็นตัวหลัก ก็เรียกว่ามากันครบ อ้อ แล้วอย่างลืม “ตัวภาระ” ด้วย
(4) แต่กลายเป็นว่าพอยิ่งเสริมเนื้อเรื่องให้ Art the Clown มันก็เหมือนยิ่งผลักให้ตัวเรื่องเข้าไปสู่โซน “แฟนตาซี” มาขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าตัวของไอ้อาร์ตจะหลุดจากความเป็นจริงไปตั้งแต่ภาคแรกแล้วก็ตาม ตรงนี้ส่งผลเสียต่อ Terifier 3 อยู่เหมือนกัน ตรงที่มันไปลดทอนความรู้สึก “สมจริง” ที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้การสังหารเหยื่อของไอ้อาร์ตส่งผลต่อความรู้สึกต่อผู้ชม จึงไม่แปลกที่หลายครั้งเมื่อไอ้อาร์ตบรรเลงเลือด มันให้ความรู้สึกเฉยชาและน่าขำแทนที่จะน่ากลัวและสยดสยอง เพราะโทนของเรื่องมันแทบจะกลายเป็นการ์ตูนไปแล้ว(แต่ไม่ทั้งหมดนะ)
(5) ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่างานเอฟเฟคทำมือ (practical effects) ที่เป็นจุดขายของ Terifier ยังคงทำงานเต็มอัตราศึก เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจในการเสริฟงานฝีมือที่พวกเขาภาคภูมิใจอยู่ตลอด เลือดสาด อวัยวะขาดกระจุยเป็นว่าเล่น เรียกว่าจุใจไม่มีกั๊ก ใจแข็งอย่างไรก็ต้องมีรู้สึกกันบ้าง บวกกับการพยายามย้อนยุคบรรยากาศไปในยุคประมาณ 80-90 ภาพสีตุ่นๆ บวมๆ ดูเข้ากันดีกับความเป็น “ตำนานเมือง” คล้ายๆ กับ Freddy Krueger คือ มีความกึ่งจริงกึ่งเรื่องเล่า ที่ท้ายที่สุดตัวเรื่องเปิดเผยแล้วว่า Art the Clown เป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติจริงๆ จึงน่าสนใจว่า ภาคต่อไปเนื้อเรื่องจะไปในทิศทางไหน จะเปลี่ยนไปเป็นแอคชั่นเลยรึเปล่า?
(6) แต่ทุกอย่างล้วนเป็นดาบสองคม จุดอ่อนสำคัญของ Terifier 3 เกิดขึ้นจากจุดแข็งของมันนี่เอง เมื่อไอ้อาร์ตอยู่ในเฟรมกับเหยื่อง่าวๆ เราคาดหวังความอร่อยที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ แต่เมื่อตัวเรื่องตัดไปเล่าเรื่องของเซียนน่า หรือ โจนาธาน มันกลายเป็นความน่าเบื่อจนแอบนั่งหาวอยู่หลายครั้ง แม้ผู้กำกับดาเมี่ยนจะพยายามสร้างมิติโดยการเพิ่มภาวะ PTSD ให้ทั้งสอง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องน่าสนใจขึ้นแต่อย่างใด แถมยังเพิ่มตัวละครเด็กภาระอย่าง “แก๊บบี้” (Antonella Rose) มาให้รำคาญใจเล่นอีก ทำให้เกิดความรู้สึกคิดถึงหน้ากวนส้น..ของไอ้อาร์ต กับ หน้าบิดเบี้ยวของวิคตอเรียขึ้นมาจับใจ
(7) พูดถึงคาแรคเตอร์ของ Art the Clown (David Howard Thornton) ที่กำหนดให้ไม่มีบทพูดมาตั้งแต่แรก ชวนให้นึกถึงการแสดงคล้ายๆ กับ “มีสเตอร์บีน” ที่ใช้สีหน้ากับท่าทางเป็นหลักในการสื่อสาร แต่เวลาต้องสื่อสารข้อความที่ซับซ้อน กลายเป็นว่าตัวของวิคตอเรียที่พูดได้ เป็นคนที่สื่อสารแทน โดยเข้าใจว่าสองตัวนี้เป็นสิ่งเดียวกันที่แบ่งภาคมา (โอเคมันเหนือธรรมชาติไปนานแล้ว) ซึ่งว่ากันถึงตัวละครวิคตอเรีย (Samantha Scaffidi) นั้นมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ยามที่อยู่กับไอ้อาร์ตกลายเป็นคู่หูที่น่าหวาดกลัวสุดๆ น่าเสียดายที่สองตัวนี้ไม่ค่อยได้ออกงานร่วมกันเท่าไหร่นัก
(8) ความสยองของ Terifier 3 ใช้คำว่าจุใจ แต่ยังไม่ค่อยเข้าเส้นนัก มันเต็มไปด้วยความโฉ่งฉ่างแบบทื่อๆ ฉากสังหารแบบไม่มีการเล่นกับความคาดหวังอะไร ไม่มีการทรมาน มาถึงก็สับๆๆ โยนลงหม้อ ไม่ใช่แนวแบบ Saw หรือฆาตกรรายอื่นๆ ที่ประณีตและมีพิธีรีตรองมากกว่า ทำให้ฉากที่ให้ความรู้สึก “เสียว” ที่สุดของเรื่องกลายเป็นฉากจับดาบตอนท้ายเรื่องของเซียนน่าแทน แต่ก็เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นแบบค่อนข้างเขลาชวนกุมขมับไม่น้อย ซึ่งอาจจะดีกว่านี้ถ้าไอ้อาร์ตมีความชัดเจนเรื่องพวกนี้มากขึ้น เพื่อก้าวเป็น “ไอค่อนแห่งโลกสยองขวัญ” ยุคใหม่อย่างเต็มตัว
7.1