Quiz Show (1994) ควิสโชว์ ล้วงลึกเกมเขย่าประวัติศาสตร์
เรื่องย่อ
ทนายความสาวในอุดมคติที่ทำงานให้กับคณะอนุกรรมการรัฐสภาในช่วงปลายทศวรรษ 1950 พบว่ารายการตอบคำถามทางทีวีกำลังได้รับการแก้ไข การสืบสวนของเขามุ่งเน้นไปที่ผู้เข้าแข่งขันสองคนในรายการ “Twenty-One” ได้แก่ Herbert Stempel ชาวยิวชนชั้นแรงงานหัวไวจากควีนส์ และ Charles Van Doren ลูกหลานของหนึ่งในตระกูลวรรณกรรมชั้นนำของอเมริกา ขึ้นอยู่กับเรื่องจริง
ผู้กำกับ
- Robert Redford
บริษัท ค่ายหนัง
- Hollywood Pictures
นักแสดง
- John Turturro
- Rob Morrow
- Ralph Fiennes
- Paul Scofield
- David Paymer
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
ถ้าหากนับกันตามคำวิจารณ์ของชาวอเมริกันทั่วประเทศ Quiz Show และบวกเอาเกรดระดับ A ที่นักวิจารณ์ให้แล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้ คือหนังยอดเยี่ยมแห่งปี 1994 ครับ ผลงานการกำกับของ Robert Redford เรื่องนี้ สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในยุค 50 เป็นยุคที่เกมโชว์กำลังรุ่งเรือง และเกมที่ดังติดอันดับก็คือ เกม 21 เกมตอบคำถามที่จะมีผู้แข่งขัน 2 คนผลัดกันตอบคำถาม ใครทำแต้มได้ถึง 21 ก่อน ก็จะเป็นผู้ชนะและจะต้องกลับมาปกป้องตำแหน่งแชมป์ในสัปดาห์ต่อๆ ไป จนกว่าจะถูกโค่น แต่แล้วปรากฏว่า ดิ๊ก กู๊ดวิน (Rob Morrow) เจ้าหน้าที่รัฐได้ทำการสืบสวนรายการดังกล่าว เพราะเขาได้รับการร้องเรียนจาก เฮอร์เบิร์ต สแตมเปอร์ (John Turturro) อดีตแชมป์ที่ถูกโค่นลงโดย ชาร์ลส แวน ดอเรน (Ralph Fiennes) โดย เฮอร์เบิร์ตอ้างว่า เกม 21 นี้มีการเตี๊ยมคำตอบและมีการเตี๊ยมว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในสัปดาห์นั้นๆ !
นี่จัดเป็นเรื่องสั่นคลอนศรัทธาเรื่องสำคัญของคนอเมริกันครับ มีการโหวตให้ติด 10 อันดับแรกของรายการ The Ultimate 10 ในหัวข้อ “เรื่องหลอกลวงที่โด่งดังที่สุด” ผมจำไม่ได้ว่าอันดับไหนนะครับ แต่มันติด 10 อันดับแน่นอน และใช่ครับ จากเรื่องราวคือรายการนี้มีการเตี๊ยมกันจริง (ไม่ถือว่าสปอยล์หรอกครับ เพราะหนังมันจะบอกตั้งแต่ต้นๆ เลย)อืมม์ เรื่องการเตี๊ยมไม่เตี๊ยมในเกมโชว์นี่ เป็นเรื่องที่ชอบถูกเอามาพูดกันเรื่อยๆ นะครับ บ้านเราช่วงที่รายการเกมโชว์จำพวกนี้ดังมันก็มีการหยิบยกมาพูดอยู่เรื่อย ว่า “เอ มันเตี๋ยมอ้ะป่าวหว่า”
ซึ่งก็มีมุมมองเรื่องนี้ ได้หลากหลาย อย่างมุมหนึ่ง รายการเกมโชว์มันคือรายการบันเทิง ดังนั้นหน้าที่ของเกม ก็คือสนองความบันเทิงให้ผู้ชม แล้วการที่จะเตี๊ยมเพื่อให้คนดูตื่นเต้นในอารมณ์บ้าง มันก็ไม่น่าจะผิดอะไร ไม่งั้นรายการชืดตายเลยครับ หากไม่มีสีสันหรืออะไรให้ลุ้น ลองสังเกตมั้ยครับ บางทีผู้เข้าแข่งขันสมมติว่ามีอยู่สองฝ่ายนะ ทำไมคำตอบมันถึงเฉียดกันได้ขนาดนั้น คิดดูครับ ถ้าคำตอบมันเรื่อยๆ ไม่เฉียดคะแนนห่างกันแบบไม่ต้องลุ้น แล้วรายการมันจะน่าดูมั้ยล่ะ (ยกเว้นคุณจะดูคนตอบหรือพิธีกรที่เป็นสาวๆ สวยๆ น่ะนะครับ นั่นมันอีกเรื่องนึง)
แต่ประเด็นนี้ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง สำหรับหลายคนมันอาจถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันเท่ากับหลอกลวงประชาชน โป้ปดต่อผู้บริโภค นี่จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมองได้หลายมุมเหลือเกินครับ การที่หนังได้รับคำชมและได้คะแนนระดับ A จากทุกสำนักวิจารณ์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ เพราะหนังมันถึงเครื่องจริง เริ่มจากนักแสดงที่ต้องเรียกว่าคัดกันมาจริงๆ ครับ เริ่มจาก John Turturro ในบทเฮอร์เบิร์ต สแตมเปอร์
ชายชนชั้นแรงงานที่ชอบหุนหันและทำอะไรตามอารมณ์ Turturro Quiz Show แสดงได้เฉียบขาดสุดๆ ตามด้วย Rob Morrow ในบทดิ๊ก กู๊ดวิน เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีดีกรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากนิติศาสตร์ฮาวาร์ด มาดให้สุดๆ ครับ น้ำเสียงนี่นุ่มแต่พร้อมที่จะเชือดฝ่ายตรงข้ามตลอด และยังเป็นคนประเภทกัดไม่มีวันปล่อยอีกด้วย เป็นบุคคลประเภทที่มีค่อนข้างมากในยุค 50 ของอเมริกาครับ ประมาณว่าศรัมธาในระบบและความมั่นคงของชาติตนเองและจะไม่ยอมให้มีอะไรมาสั่น คลอดความถูกต้องเป็นอันขาด
คนต่อมาก็ Ralph Fiennes กับบทชาร์ลส แวน ดอเรน ซึ่งดูเหมาะสุดๆ เพราะพี่ Ralph แกดูดี มีชาติตระกูลมากๆ (แทบจะตรงข้ามกับเฮอร์เบิร์ต สแตมเปอร์โดยสิ้นเชิง) เป็นคนมีการศึกษาแต่ก็ยังอ่อนต่อโลกครับ ยังโดนกิเลสและชื่อเสียงลาภยศครอบงำได้ตลอดเวลา ดาราหลักๆ ทั้งสามคนแสดงได้ชนิดที่ไม่เหมือนว่าแสดงเลยแม้แต่น้อยครับ ดูสมจริงและน่าเชื่ออย่างมาก ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะทั้งสามคนเป็นดารายอดฝีมืออยู่แล้วนี่ครับ
แล้วพวกเขายังทำการบ้านก่อนมาเล่นด้วยนะครับ อย่างพี่ Ralph เนี่ย แกไปหาชาร์ลส แวน ดอเรนตัวจริงเลย ซึ่งตอนแรกชาร์ลสเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือหรอกนะครับ แกไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับหนังเลยแหละ แต่พี่ Ralph แกลงทุนขับรถตรงดิ่งไปคอนเนตติกัต ไปยังบ้านที่ชาร์ลสอาศัยอยู่ แล้วพอถึงหน้าบ้านก็เจอชาร์ลสกำลังนั่งอยู่หน้าบ้านพอดี พี่ Ralph แกเลยแกล้งทำเป็นรถเสียแล้วก็เข้าไปคุยกับชาร์สซะเลย คิดดูครับลงทุนขนาดไหน
นอกนั้นดาราคนอื่นก็เก่งๆ ทั้งนั้นครับ Paul Scofield เจ้าของรางวัลออสการ์ดารานำชายยอดเยี่ยมจาก A Man For All Seasons มารับบท มาร์ค เวน ดอเรน พ่อของชาร์ลส ซึ่งเขาก็แสดงได้อย่างอบอุ่นครับ ดูเป็นพ่อที่น่ารักและเข้มงวดไปในตัว ซึ่งบทที่ว่านี่ก็ส่งเขาไปเข้าชิงออสการ์เช่นกันครับ, David Paymer และ Hank Azaria รับบทเป็นคู่หูผู้จัดรายการ 21 แดน เอนไรต์ และ อัลเบิร์ต ฟรี๊ดแมน ซึ่งก็อยู่เบื้องหลังการเตี๊ยมทั้งหลายด้วย และ Mira Sorvino สาวสวยเจ้าของออสการ์จาก Mighty Aphrodite รับบท ซานดร้า กู๊ดวิน ภรรยาของดิ๊ก ซึ่งเธอเองก็มีความขัดแย้งกับสามีในเรื่องคดีนี้ตลอดครับ เช่นการยืนยันที่จะให้สามีเล่นงานกับตัวบุคคล แต่สามีเธออยากเล่นงานที่ตัวรายการมากกว่าอะไรแบบนี้เป็นต้น
นอกจากนี้งานโปรดักชั่น ยังย้อนยุคได้สมกับปี 50 เอามากๆ ครับ บรรยากาศการแต่งกายและรูปแบบการจัดรายการ ทุกส่วนลงตัวมากๆ ดนตรีจากฝีมือของ Mark Isham ก็ย้อนยุคไม่แพ้กัน หนังเลยได้อารมณ์สุดๆ ครับ และที่ต้องชมเลยก็หนีไม่พ้น Redford ในงานกำกับชิ้นเยี่ยมเรื่องนี้ เขาเป็นดาราไม่กี่คนที่สามารถทำงานผู้กำกับได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้นะครับ จากเรื่องนี้เขาได้เข้าชิงออสการ์ในฐานะผู้กำกับด้วย และหนังก็ได้เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมเช่นกัน (แต่หนังของพี่ท่านมักไม่ทำเงิน ครับ ชอบโกยกล่องมากกว่า)
หนังเล่นเรื่องง่ายๆ ซึ่งก็คือความโลภของคนน่ะครับ โลภตรงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะฮะ ยังหมายถึงเรื่องชื่อเสียง ความมีหน้ามีตา ความโด่งดัง อะไรเหล่านี้ล้วนเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมาย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถควบคุมความอยากเหล่านี้ให้อยู่ในขอบข่ายที่เหมาะสมได้ไหม อย่างชาร์ลสนั้น แม้จะมีหน้ามีตา มีฐานะอยู่แล้ว รูปยังหล่ออีกด้วย แต่สุดท้ายเมื่อมีคนมาเสนอทางรวยและชื่อเสียงให้ เขาก็ทนความยั่วยวนนั่นไม่ไ่ด้ครับ อันนี้เห็นได้ตรงๆ เลยว่า การศึกษามันให้ความรู้กับเราได้สูงก็จริง แต่มันก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะขัดเกลาเราให้ปราศจากกิเลสในใจ ซึ่งเรื่องแบบนี้ตัวเราเองนั่นแหละครับที่ต้องหาทางฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่ง
ไม่ต้องพร่ำบอกใครว่าเราเป็นคนดีหรอกครับ แต่ขอให้เราทำตัวดี ทำตัวให้เหมาะสมก็พอ ตัวหนังได้ทีมนักแสดงยอดฝีมือ และบทที่น่าติดตาม ผลออกมาเลยเป็นหนังดีๆ อีกเรื่องน่ะครับ แต่คงหาดูยากครับ Quiz Show เพราะหนังมันทำเงินไม่มาก ทำไปแค่ $24 ล้าน ในขณะที่ทุนสร้างปาเข้าไป $31 ล้าน – ก็ได้แต่หวังว่าจะมีสตรีมมิ่งสักเจ้าเอามาให้ทุกท่านได้ชมกัน ยังไงก็ตามนะครับ ขอฝากไว้นิดนึง อันนี้ความชอบส่วนตัวนะครับ ฉบับพากย์ไทยต้นฉบับดั้งเดิมครับ สมัย VDO เป็นการพากย์ที่ทรงพลังอีกครั้งของทีมพากย์ CVD ไม่ว่าจะคุณจักรกฤษณ์ คุณบัญชา คุณปิยะ รวมพลังกันขับให้ตัวละครทั้งสามเด่นขึ้นแบบสุดๆ ไม่มีใครข่มใครลงครับ ต่างคนต่างเสริมให้กันและกัน เป็นหนังที่พากย์ได้สุดยอดมากๆ อีกเรื่องครับ
ฉันเติบโตมาในช่วงที่เกิดเรื่องอื้อฉาวของ Charles Van Doren และฉันจำได้ว่าใบหน้าของเขาอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์และแม่ของฉันก็ร้องไห้ เมื่อฉันถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เธอบอกว่า “เขาโกหก” เขาโกหกหลายเรื่องมากจริงๆ และเป็นส่วนหนึ่งของรายการเกมโชว์อื้อฉาวในยุค 50 ซึ่งรายการเกมโชว์ได้นำมาดัดแปลงได้อย่างงดงาม Robert Redford ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการสร้างบรรยากาศขึ้นมาใหม่ได้อย่างละเอียดสมบูรณ์แบบ รวมถึงเรื่องราวที่น่าสนใจของรายการเรียลลิตี้ทีวีในยุค 50 อย่างรายการเกมโชว์ที่ดำเนินไปอย่างผิดพลาด
Paul Scofield เล่นเป็น Van Doren Sr. ได้อย่างน่าทึ่งมาก และ Ralph Fiennes ก็เล่นเป็น Charles Van Doren ได้ยอดเยี่ยม หล่อเหลา และมีเสน่ห์ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่ว่าจะเป็น John Turturro, David Paymer, Hank Azaria และ Rob Morrow Van Doren เป็นผู้เข้าแข่งขันในฝันของเขา เขาหน้าตาดี มีการศึกษา มีน้ำเสียงในการพูดที่ไพเราะ และสร้างความหลงใหลให้กับคนทั้งประเทศด้วยสติปัญญาของเขา น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ความจริงเลย เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น แต่ในขณะที่แวนโดเรนโต้เถียงกับพ่อของเขาอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นว่า “นั่นเป็นของฉันเอง” แน่ล่ะ และเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเพราะเรื่องนี้
คงจะน่าแปลกใจไม่น้อยหาก Quiz Show ภาพยนตร์ของ Robert Redford เกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวในรายการเกมโชว์ในช่วงทศวรรษ 1950 จะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน นักแสดงนำแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก โดย Van Doren ของ Fiennes มักจะไม่หวั่นไหวและเย็นชา แต่สามารถแสดงจุดอ่อนออกมาได้ในบางครั้ง และ Stempel ของ Turturro ก็เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมที่เกือบจะเหมือนโรคจิตและคลั่งไคล้ สิ่งที่ทำให้ทั้งสองนักแสดงสามารถก้าวข้ามความยิ่งใหญ่ได้ก็คือความสามารถในการทำให้ผู้ชมทั้งชื่นชมและเกลียดชังตัวละครของพวกเขาด้วยสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การมองหรือภาษากาย ตัวละครของ Morrow ที่ทำหน้าที่เป็น “ผู้แจ้งเบาะแส” นั้นมีคุณธรรม เป็นคนนอกที่มองสถานการณ์อย่างเป็นกลางและเป็นทนายความของซาตาน
การกำกับของ Redford นั้นเข้มข้นและมีจังหวะที่ดี ไม่มีช่วงที่หนังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และเขาไม่จำเป็นต้องตัดต่ออย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้โมเมนตัมของหนัง บางทีเนื้อหาอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ฉันพบว่ายกเว้นเรื่อง Ordinary People แล้ว ภาพยนตร์ที่ฉันดูภายใต้การกำกับของ Redford ก็มีคุณภาพดีในแง่เทคนิค แต่ค่อนข้างจะเศร้าหมอง ใน Quiz Show เขาทำในสิ่งที่ควรทำเมื่อเล่าเรื่องจริง โดยไม่ใช้วิธีสั่งสอน แต่กำกับด้วยความเป็นกลางที่ให้ผู้ชมสรุปเอาเอง
7.1