ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix
VegusCasino
บาคาร่า ออนไลน์
สล็อตเว็บตรง

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

20 คะแนน

Trailer

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Spider Man No Way Home (2021)

เรื่องย่อ

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่กำกับโดย Jon Watts และทำหน้าที่เป็นภาคที่สามของซีรีส์ภาพยนตร์ Spider-Man ของ Marvel Cinematic Universe (MCU) ภาพยนตร์เรื่องนี้รวบรวมองค์ประกอบจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Spider-Man ภาคก่อนๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเรื่องราวที่หลากหลายที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทั่วโลก

เรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน “Spider-Man: Far From Home” (2019) ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์ เผชิญกับวิกฤตเมื่อตัวตนที่เป็นความลับของเขาในฐานะสไปเดอร์แมนถูกเปิดเผยโดย Mysterio ในความพยายามที่จะลบความทรงจำของทุกคนเกี่ยวกับเขา ปีเตอร์ขอความช่วยเหลือจากด็อกเตอร์สเตรนจ์ ซึ่งแสดงโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ อย่างไรก็ตาม มนต์สะกดนั้นผิดไป ทำให้เกิดความแตกแยกในลิขสิทธิ์และนำผู้ร้ายจากความเป็นจริงอื่นมาสู่โลกของปีเตอร์ ในขณะที่ตัวละครต่างๆ ของ Spider-Man รวมถึงโทบีย์ แม็กไกวร์และแอนดรูว์ การ์ฟิลด์กลับมารับบทเดิม ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากหลายฝ่าย ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจธีมของตัวตน ความรับผิดชอบ และผลที่ตามมาของการดัดแปลงความเป็นจริง ดูหนัง ออนไลน์

ผู้กำกับ

จอน วอตส์

บริษัท ค่ายหนัง

  • โคลัมเบียพิคเจอร์ส
  • มาร์เวลสตูดิโอส์
  • ปาสคาลพิกเชอส์

นักแสดง

  • ทอม ฮอลแลนด์
  • เซ็นเดยา
  • เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
  • เจค็อบ บาเทลอน
  • จอน แฟฟโรว์
  • เจมี ฟ็อกซ์
  • วิลเลม เดโฟ
  • อัลเฟรด โมลินา
  • เบเนดิกต์ หว่อง
  • โทนี เรฟโวโลรี
  • เมริซา โทเม
  • แอนดรูว์ การ์ฟิลด์
  • โทบีย์ แมไกวร์

โปสเตอร์หนัง

55462afc 41ad 4322 ad46 1caca29fcc36 3a983d03 0e5d 4f0f 94b7 b8b6bac7ad2f r4w01bwy1u1L04TQTMP o

รีวิวหนัง

ฉันชอบดูหนัง

สไปเดอร์แมนของมาร์เวลที่ชอบที่สุด ชอบมากกว่าสองภาคแรก แต่ถึงยังไงใจก็ยังรักภาคโทบี้กับแอนดรูว์มากกว่าอยู่ดี..

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม เรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในภาคก่อนหน้า เมื่อ มิสเทอริโอ ได้เปิดเผยตัวตนของสไปเดอร์แมนให้โลกรู้ ทำให้ปีเตอร์อยากกลับไปเหมือนเดิมแบบที่ทุกคนจำเขาไม่ได้ จึงไปหา ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ให้ช่วย แต่กลับเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด มัลติเวิร์สปั่นป่วน ทำให้เหล่าวายร้ายเก่าๆ หลุดเข้ามา ปีเตอร์จึงต้องหาทางรับมือให้ได้

สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม ทำให้เรารู้สึกอินได้ แม้จะมีจุดที่รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง ตรงนิสัยความเป็นเด็กของปีเตอร์ แต่พอนึกๆดู วัยเด็กของทุกคนก็ล้วนแล้วมีความดื้อรั้นด้วยกันทั้งนั้น ทำให้มองข้ามผ่านจุดนี้ไปได้ อีกอย่างในชีวิตจริง บางครั้งอารมณ์ก็นำเหตุผลอยู่เสมอ สิ่งที่คนอื่นทำก็มีขัดใจเราได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะความคิดหรือการกระทำ ตัวละครปีเตอร์ก็เหมือนเป็นเด็กคนนึงที่ยังไม่เติบโตทางความคิด แต่เหตุการณ์ในภาคนี้นี่แหละ ที่ทำให้ปีเตอร์ได้เรียนรู้ เติบโตและก้าวผ่าน…

ใครที่เป็นแฟนสไปดี้มาตั้งแต่สองเวอร์ชั่นก่อน น่าจะชอบ โน เวย์ โฮม เขาสร้างมาเซอร์วิสแฟนๆ ได้ตรงจุด โดนใจ ทำให้หวลคิดถึงวันเก่าๆ ทำเอาเราน้ำตาคลอได้ในบางฉาก มีปมและเรื่องราวที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ตรงนี้แหละที่ทำให้เราอินและทัชใจ ถ้าใครยังจำตอนรีวิวภาคก่อนได้ ก็จะบอกว่าสนุกแต่ไม่มีอะไรให้จดจำและประทับใจ แต่โน เวย์ โฮม กลับทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้ ประทับใจและจดจำ ดูจบแล้วทำให้อยากย้อนกลับไปดูทั้งสองเวอร์ชั่นให้ครบทุกภาคอีกครั้ง

9/10 คะแนน

จบแล้วรีวิว

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

#จบแล้วรีวิว #SpiderManNoWayHome

หลังจากแอดดองไว้นาน ก็มาเขียนรีวิวย้อนหลังกันบ้าง

เรื่องย่อสั้นๆเลยคือทุกคนบนโลกรู้แล้วว่าสไปเดอร์แมน คือ ปีเตอร์ พาร์คเกอร๋ และดันโดนใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกร ทั้งหมดจึงส่งผลกระทบกับปีเตอร์ และคนรอบตัวเขาทั้งหมด เลยไปขอให้ดร.สเตรจน์ช่วยให้ทุกคนลืมปีเตอร์ พาร์คเกอร์ แต่ดันเกิดการแทรกแซงจนคาถาเปลี่ยนไปและดึงเอาทุกคนที่รู้จักสไปเดอร์ หรือปีเตอร์ พาร์คเกอร์จากทุกมิติเข้ามา จึงเกิดเป็นความวุ่นวายในจักรวาลนี้

นี่เรียกได้ว่าเป็นภาคที่รีเซตสไปเดอร์แมน เวอร์ชั่นทอม ฮอลแลนด์เลยก็ว่าได้ หลายๆคนที่ตามมาร์เวลมาก็จะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นการเปิดทางเข้าสู่เฟสใหม่ของ MCU ฉะนั้น เรื่องนี้จึงเป็นการเปิดทาง และปิดแผลในอดีตนั่นเอง

เราจะรีวิวแบบไม่สปอยล์ก็คงยากนิดนึง แต่หลลายคนก็น่าจะรู้แล้วละ ฉะนั้นเราจะพูดถึงแบบผ่านๆละกัน ไม่เจาะจง

เริ่มจากภาคนี้เซ็ตไว้ที่หากทุกคนรู้ตัวจริงของสไปเดอร์แมนจะเกิดอะไรขึ้น จริงๆเรื่องนี้ก็น่าสนใจมาอย่างยาวนานแล้ว ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน แต่เวอร์ชั่นก่อนๆก็ไม่เคยหลุดตัวจริงสักที มีแต่เกือบๆ แต่ภาคนี้ใส่มาเป็นแกนหลักเลย และเราก็ได้เห็นผลของมันในเรื่องนี้

จะเรียกว่าเป็นการเอาใจแฟนสไปเดอร์แมนก็ว่าได้ อยากเห็นอะไร ก็น่าจะได้เห็นหมด เซอร์วิสไปเต็มๆเลย แต่อย่างว่าเหตุของเรื่องนี้ดูกิ๊งก๊องไปหน่อย ดูเหมือนเด็ก ซึ่งปีเตอร์เวอร์ชั่นทอมก็มีความเป็นวัยรุ่นและเด็กสูงกว่าภาคอื่น จึงยังพอเข้าใจได้ มันแค่สะกิดในใจเล็กๆเฉยๆ

อย่างว่าเรื่องนี้ปูทางไปมัลติเวิร์ส ก็ถือว่าเริ่มได้ดี แต่อีกอย่างที่น่าชื่นชมคือพาร์ทของการแก้ปมในใจของสไปเดอร์แมนผ่านบทสนทนาต่างๆนี่แหละ แอดมองว่านอกจากจะได้เซอร์วิสแล้ว ยังคลายปมต่างๆที่ยังไม่เคยเล่าในสไปเดอร์แมนภาคก่อนๆด้วย ซึ้งประมาณนึงเลยเชียว

การต่อสู้ในเรื่องมีเยอะสมใจเลยแหละ ทั้งต้นเรื่อง กลางเรื่อง และท้ายเรื่อง มีมาเรื่อยๆให้ไม่เบื่อเลย

ใครเป็นแฟนมาร์เวล ยิ่งแฟรนส์ไชน์สไปเดอร์แมนแล้วห้ามพลาดเป็นอันขาด ภาคนี้มีให้ดูใน Netflix ไปตามดูได้ แต่ถ้าอยากดูภาคก่อนๆ ก็เชิญที่ Disney+ Hotstar

“พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”

เด็กน้อยวิจารณ์หนัง

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

8.5/10

“ เซอร์ไพรส์ หักมุม และประทับใจ “

⁃ ในที่สุดก็ถึงภาคที่สามของสไปเดอร์แมน Tom Holland ในเวอร์ชั่น MCU

⁃ แน่นอนครับหนังสานต่อเรื่องราวจาก Spider-Man: Far From Home ( 2019 ) ที่ทำรายได้ทั่วโลกไปแบบถล่มทลาย

⁃ จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมานั้นสามารถสร้างความฮือฮาให้กับคนดูได้ทันที ว่าหนังจะเต็มไปด้วยเรื่องราวสุดแสนเซอร์ไพรส์อย่างที่คนดู(แอบ)คาดหวังเอาไว้หรือเปล่า

⁃ และความรู้สึกของผมหลังจากดูจบ มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ซึ่งผมสามารถพูดได้เต็มปากว่า หนังเต็มไปด้วย “ เซอร์ไพรส์ หักมุม และประทับใจ “ จริงๆนั้นเอง

⁃ หนังเล่าถึงเรื่องราวต่อเนื่องจากภาค Far From Home ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ( Tom Holland ) และคนรอบตัวของเขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จากการถูกเปิดเผยความจริงว่าตัวเขาคือ สไปเดอร์แมน ดังนั้นปีเตอร์จึงต้องขอความช่วยเหลือจาก ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ( Benedict Cumberbatch ) จอมมหาเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ให้ลบความทรงจำเพื่อให้คนทั้งโลกลืมเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และแน่นอนว่าการร่ายคาถาในครั้งนี้ ก่อให้เกิดวายร้ายจากโลกคู่ขนานต่างๆหลุดออกมา และแน่นอนว่ามันยากเย็นเกินกว่าที่สไปเดอร์แมนจะต่อกรได้

⁃ ผมขอพูดถึงข้อเสียของตัวหนังกันก่อนดีกว่า ( ปกติจะพูดถึงข้อดีก่อน )

⁃ ปกติผู้กำกับ Jon Watts จะเล่าเรื่องแบบเพลย์เซฟมาโดยตลอด แน่นอนว่าสองภาคแรกก็เป็นแบบนี้ และมาคราวนี้ในช่วงพาร์ทแรกของหนังก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน คือ เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา จนกระทั่งมาถึงช่วงพาร์ทสุดท้ายของหนังที่ผมชอบมาก เพราะว่าเป็นอะไรที่หักมุมแบบคาดไม่ถึง

⁃ และข้อเสียอีกเรื่องคือ การตัดสินใจที่ค่อนข้างขัดใจคนดูอยู่บ้างของตัวละคร และ บางช่วงเหมือนเยอะไปนิดจนล้น ( คือผู้กำกับตั้งใจเซอร์ไพรส์คนดูแบบเต็มที่ แต่มันรู้สึกว่าเหมือนจงใจอัดแน่นจนเยอะเกินไป ) และตัวละครวายร้ายที่มีมากเกินไป แน่นอนว่าการกระจายบทให้เด่นเท่าๆกัน มันทำได้ยาก เหมือนตัวละครวายร้ายบางตัว โดนลดบทบาทลง เพียงแค่มาเสริมเพื่อให้เติมเต็มในส่วนที่สมบูรณ์แบบของหนังเพียงเท่านั้น

⁃ และต่อไปนี้จะพูดถึงข้อดีกันบ้าง

⁃ อย่างที่ผมบอก ผมชอบพาร์ทสุดท้ายของหนังมากๆ เพราะว่าเป็นอะไรที่หักมุม และหนังเลือกกล้าที่จะเล่นแบบหลุดออกมาจากเซฟโซน

⁃ พอกล้าที่จะหักมุมปุ๊ป ทำให้คนดูได้เห็นถึงมิติของตัวละครอย่างปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ หรือ สไปเดอร์แมนในเวอร์ชั่น Tom ว่าตัวละครนี้โตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และตัวละครก็แสดงให้เห็นถึงพาร์ทดราม่าได้ดีกว่าทุกภาค แน่นอนว่า Tom Holland แสดงบทนี้ได้ดีจนน่าชื่นชม

⁃ ส่วนงานด้านภาพ นั้นหายห่วงอยู่แล้ว ทำออกมาได้ประทับใจ เพลงประกอบทำเข้ามาแบบถูกจังหวะ และที่สำคัญที่ผมชอบสไปเดอร์แมนภาคนี้มากๆก็คือ พาร์ทโรแมนติกระหว่างปีเตอร์ และ เอ็มเจ ( Zendaya ) ก็ทำออกมาได้ชวนจิ้นและอินได้มากพอสมควร

⁃ ส่วนตัวละครวายร้ายอย่าง กรีน ก็อบลิน ( Willem Dafoe ) และ ด็อกเตอร์ อ๊อตโต้ ( Alfred Molina ) รวมไปถึง อิเล็คโตร ( Jamie Foxx ) ก็แสดงได้ดีหายห่วง ( แหม่ระดับดารารุ่นใหญ่ขนาดนี้ ) ให้คนดูได้เห็นถึงมิติของวายร้ายที่ทั้งน่าเห็นใจ น่าสงสาร และน่ากลัวสุดๆ ในเวลาเดียวกัน

⁃ ส่วนพาร์ทแอ๊กชั่นทำออกมาได้สนุกเกินคาด และมีฉากแอ๊กชั่นใหญ่ๆหลายๆฉากด้วยกัน และแน่นอนว่าฉากแอ๊กชั่นต่างๆ ย่อมถูกใจแฟนคลับสไปเดอร์แมนได้อย่างแน่นอน

⁃ และหนังสอดแทรกมุขตลกเข้ามาแบบถูกจังหวะ ส่วนพาร์ทดราม่า มาแบบหนักหน่วงเกินคาดในช่วงท้าย และที่สำคัญหนังเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ และเอาใจแฟนคลับสไปเดอร์แมนได้แบบสุดๆนั้นเองครับ

⁃ และข้อดีข้อสุดท้ายที่ผมชอบมากจริงๆ คือ ชอบตอนจบของหนัง ที่กล้าเลือกที่จะจบแบบนี้ คือ ให้คนดูได้คิด และต้องติดตามอีกว่า หนังจะไปในทิศทางไหน และแน่นอนเลยว่าแฟนคลับสไปเดอร์แมนย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน

⁃ สรุปเลยแล้วกันครับ Spider-Man: No Way Home เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ “ เซอร์ไพรส์ หักมุม และประทับใจ “ พาร์ทดราม่าที่ลงตัว ฉากแอ๊กชั่นที่ทำออกมาได้ดูเพลิน และพาร์ทโรแมนติกที่ชวนจิ้น และมุขตลกที่ฮาแบบถูกจังหวะ ล้วนทำออกมาได้ดี และประทับใจได้เลยทีเดียว ดังนั้นขอให้คะแนน 8.5/10 สำหรับหนังเรื่องนี้ครับ

⁃ และแน่นอนมาร์เวลอะเนอะ มีฉากท้ายเครดิตเช่นเคยนั้นเอง

Spider-Man Thailand Fanpage

รีวิว (ไม่สปอย) คะแนน : 10/10

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

ฉายจริงวันที่ 23 ธันวาคม 2021

นี่อาจเป็นหนึ่งในหนังมาเวลที่ดาร์คและจริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา

หนังมันดูสนุกมากก!! 2 ชั่วโมงครึ่งเหมือนผ่านไปแค่ 1 ชั่วโมง ไม่มีตอนที่น่าเบื่อเลยสักนิด ลุ้นตลอดในทุกซีนทุกช็อตของหนัง ใครชอบสไปเดอร์แมนยังไงก็หลงรักภาคนี้แน่นอน!!!!

ภาคนี้เป็นการจบไตรภาคสไปเดอร์แมนของ MCU นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในจักรวาลตั้งแต่ปี 2016 ใน Civil War อย่างที่รู้กันว่าปีเตอร์ในเวอร์ชั่นนี้จะยังเด็กอยู่ เราจะได้เห็นเขาเติบโต เรียนรู้ ลองผิดลองถูกมากมาย และในภาคนี้ปีเตอร์จะต้องเจอกับบททดสอบที่ยิ่งใหญ่และหนักหนาสาหัสที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา

ถึงแม้ว่าหนังจะจั่วหัวว่าเรื่องที่จะเล่าคือมัลติเวิร์ส มันดูอลังการ ดูเป็นสงคราม ต่อสู้กันมันส์ๆ แต่พอได้ดูจริงๆแล้ว สิ่งพวกนั้นมันเหมือนเป็นแค่ส่วนประกอบเป็นแค่ฉากหน้าเท่านั้น หัวใจของมันคือการเล่าและพาปีเตอร์ไปสู่บททดสอบ และได้เรียนรู้ถึงการเป็นสไปเดอร์แมน หนังได้พาเราเข้าไปสำรวจตัวละครได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ ..และโหดเหี้ยม!! เรียกได้ว่าผู้กำกับและมาเวลในครั้งนี้ไม่ยั้งมือกันเลยทีเดียว ใส่เต็มทุกอารมณ์ทุกเหตุการณ์ จนบางทีก็แอบสงสารปีเตอร์ไปเลย (ไปดูกันเอาเอง)

ที่ผ่านมาจุดเด่นของสไปดี้เวอร์ชั่นทอมเลยคือเขายังเป็นเด็ก สังเกตว่าในสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นก่อน ๆ สไปดี้จะผ่านช่วงเรียนรู้ไปไวมากและกระโดดไปสู่สไปเดอร์แมนเต็มตัวเลยภายในไม่ถึงครึ่งเรื่อง แต่ในสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นนี้มาเวลเขาเน้นเล่าช่วงที่ปีเตอร์กำลังเรียนรู้ ลองผิดลองถูก และรับผลกระทบของการกระทำต่างๆ ซึ่งพอมาถึงภาคนี้พูดได้เลยว่า ปีเตอร์ทอมไม่ใช่เด็กอีกแล้ว นายโตเป็นผู้ใหญ่ นายคือสไปเดอร์แมนเต็มตัวแล้วในภาคนี้ เพราะอะไรต้องไปดู

ในแง่ตัวละครต่างๆ คือดีมากกกก คือคิดถึงมากกก เอากลับมาแล้วทำได้ดีมาก อย่างวิลเลมตอนแรกก็กลัวแกไม่ได้กลับมาเป็นก็อบลินนะ ด้วยอายุด้วยอะไร แต่แกก็มา และไม่ได้แค่ยัดๆมาเท่านั้น เพราะหลายๆคนอาจจะกังวลว่าตัวละครมันเยอะมาก ตัวร้ายตั้ง 5 ตัว มันจะเละเหมือนอย่างภาค 3 ในปี 2008 มั้ย เพราะดันยัดตัวละครมาเยอะเกินไป ซึ่งขอบอกตรงนี้เลยว่า ผู้กำกับภาคนี้เอาอยู่!! ทุกตัวละคร ทุกเหตุการณ์ถูกเรียงและเล่าได้อย่างพอดี แบบไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ คือมันครบจริงๆ เรารู้สึกเต็มอิ่มไปกับทุกตัวละครจริงๆ ไม่รู้สึกเสียดายอะไรเลย อะไรอยากเห็นได้เห็น!! ผู้กำกับเขารู้ไปหมดเลยว่าแฟนๆต้องการอะไร ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับจริงๆในเรื่องนี้ เก่งมากๆๆๆๆ

เรื่องการแสดงคือหายห่วง เพราะอย่างที่รู้กันว่านักแสดงแต่ละคนในภาคนี้คือเป็นนักแสดงที่ช่ำชองวงการและมากฝีมือ ระดับครูทั้งนั้น ยิ่งวิลเลม เดโฟ ในบทกรีนก็อบลินคือแบบ..!!!! ไม่อยากสปอยอะไรเลย อยากให้ไปเห็นเองเต็มๆตา วิลเลมแกปล่อยของแบบเต็มๆจริงๆ และที่ไม่ผิดคาดเท่าไหร่คือ พระเอกของเราอย่างทอม ฮอลแลนด์ ที่แกเอาอยู่จริงๆ เข้าซีนกับนักแสดงมากฝีมือขนาดนี้ แต่แกคุมซีนได้อยู่หมัด ไม่ดูด้อยไปกว่าใครเลย

เรื่องนี้จะเป็นสไปเดอร์แมนที่มีฉากแอคชั่นที่ดุดันที่สุด!! ตามที่โซนี่เคยโม้ไว้ และเขาทำได้จริงๆ คุณจะไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบนี้มาก่อนในหนังสไปเดอร์แมนภาคไหน รวมถึงเอฟเฟกต่างๆที่ทำออกมาได้ดีมากๆด้วย

และที่ขาดไม่ได้ แฟนเซอร์วิสสส!!! แอดแนะนำนะ ถ้าเป็นไปได้ ให้ไล่ดูหนังสไปเดอร์แมนภาคคนแสดงภาคก่อนๆให้หมดทุกภาคเลย ก่อนมาดูเรื่องนี้ แต่ถ้าถามว่าไม่ดูจะรู้เรื่องมั้ย? มันก็รู้เรื่องแหละ แต่แค่จะไม่อิน แล้วก็จะไม่ได้รับสารครบ 100% ตามที่ผู้กำกับเขาใส่หรือหยอดเข้ามา ซึ่งบอกเลยว่าแต่ละอันคือดีมากกก มีทั้งบทพูดและเรฟต่าง ๆ อยากให้ไล่ย้อนดูให้หมดก่อนจริงๆ นี่คือหนังเฉลิมฉลองภาพยนตร์สไปเดอร์แมนตลอด 20 ปีอย่างแท้จริงเลย

สรุป

หนังเรื่องนี้คือจดหมายรักแก่แฟนๆสไปเดอร์แมน จัดเต็มในทุกด้านทั้งเนื้อหา อารมณ์ แอคชั่น การแสดง และความอิ่มเอม มาเวลเขาจัดเต็มทุกๆอย่างให้แฟนสไปเดอร์แมนจริงๆ และทุกครั้งที่ตัวละครที่คุ้นหน้าออกมา ทั้งด็อกอ็อคที่เราเคยนั่งดูและกลัวตอนเด็ก ๆ หรืออิเล็กโตรที่เราเคยมองว่าเอฟเฟกมันอลังการที่สุดในยุคนั้น ได้เห็นพวกเขาเข้ามาโลดแล่นอยู่พร้อมกัน มันทำให้คนที่ตามสไปเดอร์แมนมาตลอด 20 ปี ยิ้มและปลื้มปริ่มจนน้ำตาไหลจริงๆ จนบางทีแทบจะไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนจอมันคือเรื่องจริง ขอบคุณโซนี่และมาเวลที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ออกมา และทำมันออกมาได้เพอร์เฟ็กมากจริงๆ ถ้าจะให้ยกข้อเสียขึ้นมาสักหนึ่งข้อ ก็คงจะเป็นหนังมันสั้นไป อยากให้มันยาวกว่านี้ อยากนั่งดูมันให้นานกว่านี้ 🙂

ทิ้งท้าย

ใครยังไม่โดนสปอย หรือกำลังอยากจะหาอ่านสปอย บอกเลยว่ารอดูรอเห็นทุกอย่างทีเดียวในหนังเต็มดีกว่า มันคุ้มค่าแก่การหลบสปอยจริง ๆ นะ แอดรับประกัน

มีเอนเครดิต 2 ตัวนะ อยู่ดูให้ครบนะห้ามพลาด!!

Baron Nerd

Movie Review Time.(No Spoil) (รีวิวช้ากว่าชาวบ้าน แต่ยังอยากรีวิว)

“Spider-Man: No Way Home”

Director > Jon Watts

Cast

  • Tom Holland
  • Zendaya
  • Benedict Cumberbatch
  • Jacob Batalon
  • Jon Favreau
  • Jamie Foxx
  • Willem Dafoe
  • Alfred Molina
  • Benedict Wong
  • Tony Revolori
  • Marisa Tomei

Spider-Man: No Way Home คือหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องที่ 27 จากแฟรนไชส์จักรวาลหนัง MCU ของค่าย Marvel Studios รวมกับ Sony Pictures ที่สร้างจากเนื้อหาบางส่วนของคอมมิค Spider-Man: One More Day ของ J. Michael Straczynski และ Joe Quesada จาก Marvel Comics, เป็นหนังภาคที่ 3 ของหนังไตรภาค Spider-Man ของ Tom Holland ที่อำนวยการสร้างโดยหัวเรือคนเดิมอย่าง Kevin Feige และกำกับโดย Jon Watts ผู้ที่เคยกำกับหนัง Spider-Man ฉบับ Tom มาแล้วสองภาคทั้ง Homecoming และ Far From Home

Spider-Man: No Way Home คือเรื่องราวหลังจากที่ Peter Parker ถูก Mysterio แฉว่าเขาคือ Spider-Man ทำให้ชีวิตของเขาและคนรอบข้างเขาต้องพบกับความลำบากวุ่นวาย ทำให้เขาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจาก Doctor Strange เพื่อร่ายคาถาลบความทรงจำทุกคนให้ลืมว่าเขาคือ Spider-Man แต่คาถาดังกล่าวทำให้เกิดความวุ่นวายของ Multiverse และเหล่าวายร้ายของ Spider-Man จากจักรวาลอื่นๆก็ทยอยกันมาโดยมีเป้าหมายหลักคือ Spider-Man

– การเล่าเรื่อง

หนังเรื่องนี้นับว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ Fan Service ฟอร์มใหญ่อีกเรื่องพอๆกับ Avengers: Endgame เลยก็ว่าได้ เพราะหนังอัดแน่นไปด้วยการคืนสู่เย้าของกลิ่นอายหนัง Spider-Man เวอร์ชั่นก่อนๆทั้งฉบับ Tobey Maguire และ Andrew Garfield ให้แฟนๆคิดถึง ไม่ว่าจะโทนหนัง, องค์ประกอบ Easter Eggs ต่างๆ, ตัวละครที่เรารู้จักและคุ้นเคยที่กลับมา และซีนที่น่าจดจำบางซีนจากหนังเวอร์ชั่นก่อนๆ เอามาเล่าใหม่อีกครั้งในอีกรูปแบบนึงและถูกนำมาเล่าเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวและอารมณ์ตัวละครได้เป็นอย่างดีไม่แพ้ Avengers: Endgame

ถ้าจะบอกว่าหนังภาคนี้พึ่งบารมีตัวละครวายร้ายเก่าๆหรืออะไรบางอย่างจากหนังเวอร์ชั่นก่อนๆ มันก็ใช่ เพียงแต่รอบนี้มันถูกเอามาใช้โดยไม่กลบเรื่องราวและรัศมีของตัวละคร Peter Parker หรือ Spider-Man ฉบับ Tom แบบภาคก่อนๆ แถมเรื่องราววายร้ายเก่าๆเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้ตัวละคร Peter ฉบับ Tom เริ่มเติบโตและเรียนรู้การเป็นฮีโร่เพื่อนบ้านที่แสนดี Spider-Man จริงๆสักที และไม่ต้องห่วงว่านี่คือหนัง Spider-Man เป็น Sidekick ให้กับฮีโร่ตัวอื่นใน MCU อีกรอบโดยมีเรื่องราวของฮีโร่ตัวนั้นๆเป็นแก่นหลักแบบตอน Homecoming ที่มี Iron Man กับ Far From Home ที่มี Nick Fury กับ Mysterio เพราะหนังภาคนี้ Doctor Strange บทมาแนวตัวละครรับเชิญเลยครับ(แต่ก็สร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างดี), เรื่องราว Multiverse เป็นแค่เรื่องรอง และเรื่องราวเกี่ยวกับ Spider-Man คือเรื่องราวหลักที่หนังโฟกัส

ในขณะเดียวกัน หนังก็มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตข้ามวัยจากวัยรุ่นมัธยมเป็นวัยรุ่นมหาลัยหรือผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวผ่านตัวละคร Peter Parker ที่แค่เรื่องจบมัธยมและเตรียมเข้ามหาลัยก็ว่าหนักแล้ว การที่ตัวเองถูกเปิดเผยว่าเป็น Spider-Man แล้วต้องพบเจอแต่ความบัดซบทั้งจากวายร้าย คนอื่นๆ รวมถึงตัว Peter เอง จนถาถมใส่ Peter และคนรอบข้างอย่างไม่ยั้งและหนักอึ้งมากๆ และตัว Peter ต้องรับมือและรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง(มีพวกพ้องของตัวเองคอย Support อยู่บ้าง) ซึ่งก็ทำให้หนังเรื่องนี้ดึงความเป็น

Spider-Man อย่างที่ควรจะเป็นมากกว่าหนังภาคก่อนๆของ Tom ในแง่ของความชีวิตบัดซบของ Peter ที่ต้องรับมือและพึ่งพาด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก ตามสโลแกนพลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง ทำให้หนังเรื่องนี้มีเรื่องราวแก่นเรื่องที่เข้มข้นขึ้น จริงจังขึ้น และดาร์คขึ้นกว่าหนัง Spider-Man ของ Tom ภาคก่อนๆ ซึ่งก็เล่าออกมาได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน หนังก็ยังคงมีความเป็นหนังวัยรุ่นคอมเมดี้ใสๆวัยว้าวุ่น เคมีตัวละครแก๊งเพื่อน Peter ยิงมุขกันโบ๊ะบ๊ะ ซึ่งก็เล่าได้ดีเช่นเดิม ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้ มันให้ความรู้สึกเดียวกับดูหนัง Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ที่แฟรนไชส์หนังเปลี่ยนโทนจากหนังใสๆน่ารักๆมาเป็นหนังซีเรียสจริงจังดูโตขึ้นตามวัยตัวละคร

– บท

บทโดยรวมโอเค มีความสมเหตุสมผลในเรื่องราวและมีความอิหยังวะอยู่บ้าง แต่ก็พอจะมองข้ามได้เพราะหนังเรื่องนี้มี Dialogue ที่เวิร์คและตัวละครทุกตัวทั้งเวอร์ชั่นหนัง MCU และเวอร์ชั่นหนังเก่าๆพูดคุยด้วย Dialogue ที่สนุก บทตลกก็ยิงมุขกันได้ไหลลื่นและฮาดี(โดยเฉพาะเวลาวายร้ายจากหนังต่างเวอร์ชั่นคุยกันคือโคตรลงตัว) บทดราม่าจริงจังก็ใส่กันไม่ยั้ง บทตัวละครก็กระจายได้อย่างทั่วถึงเท่าที่จะทำได้และเคมีตัวละครทุกตัวก็ทำออกมาดีด้วย

– การแสดง/ตัวละคร

ตัวละครโดยรวมทำออกมาได้ดีทุกตัว ทั้งตัวละครเดิมๆอย่าง Peter, MJ, Nate, Flash, ป้า May, Happy และหมอแปลกที่ดีอยู่แล้ว, ตัวละครวายร้ายจากหนังเวอร์ชั่นเก่าทั้ง Green Goblin และ Doctor Octopus ก็เอามาใช้ได้โคตรคุ้มสมราคา แม้กระทั่งวายร้ายบทน้อยอย่าง Electro, Lizard และ Sandman ก็ยังมีซีนเด่นๆอยู่บ้างและส่วนตัวรู้สึกว่าบางตัวดูดีกว่าตอนอยู่ในหนังเวอร์ชั่นเก่าๆซะอีก ในส่วนของการแสดง นักแสดงทกคนทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะ Tom Holland ที่การแสดงบท Peter Parker/Spider-Man ดูเฉิดฉายที่สุดในบรรดาหนังไตรภาคที่เขาแสดงมา และ Willem Dafoe ในบท Norman Osborn/Green Goblin ที่การแสดงของเขาเข้าขั้นโคตรเทพ สามารถเล่นบทสองบุคลิกได้อย่างยอดเยี่ยมและดีไม่ต่างจากตอนที่เล่นในหนังเวอร์ชั่นเก่าของ Tobey Maguire

– งานภาพ/งานสร้าง

น่าจะเป็นส่วนที่ผมขัดใจที่สุดของหนังเรื่องนี้ เพราะหนังมีงานภาพที่ยังไม่สวยเท่าที่ควร คืองานภาพคุมโทนสีอะโอเค แต่มีการใช้ฉากเดิมจากหนัง Spider-Man เวอร์ชั่นเก่าๆซึ่งมันเอามาใช้แล้วมันดูลอยๆและไม่กลมกลืนกับหนัง, CG บางซีนก็ลอย และซีนตอนกลางคืนบางซีนกลับทำออกมาดูมืดเกินไปจนดูไม่รู้เรื่อง แต่ในส่วนเทคนิคการถ่ายทำ หนังมีการใช้การตัดต่อรวดเร็วหรือ Quick Cut ในบางซีนได้ถูกจังหวะและโอเค

– ดนตรี/เพลงประกอบ

ดนตรีประกอบยังคงแต่งโดย Michael Giacchino คนเดิม ซึ่งก็ทำออกมาได้โอเค

– ฉากแอ็คชั่น

ฉากแอ็คชั่นเรื่องนี้สนุกและโอเค อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่าหนัง Spider-Man สองเวอร์ชั่นเก่าๆหรือแม้กระทั่งภาค Far From Home แต่สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นหนังเรื่องนี้ยังดูสนุกและลุ้นได้คือเคมีตัวละครในเรื่องที่เราจะได้เห็นตัวละครร่วมมือกันเป็นทีมและช่วยสู้กัน และฉากแอ็คชั่นบางซีนก็ทำออกมาได้ดิบเถื่อนดี

หนังเรื่องนี้มี End-Credit สองตัว ซึ่งก็ไม่ควรพลาดเหมือนเดิม

Spider-Man: No Way Home เป็นหนัง MCU ปี 2021 ที่เรียกได้ว่าสนุกและดีที่สุดของปีแล้ว เป็นจดหมายรักแด่แฟนๆที่มีต่อแฟรนไชส์หนัง Spider-Man ทุกเวอร์ชั่น เป็นบทสรุปของหนัง Spider-Man ไตรภาควัยรุ่นมัธยมหรือ Home เพื่อนำไปสู่เรื่องราวการเป็น Spider-Man แบบที่ควรจะเป็นและเรื่องราวใหม่ๆของ Spider-Man ในอนาคตที่น่าสนใจและคาดเดาไม่ได้ และส่วนตัวผมยกให้เป็นหนัง Spider-Man ฉบับ Tom Holland ที่ผมชอบที่สุดและติด Top10 หนัง MCU ในดวงใจ ซึ่งถ้าจัดอันดับ TOp10 หนัง MCU โดยนับหนังเรื่องนี้ด้วย

1. Avengers ภาคแรก

2. Avengers: Endgame

3. Captain America: The Winter Soldier

4. Captain America: Civil War

5. Guardians of the Galaxy ภาคแรก

6. Iron Man ภาคแรก

7. Avengers: Infinity Wars

8. Black Panther ภาคแรก

9. Guardians of the Galaxy Vol.2

10. Spider-Man: No Way Home

ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนหนัง MCU, เป็นแฟนหนัง Spider-Man ทุกเวอร์ชั่น หรือเป็นแฟนหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ก็ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองครับ ชอบไม่ชอบอยู่ที่คุณ

รีวิวทั้งหมดนี้คือความรู้สึก+คหสต.ของแอดล้วนๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านรีวิวนี้นะครับ

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

Avatar The Last Airbender (2024) เณรน้อยเจ้าอภินิหาร

The Beekeeper (2024) นรกเรียกพ่อ

Aquaman and the Lost Kingdom (2023) อควาแมน กับอาณาจักรสาบสูญ

Badland Hunters (2024) นักล่ากลางนรก

Argylle (2024) อาร์ไกล์ ยอดสายลับ

แสดงความคิดเห็น

Share

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่