One Missed Call (2008) สายไม่รับ ดับสยอง
เรื่องย่อ
One Missed Call หลังจากการตายของเชลลีย์เพื่อนของพวกเขาลีแอนน์โคลก็ได้รับข้อความเสียงจากอนาคตของวันที่และเวลาที่เธอจะตาย ในวันที่กำหนดลีแอนน์เห็นสิ่งแปลก ๆ และในชั่วโมงที่มีข้อมูลชัดเจนลีแอนน์ถูกโจมตีโดยกองกำลังเหนือธรรมชาติบนสะพานลอยเหนือสถานีรถไฟขณะคุยกับเบธ เรย์มอนด์เพื่อนของเธอ เบธ พบกับไบรอันแฟนหนุ่มของลีแอนน์ซึ่งรับโทรศัพท์และเป็นพยานถึงการตายของเขาที่ถนน เมื่อเทย์เลอร์แอนโธนีเพื่อนร่วมห้องของเธอได้รับโทรศัพท์เบ็ธ ก็มาตีกับเดชแจ็คแอนดรูส์ซึ่งบอกเธอว่าพี่สาวของเขาเป็นเหยื่อรายแรกของโทรศัพท์ พวกเขาตัดสินใจที่จะตรวจสอบความสัมพันธ์ของน้องสาวของแจ็คและค้นหาชื่อของมารีเลย์ตันซึ่งเห็นได้ชัดว่าทำร้ายลูกสาวของเธอ แจ็คและเบ็ธ วิ่งแข่งกับเวลาพยายามช่วยเบ็ธ จากชะตากรรมของเธอ
ผู้กำกับ
- Eric Valette
บริษัท ค่ายหนัง
- Alcon Entertainment
นักแสดง
- Shannyn Sossamon
- Edward Burns
- Ana Claudia Talancón
- Ray Wise
- Azura Skye
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
แนวหนัง One Missed Call หลอน+สยอง+ลุ้นระทึก+ตุ้งแช่ (ครบรสครับ) หนึ่งในหนังผีญี่ปุ่นที่อยู่เป็นตำนานเช่นเดียวกับ Juon หรือ Ringu ที่สาวกหนังผีพลาดไป ถือว่าพลาดมากๆครับเรื่องนี้ เป็นคุณจะทำอย่างไร หากจู่ๆ คุณเกิดได้รับข้อความทางโทรศัพท์ที่ถูกส่งมาจากเครื่องคุณเอง โดยในข้อความนั้นระบุว่าถูกส่งมาจากในอีก 3 วันข้างหน้า และภายในข้อความเป็นรูปแบบการตายของคุณที่กำลังจะเกิดขึ้น ? และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นกับสาวน้อย ยูมิ
เมื่อเพื่อนของเธอเริ่มทยอยตายไปทีละคนๆหลังจากที่พวกเขาได้รับข้อความแปลกๆ และในที่สุดรายต่อไปก็คือ เธอ บอกไว้ก่อนนะครับว่าหนังเรื่องนี้มี 2 เวอร์ชั่นครับ เวอร์ชั่นของแท้ต้นตำรับเป็นของญี่ปุ่นหลังจากนั้น ฝรั่งจึงหยิบไปรีเมคใหม่ครับ และผมได้มีโอกาสดูทั้งสองเวอร์ชั่นแล้วครับ และบอกเลย เวอร์ชั่นฝรั่งสู้เวอร์ชั่นแดนปลาดิบไม่ได้เลยครับ เพราะนอกจากมันจะเป็นต้นตำรับแล้ว ความดิบ บรรยากาศหลอนๆ
แน่นอนว่า หนังทางเอเชียสามารถทำได้ดีกว่าแน่นอนครับ รวมถึงรูปแบบการเล่าเรื่องเฮียญี่ปุ่นก็ทำได้ดีกว่า และก็ขอบอกแบบที่ทุกครั้งผมจะบอก หากหนังเรื่องนั้นมันหลอนสุดๆจริงๆ นั่นคือ “ควรดู เป็นอย่างยิ่งครับ” ส่วนตัวหนัง ลองหาในอากู่ก่อนนะครับ ผมลองไปหาดูแล้ว ยังพอมีอยู่ครับ แต่รีบดูหน่อยก็ดีนะครับ เพราะมันเริ่มกลายเป็นหนังหาดูยากเข้าไปทุกวันแล้วครับ แต่ถ้าหาไม่เจอจริงๆ inbox มาหาผมได้เลยครับ เดี่ยวส่งลิ้งให้ครับ อันนี้เรื่องย่อแบบยาวๆนะครับ เอาไว้ประกอบเพิ่มความเข้าใจเนื้อเรื่องครับ
จิบชา รับลม กับมิสเตอร์ อเมริกัน
โฉ่งฉาง เต็มไปด้วยเอ็ฟเฟ็ค CG และเรื่องราวสับสน นี่คือสิ่งที่หนังรีเมคของ One Miss Call เป็นครับ ต้องบอกว่า มันเป็นหนึ่งในความล้มเหลวของความพยายามนำบรรดาหนังสยองขวัญจากเอเชียทั้งหลายไปรีเมคนั่นแหละครับ ต้องบอกว่า One Missed Call เป็นเรื่องท้ายแล้วในบรรดาหนังสยองรีเมคทั้งหลายอย่าง The Ring , Ju-on หรือกระทั่ง Shutter ที่ยิ่งทำการสาละวันเตี้ยลงไปทุกทีจนในที่สุดเทรนรีเมคหนัง Asian Horror ก็จบลงไปอย่างที่เรารู่กัน
เอาจริงแล้วต้องบอกว่า สิ่งที่ทำให้หนังรีเมคเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จนั่นก็คือ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมความเชื่อที่ทั้งสองฟากโลกแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง เอาแค่วัฒนธรรมผีในเอเชียกับอเมริกาก็ต่างกันคนล่ะโลกจนแทบไม่สามารถประสานรวมกันได้ แน่ล่ะว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้หนังรีเมคส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จด้วยเหตุผลว่า ผู้กำกับหรือตัวสตูไม่เข้าใจคอนเซ็ปทางวิญญาณของหนังเหล่านี้นั่นเอง ผลคือ หนังไม่สามารถสื่อได้ถึงความกลัว แต่ที่แย่คือผลักคนดูออกไป นั่นคือสาเหตุที่หนังล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เอาจริงแล้ว One Miss Call ตัวรีเมคนี้ก็เป็นหนังพอจะได้เล่นเพลิน ๆ ดีเพราะ หลายฉากก็ทำออกมาได้อลังการกว่าต้นฉบับของมันไม่ใช่น้อยเพียงแต่ว่าความอลังการของมันทำลายภาพของความสยองแบบหลอนลึกที่ต้นฉบับทำไว้หมดสิ้น ความดีของ One Missed Call คือการบอกเล่าทฤษฏีผีที่น่าสนใจว่า ผีคือ พลังงานไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่สามารถส่งตัวผ่านไปยังเครื่องมืออิเล็คทรอนิคได้นั่นหมายถึงการที่ผีสามารถควบคุมมือถือ
คอมพิวเตอร์ได้นั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงใด ๆ ยิ่งหนังมันมาพร้อมกับ Kairo นั้นได้สะท้อนภาพของภัยที่เกิดจากโลกสมัยใหม่ออกมาได้อย่างน่าสนใจว่า บางครั้งเทคโนโลยีก็มีภัยร้ายซ่อนอยู่ การเปรียบเปรยนี่น่าสนใจหากเราจะมองมันในฐานะหนังผีรวมสมัยที่มี The Ring เป็นหัวหอกในการทำให้เราได้เห็นหนังผีกับเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงและไปด้วยกันได้เช่นนี้ (The Ring พัฒนาตัวเองจากวีดีโอไปเป้นคลิปสยอง Shutter เป็นภาพถ่าย Kairo คืออินเตอร์เน็ต) อาจจะบอกได้ว่า เทคโนโลยีเปลี่ยนไปแค่ไหน วิญญาณก็สามารถคงอยู่ได้เสมอ ตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่ วิญญาณก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบตามมันไปเสมอ (ล่าสุดผีเล่นถึง Facebook เรียบร้อย พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ)
น่าเสียดายประเด็นในหนังเดิม ๆ ที่ถูกโยนทิ้งลงตะกร้าล้างน้ำไปหมดสิ้นทั้งภัยจากความรุนแรงในห้องเรียน ความรุนแรงในสังคมญี่ปุ่นที่มาพร้อมเทคโนโลยีอื่น ๆ หนังตัดทิ้งและพยายามใส่ประเด็นหน้ารำคาญและแสนน่าเบื่ออย่าง การทำลายในครอบครัว การหักมุมแบบที่เราต้องคิดว่า ถ้าหักแบบนี้เล่ามาตรง ๆ ก็ได้นะ คือ หนังพยายามจะมีอะไรแต่ไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ มันจึงเข้าขั้นหน้าผิดหวังทั้ง ๆ ที่เราได้แต่หวังจะให้มันดีนะ สุดท้ายมันก็ลงอีหรอบเดิมของหนังรีเมคของฮอลลีวู้ดนั่นล่ะที่จุดจบของมันก็ไม่ต่างกับ Shutter , Echo หรือกระทั่งภาคหลัง ๆ ของ Ju-On ก็ต้องขอไว้อาลัยให้กับหนังผีสยองขวัญเอเชียเรื่องนี้ไปพร้อมกัน เพราะ บางครั้งก็มีแต่เอเชียเท่านั้นที่เข้าใจอะไรแบบนี้
ป.ล. หลังการเสียชีวิตโดยกระทันหันของเพื่อนสาวในแก็งค์ทำให้เบธรู้สึกสงสัยในการตายของเพื่อนและได้รู้ว่า ก่อนตายนั้นพวกเธอจะได้รับข้อความปริศนาจากตัวเองในอีกหลายวันข้างหน้าพร้อมกับเสียงกรี้ดก่อนตาย พร้อม ๆ กับที่บรรดาเพื่อน ๆ ในกลุ่มของเธอค่อย ๆ ตายไปทีล่ะคนสองคน และทุกคนได้รับข้อความเสียงจากตัวเองกันหมด แน่ล่ะว่า แม้แต่เบธเองก็ด้วยที่ได้รับข้อความนี้นั่นเองที่ทำให้เธอต้องร่วมมือกับนักสืบหนุ่มนามว่า แจ็ค ที่น้องสาวของเขาก็ตายเช่นกัน ทั้งสองต้องออกตามหาว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในไฟไหม้ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีที่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นในความสยองขวัญครั้งนี้ก็ได้
ป.ล. หนังได้ Ray Wise One Missed Call เจ้าพ่อนักสยองขวัญเกรดบีมาร่วมแสดงด้วย ตอนนั่งดูแอบคิดว่า นี่เจอเฮียอีกแล้วเหรอครับเนี่ย !!
ป.ล. ใครอยากให้ผมรีวิวภาคต้นฉบับบ้างยกมือขึ้นจะได้หยิบมาเขียนอีกรอบ
นี่เป็นเพียงหนึ่งในหนังที่สร้างจากหนังดีๆ (ต้นฉบับนั้นชั่วร้ายมาก) ซึ่งฮอลลีวูดมองว่าเป็นโอกาสในการสร้างใหม่และทำเงินก้อนโต โปรดอย่าช่วยทำให้สำเร็จ! เวอร์ชั่นญี่ปุ่นนั้นสร้างขึ้นจากแนวคิดที่ว่า “สิ่งที่คุณมองไม่เห็นนั้นน่ากลัวกว่าสิ่งที่คุณมองเห็น!” และดำเนินเรื่องออกมาเป็นหนังสยองขวัญที่ดูดีทีเดียว แต่แล้วก็มีหนังอเมริกันเข้ามา (ไม่ถือสา ฉันเป็นคนหนึ่ง) ซึ่งสร้างหนังขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า “เราสามารถใส่เงินลงไปเท่าไรในการระเบิด ทำลายกระจก One Missed Call ทำลายรถยนต์… โดยที่เราไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อจ้างนักแสดงที่ดี” และแล้วคุณก็จะได้หนังรีเมคที่ห่วยแตกนี้ มาทำเวอร์ชั่นญี่ปุ่นกันเถอะ แล้วยึดตามนั้น นักแสดงอย่างน้อยก็ดูเหมือนวัยรุ่น ในเวอร์ชั่นอเมริกันทุกคนดูเหมือนอายุเกินสามสิบ ฉันหมายถึงว่า เราโง่ขนาดไหนกันเนี่ย (หรือว่าพวกเขาสอบตกกี่ปีติดต่อกันแล้ว)
5.6