ดูหนัง Sand Castle (2017) แซนด์ แคสเทิล
เรื่องย่อ
เรื่องราวนี้เล่าถึงทหารหนุ่มคนหนึ่งและการแนะนำเขาให้เข้าร่วมการรุกรานอิรักในปี 2003 โดยอิงจากเหตุการณ์จริงและเล่าถึงความหายนะและความน่ากลัวของสงคราม
ผู้กำกับ
- Fernando Coimbra
บริษัทค่ายหนัง
- 42
- Treehouse Pictures
นักแสดง
- Nicholas Hoult
- Logan Marshall-Green
- Henry Cavill
- Glen Powell
- Beau Knapp
- Neil Brown Jr.
- Tommy Flanagan
โปสเตอร์หนัง
รีวิว Sand Castle (2017) แซนด์ แคสเทิล
⭐ คะแนน: 6/10 ดาว
The Sand Castle ปราสาททราย ภาพยนตร์ Original Netflix แนวดราม่าจากเลบานอน สมาชิกในครอบครัว 4 คน ต้องติดอยู่บนเกาะร้างโดดเดี่ยว ในขณะที่มีเหตุการณ์ประหลาดมากมายค่อยๆ เกิดขึ้นบนเกาะ หนังจากเลบานอนพูดภาษาอาหรับเรื่องนี้เป็นหนังอินดี้ที่ฉายไปปี 2024 ก่อนที่เน็ตฟลิกซ์จะซื้อมาฉายวงกว้างทั่วโลก หลักๆ เลยก็คงเพราะองค์ประกอบความโดดเด่นด้านภาพ ซึ่งมันโดดเด่นมากจนเหมือนหนังที่ตั้งใจขายงานศิลป์มากกว่าถ่ายทอดเรื่องราวจริงๆ ฉากในเรื่องบนเกาะดูอ้างว้างโดดเดี่ยว แต่มีสีสันจากสิ่งของต่างๆ ตัดกับความโดดเดี่ยวนั้น รวมถึงจินตนาการของเด็กในเรื่องบางครั้งที่สร้างฉากสวยแปลกๆ ขึ้นมาแบบเดียวกับหนังเรื่อง Pan’s Labyrinth แค่ไม่ได้เป็นแฟนตาซีสุดทางแบบนั้น แต่ก็มีความเหนือจริงอยู่เช่นกัน ซึ่งถ้าใครชอบเสพงานด้านภาพหนังเรื่องนี้ตอบสนองได้ดีพอตัวเลย
หนังจากเลบานอนที่ถ่ายทำจัดฉากองค์ประกอบภาพได้สวย มีความจริงผสมจินตนาการกึ่งแฟนตาซีนิดๆ แต่การเล่าเรื่องกลับเป็นแนวหนังอินดี้มากไป ไม่ใช่หนังแนวติดเกาะเอาชีวิตรอดจริง โดยพยายามใส่ปริศนาครอบครัวบนเกาะร้างที่มีสิ่งของเครื่องใช้แม้แต่ที่พักพร้อมสรรพ ปนไปกับเหตุการณ์แปลกที่มาเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีคำใบ้อธิบายให้ผู้ชมทั่วไปคิดตามทันได้เลย จนกระทั่งตอนจบสุดท้ายถึงเฉลยคำตอบออกมา แต่ก็ไม่ได้แปลกใหม่เพราะมีหลายเรื่องทำออกมาแล้ว ถึงมันอาจจะดูเข้ากันดีกับสถานการณ์ของประเทศต้นทาง แต่สำหรับผู้ชมทั่วไปมันก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจในระหว่างดูได้จริงๆ ครับ ผ่านได้ผ่านเลย ยกเว้นอยากดูงานภาพสวยๆ
⭐ คะแนน: 6/10 ดาว
“กูไม่ได้อยากมารบ กูแค่จะมาหาเงิน”บอกตามตรงว่าไม่เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่หลังจากที่เลื่อนดูโปรแกรมในแอพ Netflix ว่ามีอะไรน่าดูบ้าง ก็ไปสะดุดกับเรื่องนี้ ที่มีภาพปกของเรื่องสวยจริงๆ จนต้องใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง สำหรับเรื่องนี้ รวมไปถึงมีสตาร์ดังอย่าง เฮนรี่ คาร์วิลล์ มาแสดงด้วย เลยทำให้น่าดูขึ้นไปอีกธีมหลักของหนังจะอยู่กับทะเลทราย แสงแดดร้อนจ้า และรถฮัมวี่เปื้อนฝุ่น โดยหนังเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงของ คริส โรเอสเนอร์ ผู้เขียนบท ที่เคยเป็นทหารอยู่ในประเทศอิรักในปี 2003 ซึ่งกล่าวถึงพลทหารโอเคอร์ ตัวเอกของเรื่องที่เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ไม่ได้อยากจะมาตายเพื่อชาติ ไม่ได้อยากจะมาสวมเครื่องแบบเปื้อนฝุ่นทราย ในพื้นที่ห่างไกลแผ่นดินเกิดของตัวเองแบบนี้ เค้าแค่มาสมัครเข้ากองทัพเพียงต้องการเงินเบี้ยเลี้ยงไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น แบบประโยคเริ่มต้น แต่ดันได้รับภารกิจให้ไปซ่อมแซมระบบส่งน้ำในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า บาคูบาห์ ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงที่สุดแห่งนึง โดยพวกเขาต้องพยายามสร้างความเชื่อใจให้แก่คนในหมู่บ้าน รวมไปถึงนำตัวเองให้รอดจากสมรภูมินี้จนจบภารกิจ
หนังปูให้เราค่อยๆซึมซับกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร และนิสัยของตัวละครต่างๆ ทั้งทหารบ้าดีเดือด กระหายสงคราม ทหารพูดมาก ที่พยายามเหมือนจะพูดเพื่อลดความกลัวของตัวเอง แต่หนังพยายามจะสร้างคาแรกเตอร์ของตัวเอกโอเคอร์ให้ดูเป็นคนที่มีอะไรในใจตลอดเวลา ทำตามคำสั่งไปวันๆ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ ถ้าในด้านเหตุผลของบท มันก็ถือว่านิสัยแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาชอบ เพราะดูเป็นคนที่ไม่บ้าเกินไป และไม่ขี้ขลาดเกินไป สามารถนำไปออกรบได้ แต่ในด้านของคนดู มันดูเหมือนตัวเอกไม่มีพัฒนาการของตัวละครเท่าไรนัก ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหน หน้าแกก็ยังดูนิ่ง สุขุม ดูเป็นทองไม่รู้ร้อนตลอดเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าผู้กำกับแกสั่งเอาไว้ว่าคาแรกเตอร์มันต้องเป็นแบบนี้รึเปล่าหนังไม่ได้มีการสู้รบกันตลอดทั้งเรื่อง แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปในเรื่องของการลอบโจมตี ความไม่ไว้วางใจกันทั้งสองฝ่าย ในช่วงแรกๆอาจมีบ้างที่บทออกจะเนือยๆ แต่พอเข้าช่วงหลังของหนังแล้ว ใส่กันไม่ยั้งเหมือนกัน
มีหลายช่วงที่หนังดูจะพยายามใส่ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน โดยใส่บทให้ทหารสามารถโทรกลับไปหาคนที่บ้านได้ แต่ก็ดูไปได้ไม่สุดเท่าไร มีฉากที่ก่อนออกรบ ทหารนายหนึ่งโทรศัพท์กลับไปบอกเมียที่บ้านและร้องไห้ แต่ก็มีฉากนั้นอยู่ไม่ถึง 1 นาที ด้วยซ้ำ ทำให้ไม่ได้มีความอินอะไรกับอารมณ์นี้เท่าไร เหมือนกับหนังจะบอกว่า “เออ กูทำให้ดูซึ้งแล้วนะ ไปๆ ไปรบกันได้แล้ว” อะไรแบบนี้ แต่ถือว่าทำออกมาใช้ได้ทีเดียวสำหรับเรื่องนี้ ให้อารมณ์สไตล์หนังเรื่อง Jarhead ถ่ายทอดบรรยากาศ ความเครียด ความกดดันในภารกิจได้ค่อนข้างโอเค อาจจะติดตรงความหน้าตายของพระเอกไปนิด ที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไร แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นหนังสงครามที่น่าดูอยู่ ดูเพลินๆได้เหมือนกันใครที่อยากจะหาเรื่องนี้ชม สามารถชมได้ทาง Netflix นะครับ
⭐ คะแนน: 7/10 ดาว
Sand Castle ไม่ใช่หนังที่วิจารณ์ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับหนังสงครามเรื่องอื่น ๆ ที่ตื่นเต้นเร้าใจ ดำเนินเรื่องเร็ว และเต็มไปด้วยแอ็คชั่นไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนี้ไม่คุ้มค่าที่จะดู มันคุ้มค่าอย่างแน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงสปอยเลอร์ เรื่องราวดำเนินไปในจังหวะที่ค่อนข้างช้าสำหรับหนังสงคราม แต่มีข้อความที่ชัดเจนที่จะถ่ายทอด และทำได้ด้วยความประณีตและสมจริง การแสดงของตัวละครแต่ละตัวนั้นแข็งแกร่งมาก และผู้กำกับไม่ได้ทำให้เรื่องราวยุ่งยากเกินไปโดยทำให้เรื่องราวสับสนด้วยความรุนแรงที่ไม่จำเป็นและเกินเหตุ แน่นอนว่ามีข้อขัดแย้งใน “ช่วงสงคราม” ในระดับหนึ่ง และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่มีต่อทหารที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันระหว่างปฏิบัติภารกิจ
เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหนัง ผู้เขียนบท (ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกจริงในการบุกอิรักในปี 2003) เพียงแค่ถ่ายทอดประสบการณ์ของเขาในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น ฉันชอบแนวทางนี้ในการถ่ายทอด Genra เพราะเล่าเรื่องราวของเป้าหมายที่เรียบง่ายซึ่งกลายเป็นเรื่องยากเนื่องจากธรรมชาติของสงครามเองและการสูญเสียผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากสงคราม นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงต้นทุนด้านมนุษยธรรมของทั้งสองฝ่าย ทั้งทหารสหรัฐและผู้คนที่ต้องเผชิญสถานการณ์อันเลวร้ายของสงคราม ฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นมุมมองดังกล่าวได้เป็นอย่างดี หากคุณกำลังมองหาภาพยนตร์ประเภท “Platoon” หรือ “Black Hawk Down” เรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับคุณ แต่ถ้าคุณสนใจภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามได้สำเร็จ แม้ว่าเนื้อเรื่องจะไม่ได้เน้นไปที่วิธีการที่โหดร้ายและรุนแรงที่สุดก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คุ้มค่าแก่การรับชม
🤩 christopher-dallas-113-229541
⭐ คะแนน: 7/10 ดาว
เรื่องราวนี้ถ่ายทอดสภาพแวดล้อมและผู้คนในพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้งได้อย่างแม่นยำ โดยอิงจากเหตุการณ์จริงของผู้เขียนบทภาพยนตร์ Nicholas Hoult ทำได้ดี ฉันมองว่าเป็นภาพยนตร์ที่เรียบง่าย เขาช่วยให้เราไม่ต้องคิดมากเกินไปเกี่ยวกับตัวเองหรือปัญหาทางศีลธรรมที่มักเกิดขึ้นบ่อยในการเขียนบทหรือภาพยนตร์ ตลอดทั้งเรื่องฉันคิดว่ามันดูเหมือนอิรักจริงๆ ถ่ายทำในจอร์แดน พื้นที่ที่ฉันอยู่ดูเหมือนภาพจากยานสำรวจดาวอังคาร มีหิน ดินเหนียว ทราย และหินอีกมากมาย ในช่วงฤดูหนาว ส่วนใหญ่จะมีแต่สีส้ม นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่เล่าขานหรือเป็นภาพยนตร์แอคชั่น ฉันดีใจที่ไม่มีการย้อนอดีตหรือย้อนอดีตไปยังบ้านเกิด/สหรัฐอเมริกา การกลับบ้านและชีวิตหลังจากนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพลงประกอบก็ไพเราะและชื่อเรื่องก็ดีมาก คล้ายกับผลงานของ Brian Eno ดีใจที่ได้เห็นผลงานต้นฉบับของ Netflix ที่มีคุณภาพอีกเรื่องหนึ่ง