ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix
บาคาร่า ออนไลน์
สล็อตเว็บตรง

T2 Trainspotting (2017) แก๊งเมาแหลก พันธุ์แหกกฎ 2

ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้

ตัวอย่าง

T2 Trainspotting (2017) แก๊งเมาแหลก พันธุ์แหกกฎ 2

T2 Trainspotting (2017) แก๊งเมาแหลก พันธุ์แหกกฎ 2

เรื่องย่อ

ภาคต่อของหนังอินดี้ที่ห่างหายไปกว่า 20 ปี โดยเล่าเรื่องของอดีตแก๊งเด็กติดยาที่ตอนนี้ได้ใช้ชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พร้อมได้ทีมนักแสดงชุดเดิมทั้ง ยวน แม็คเกรเกอร์, อีเวน เบรมเนอร์, จอนนี ลี มิลเลอร์ และ โรเบิร์ต คาร์ไลล์ และผู้กำกับคนเดิมอย่างแดนนี่ บอยล์ มาสานต่อความเกรียนอีกครั้ง แล้วพบกัน ตัวอย่างที่ 2 ของภาคต่อของหนังอินดี้ที่ห่างหายไปกว่า 20 ปี โดยเล่าเรื่องของอดีตแก๊งเด็กติดยาที่ตอนนี้ได้ใช้ชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่  T2 Trainspotting พร้อมได้ทีมนักแสดงชุดเดิมทั้ง ยวน แม็คเกรเกอร์, อีเวน เบรมเนอร์, จอนนี ลี มิลเลอร์ และ โรเบิร์ต คาร์ไลล์ และผู้กำกับคนเดิมอย่างแดนนี่ บอยล์ มาสานต่อความเกรียนอีกครั้ง

ผู้กำกับ

  • Danny Boyle

บริษัท ค่ายหนัง

  • Sony Pictures Releasing

นักแสดง

  • Ewan McGregor
  • Logan Gillies
  • Ben Skelton
  • Aiden Haggarty
  • Daniel Smith
  • Elijah Wolf
  • Robert Carlyle

โปสเตอร์หนัง

T2 Trainspotting (2017) แก๊งเมาแหลก พันธุ์แหกกฎ 2

T2 Trainspotting (2017)

แก๊งเมาแหลก พันธุ์แหกกฎ 2

รีวิว

หมื่นทิพ

ภาคแรกถือเป็นหนังแสบระดับตำนานที่แจ้งเกิดให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะผู้กำกับ Danny Boyle หรือดารานำอย่าง Ewan McGregor และ Robert Carlyle และทำให้คอหนังสมัยนั้นสะใจกับเรื่องราวหลุดโลกของมัน แก่นสารสำคัญอย่างหนึ่งในภาคแรกคือ T2 Trainspotting  “ความไร้แก่นสาระของเหล่าตัวละคร” ครับ พวกเขาเสพยา มั่วเซ็กซ์ ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบเอาเฮเอาฮา ซึ่งก็สะท้อนชีวิตของคนกลุ่มนี้ได้อย่างน่าสนใจ แต่ก็ต้องดูแบบใช้วิจารณญาณพอสมควรในการกลั่นกรอง “สาระสอนชีวิต” ออกมาจากมัน

สำหรับภาค 2 นี่ก็เล่าถึง 20 ปีจากภาคแรก หลังจาก เรนตัน (Ewan McGregor) หันหลังให้กับเพื่อนๆ แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ มาบัดนี้เขาก็กลับมาหาแก๊งเก่า ไม่ว่าจะ สปั๊ด (Ewen Bremner), ไซม่อน (Jonny Lee Miller) ที่แต่ละคนก็ตอบสนองการกลับมาของเรนตันต่างกันไป และแน่นอนว่าเขาต้องเจอกับเบ็กบี้ (Carlyle) แบบไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งรายหลังนี่แค้นฝังหุ่นกับสิ่งที่เรนตันทำมากๆ ครับ ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็ชมต่อในหนังครับ ภาคแรกคือหนังสุดขั้วที่ทำออกมาแบบสาใจ เชื่อว่าต้องมีทั้งคนชอบและเกลียดหนังเรื่องนี้ ส่วนผมออกแนวชอบครับ มันเจ๋ง มันเก๋า มันกวนดี พอมาภาคนี้ผมก็ปรับใจไว้ตั้งแต่ต้นว่ามันคงไม่บ้ากันเหมือนภาคแรกหรอก เพราะแต่ละคนก็โตๆ กันแล้วทั้งนั้น

แล้วมันก็เป็นดังคาดครับ แม้ตัวละครทั้งหลายจะมีเค้าของ “ลูกบ้า” แบบภาคแรกอยู่ แต่ทุกคนก็แก่ตัวขึ้น ผ่านชีวิตมามากขึ้น บางคนก็เริ่มตกผลึกกับชีวิต บางคนก็เริ่มเห็นทางสว่าง แต่บางคนก็ยังยึดติดกับอะไรเดิมๆ อยู่ ผมชอบที่ทั้ง 4 คาแรคเตอร์หลักมีพัฒนาการแบบ “เป็นไปได้” คือดูแล้วเชื่อว่าพวกเขาคือคนเดิมจากภาคแรกนั่นแหละ เพียงแต่อะไรๆ ในชีวิตมันหล่อหลอมพวกเขามากขึ้นจนเปลี่ยนไปบ้าง แต่ทุกคนก็ยังคงความเป็นตัวเองอยู่เสมอ

ก็ต้องบอกไว้ก่อนครับว่าใครคาดหวังความบ้าคลั่งก็ต้องปรับใจไว้ก่อน เพราะเรื่องราวมันตั้ง 20 ปีล่วงมาแล้ว แม้จะบ้าแค่ไหน แต่ประสบการณ์ชีวิตบางอย่างมันก็สอนพวกเขา และมันก็ทำหน้าที่ชะลอพวกเขาให้ “รู้จักคิด” มากขึ้น (คิดได้หรือคิดไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง) ดาราทุกคนเล่นได้ดีครับ ถอดวิญญาณตัวละครภาคแรกมาองค์ลงในภาคนี้ได้อย่างดี เบ็กบี้ยังบ้าอยู่, สปั๊ดก็ยังหงออยู่ ในขณะที่ เรนตันกับไซม่อนจะดูลุ่มลึกขึ้น สำหรับผมดุแค่ 4 คนนี้มาร่วมจอกันก็คุ้มแล้วครับ มันเหมือนได้เจอเพื่อนกลุ่มเดิมที่โคตรบ้ากลับมาบอกเล่าให้เราฟังว่าชีวิตเขาเป็นยังไงกันบ้างแล้ว

ถ้าพูดถึงความลงตัวหรือ “ความสุด” ของภาคนี้ก็อาจสู้ภาคแรกไม่ได้ครับ แต่ผมว่าก็ไม่ผิดหวังนะ หนังสานต่อเรื่องราวได้อย่างดี ถือเป็นภาคต่อที่ทำได้ดีเลยล่ะครับ และสำหรับผมแล้ว ผมชอบบทสรุปของแต่ละคนนะ ทุกคนล้วนได้อยู่ในจุดที่เหมาะควร และแต่ละคนก็ได้ “ค้นพบตัวเอง”  T2 Trainspotting  แต่จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่กรรมของแต่ละคน Boyle ทำได้อีกครั้งครับ จริงๆ ผมว่าแค่ทำภาคต่อให้ออกมาในระดับนี้ได้นี่ก็เก่งแล้วนะ เพราะมันไม่ได้ต่อแค่เรื่องราว แต่มันต่อถึงอารมณ์ ต่อถึงพัฒนาการ มันเป็นเนื้อเดียวกับภาคแรก แม้หลายๆ อย่างจะดูเปลี่ยนไปก็ตาม แต่มันสามารถรับไม้ต่อจากภาคแรกได้อย่างพอดีทีเดียว

ผมอยากให้แฟนๆ ภาคแรกตามมาดูภาคนี้ครับ แล้วลองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดู สำหรับผมแล้วผมชอบครับ ส่วนใครไม่เคยดูมาก่อนก็แนะนำให้หาภาคแรกมาดูแล้วค่อยต่อด้วยภาค 2 ครับ ท่านจะได้อรรถรสครบถ้วน และท่านอาจเจอหนังในดวงใจเพิ่มอีกเรื่อง (หรือไม่ก็เกลียดจนไม่อยากดูภาค 2 เลยก็ได้ 5555) ขอสปอยล์นิดหน่อยนะครับ โดยส่วนตัวผมมองว่านี่คือหนังที่มีสาระมากๆ เรื่องหนึ่งนะ มันต่อยอดสาระจากภาคแรกได้ดี ซึ่งสาระอันหนึ่งจากภาคแรกก็คือ การสะท้อนให้เราเห็นว่า คนที่ใช้ชีวิตแบบไม่จริงจัง ไม่เป็นโล้เป็นพาย เหลวไหลไปวันๆ นั้น มันจะได้รับผลเป็นเช่นไร เราอาจไม่ต้องถึงกับใช้ชีวิตจริงจัง ใส่สูทผูกไทไปทำงานเพียงอย่างเดียวครับ แต่ขอแค่เราตระหนักว่าองค์ประกอบการจะดำรงชีวิตอยู่ได้นั้น เราก็ต้องมีความมั่นคงทางกาย (แข็งแรง ไร้โรค) มีความมั่นคงทางใจ (ทำสิ่งที่ชอบ รู้จักพักผ่อน ทำอะไรที่ดีต่อใจ) และปฏิเสธไม่ได้คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (มีเงินประทังชีวิต)

อย่างพวกเรนตันที่เสพยา จะว่าไปพวกเขาก็คงสุขทางใจน่ะครับ เสพแล้วลอย ฉีดแล้วโล่ง แต่สุขภาพทรุด เงินก็ร่อยหรอ ไม่ก็ต้องไปปล้นเขามา หรืออย่างไซม่อนก็ถึงขั้นต้องเสียลูกไปทั้งคน (ฉากที่แฟนไซม่อนขอเสพยาต่อหลังลูกตายเป็นอะไรที่สะท้อนอาการแหลกสลายทางใจได้อย่างน่าคิด) เมื่อถึงจุดหนึ่งเรนตันก็ตัดสินใจจะเริ่มใหม่ เชิดเงินหนีมา เขาคิดว่าเงินจะเป็นจุดเริ่มของชีวิตที่ดีได้ แต่เอาเข้าจริงแม้จะมีเงิน แต่ประสบการณ์ชีวิตเขายังไม่มากพอ สุดท้ายชีวิตก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิม จนต้องกลับมาพาผองเพื่อนกลุ่มเดิม เพื่อคลายความค้างคาบางอย่างลง หนังภาคแรกชี้ชวนให้เราไตร่ตรองว่าตอนนี้เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่อย่างไร เราใช้เวลาปัจจุบันไปแบบไม่ห่วงใยอนาคตหรือไม่ เราเอาแต่เสพสุขโดยไม่คิดถึงความทุกข์ที่จะตามมาหรือไม่… บางทีแม้พวกเราจะไม่ได้เสพยาแบบพวกเรนตัน แต่เราก็อาจมี “ความประมาทในชีวิต” ไม่น้อยไปกว่าพวกเขา

แล้วภาคนี้หนังก็ต่อยอดเรื่องราว พาเราย้อนไปสถานที่เก่าๆ ในภาคแรก (อย่างห้องของเรนตัน) มันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบครับ ยอมรับว่าระหว่างดูผมก็แอบโหยหาอะไรเก่าๆ เมื่อ 20 ปีก่อนอยู่เหมือนกัน… หนังมันชวนให้เรานึกถึงวันเก่าๆ น่ะครับ และถ้าภาคแรกหนังสะท้อนความไร้แก่นสารของชีวิต มาภาคนี้หนังก็บอกเล่าถึงผลที่สืบเนื่องต่อกันมา (ว่าชีวิตทั้ง 4 ตัวละครหลักก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร) และประเด็นสำคัญในภาคนี้คือ พวกเขาพยายามตั้งต้นชีวิต (แม้จะดูเป็นการตั้งต้นที่ช้าไปหลายสิบปีก็เถอะ… แต่ก็ยังดี)

ผมชอบบทสรุปของสปั๊ดที่สุดน่ะครับ จริงๆ ผมเห็นใจเขามาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว คือผมว่าเขาเป็นคนมีของนะ เพียงแต่ด้วยความอ่อนแอ ความหงอ ความไม่มั่นใจ ไม่กล้า ฯลฯ เลยทำให้ชีวิตติดแหง่ก ไม่มีอนาคตสักที  T2 Trainspotting  จนมาภาคนี้จริงๆ พี่แกก็หงอเหมือนเดิม ขี้กลัวเหมือนเดิม แต่เขาแค่ “ลองลงมือทำ” เท่านั้น เขาแค่ลองเขียนอะไรสักอย่างขึ้นมา เริ่มจากกระดาษแผ่นแรก เขียนให้เสร็จแล้วก็ให้คนใกล้ตัวอ่าน แม้จะมีคนพูดในเชิงว่า “แกจะทำไปทำไม” แต่เขาก็ยังทำต่อ แล้วก็มีกระดาษแผ่นต่อมา แผ่นต่อมา แผ่นต่อมา… รู้ตัวอีกทีพี่แกเขียนจะได้เป็นเล่มอยู่แล้ว

มันสะท้อนความจริงง่ายๆ ได้เลยครับว่า “คุณก็แค่ทำน่ะ ทำไปเถอะ” อย่ามัวกลัว อย่ามัววางแผน อย่ามัวรอให้อะไรๆ พร้อมก่อนแล้วค่อยเดินหน้า แบบนั้นมันยากที่จะมีอะไรงอกเงยขึ้นมาได้… คุณไม่มีทางนับถึง 10 ได้ หากเอาแต่นับ 1 ซ้ำอยู่ร่ำ ผมชอบเรื่องของเบ็กบี้ด้วย ตอนแรกพี่แกก็เอาแต่จะบังคับให้ลูกใช้ชีวิตแบบที่เขาเคยใช้มา นั่นคือเป็นอาชญากรรม หาเงินด้วยการใช้กำลังและผิดกฎหมาย แต่พอเขานึกถึงพ่อตัวเองเท่านั้นล่ะครับ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขาตระหนักเลยว่าชีวิตพ่อของเขากับชีวิตเขาก็ไม่ต่างกัน… มันเฮงซวยพอกัน

ตอนที่เขาบอกลูกว่า “จงมีชีวิตให้ดีกว่าที่พ่อและพ่อของพ่อเคยมี” ผมรู้สึกเลยว่าฉากนั้นสวยงาม และถือเป็นฉากซึ้งกินใจในสไตล์ของ Boyle (กินใจแบบลูกผู้ชายน่ะครับ น้ำตาไหลอยู่ภายในลึกๆ… ผมว่าน้ำตาในใจผมก็ไหลนะ) ในแง่หนึ่งผมมองว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเป็นหนังที่ “ส่งสาร” จาก “เด็กพังค์รุ่นเก่า” ส่งต่อมาให้เด็กรุ่นใหม่ได้ดู ได้เอาชีวิตของเด็กพังค์รุ่นเก่ามาเป็นตัวอย่างให้ลองเก็บไปคิด ไตร่ตรองดูดีๆ (จะเป็น “แบบอย่าง” หรือ “เยี่ยงอย่าง” ก็แล้วแต่) สำหรับผมแล้ว ผมชอบ T2 Trainspotting ไม่ใช่ในฐานะหนังตลกร้ายแสบๆ เพียงอย่างเดียว แต่เพราะมันมีคุณค่าสะท้อนสังคมและแง่คิดดีๆ ที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายควรหันมามองครับ

gricey_sandgrounder

ภาคต่อหลังจากภาคแรกนั้นมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคที่ฉันคิดว่าไม่จำเป็น แต่ผู้กำกับแดนนี่ บอยล์กลับมาอีกครั้งด้วยภาคต่อของภาพยนตร์อังกฤษที่มีอิทธิพลมากที่สุดเรื่องหนึ่งตลอดกาล ฉันเคยดู Trainspotting เป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ฉันจำได้ว่าประทับใจเรื่องนี้มาก แม้ว่าฉันจะไม่เคยคลั่งไคล้ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลยก็ตาม ฉันสนใจสไตล์การสร้างภาพยนตร์และตัวละครที่มีการพัฒนามาอย่างดีมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีฉากที่น่าหดหู่ใจที่สุดฉากหนึ่งที่ฉันเคยเห็นในภาพยนตร์เรื่องใดๆ 21 ปีต่อมา และตอนนี้เราก็ได้เห็นว่าตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง ฉันดูตัวอย่างเพื่อดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ และฉันก็ประหลาดใจว่ามันดูดีแค่ไหน บทสนทนาบางส่วนที่ฉันได้ยินฟังดูเหมือนว่าเรากลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บ้าคลั่งนี้ทันที ด้วยตัวอย่างที่ทำให้ฉันสนใจมาก ฉันจึงมีความหวังอย่างแรงกล้าว่าจะมีภาคต่อที่คุ้มค่า

ฉันรู้สึกประหลาดใจที่ทุกอย่างสามารถมารวมกันได้ สำหรับสิ่งที่ผมแน่ใจว่า Boyle ยึดมั่นในใจของเขามาก คุณคงคาดหวังได้ว่าเขาจะไม่กลับไปทำงานนี้อีก โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่เคยทำภาคต่อมาก่อน แต่ตอนนี้เรามาถึงจุดนี้แล้ว และผมคิดว่าทุกคนทำได้ดีมาก ผมไม่รู้สึกว่าผู้สร้างทำภาคนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทำรายได้ถล่มทลาย ผมรู้สึกว่าภาคนี้ทำขึ้นเพื่อเป็นภาคต่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1996 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก โทนเรื่องนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้คนที่เติบโตมาพร้อมกับต้นฉบับอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ จึงน่าสนใจที่จะดูว่ามันจะเข้ากับคนรุ่นเดียวกับนักแสดงในต้นฉบับได้อย่างไร และดูว่าจะสามารถเชื่อมโยงกับช่วงอายุที่กว้างได้หรือไม่

ทีมงานกลับมาแล้ว และทั้งสี่คนก็แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก พูดตามตรง มันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่เคยจากไป Ewan McGregor รับบทเป็น Renton ได้ดี มีช่วงเวลาที่แข็งแกร่งมากมาย และคุณจะบอกได้ว่าเขาสนุกกับการกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง Roberty Carlyle ยังคงตลกขบขันเหมือนกับที่ Begbie เคยเป็นเมื่อก่อน สำหรับฉันแล้ว Ewen Bremner ในบท Spud โดดเด่นที่สุด เขาได้รับการพัฒนาอย่างยอดเยี่ยมและกลายเป็นส่วนสำคัญของภาคต่อนี้ T2 Trainspotting  ฉันประหลาดใจมากที่ได้เห็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Johnny Lee Miller เนื่องจากเขาเพิ่งกลับมาแสดงภาพยนตร์เมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากที่ยุ่งอยู่กับซีรีส์ทางทีวี อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ชมบางส่วนชอบเห็นในภาคต่อคือระดับของความคิดถึง การใช้สิ่งนั้นและความทรงจำนั้นทำได้อย่างชาญฉลาด รู้สึกเหมือนว่ามันมีความหมายบางอย่าง แทนที่จะทำให้เราคิดว่า “ฉันอยากดูภาคแรกมากกว่า” ฉันมีข้อเสียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีบางช่วงที่รู้สึกว่ากระจัดกระจายไปบ้างและไม่รู้สึกว่าเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักได้ดีนัก

ฉันไม่คาดคิดว่ามันจะสนุกขนาดนี้ Boyle และทีมงานของเขาทำได้ดีมากในการทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ติดดินและทำให้รู้สึกว่าสมควรที่จะมีภาคต่ออีก ฉันคิดว่าจุดแข็งที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือสิ่งที่ทำให้ภาคแรกประสบความสำเร็จ ตัวละครยังคงน่าจดจำเช่นเคย บทภาพยนตร์คมชัดและตลกเมื่อจำเป็น ภาพนั้นชวนติดตามและมีพลัง และเพลงประกอบก็ทรงพลัง พวกเขายังทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้คุ้มค่าแก่การชมสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดูต้นฉบับด้วยซ้ำ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจ เมื่อลองคิดดู ผลงานของแดนนี่ บอยล์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับมิตรภาพ และผลงานชิ้นนี้ก็ไม่ต่างกัน ฉันจะยังคงตื่นเต้นกับโปรเจ็กต์ต่อไปของเขา หลังจากที่ได้สร้างสิ่งที่อาจเป็นหนึ่งในเซอร์ไพรส์ใหญ่แห่งปี 2017 การเริ่มต้นปีใหม่ที่ยอดเยี่ยม!

ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

Imperium (2016) สายลับขวางนรก

Full Metal Jacket (1987) เกิดเพื่อฆ่า

The Neon Demon (2016) สวยอันตราย

Gangster Squad (2013) หน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์

The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่