ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix
บาคาร่า ออนไลน์
สล็อตเว็บตรง

NO TIME TO DIE (2021) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 26 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

1 คะแนน

ตัวอย่าง

NO TIME TO DIE (2021) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 26 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

NO TIME TO DIE (2021) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 26 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

เรื่องย่อ

บอร์นออกจากราชการและมีความสุขกับชีวิตที่เงียบสงบในจาไมก้า ความสงบสุขของเขาอยู่ได้ไม่นานเมื่อเฟลิกซ์ ไลเตอร์ เพื่อนเก่าจากซีไอเอมาขอความช่วยเหลือ ภารกิจในการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวกลับกลายเป็นว่าทรยศหักหลังเกินคาด นำบอนด์ไปสู่เส้นทางของวายร้ายลึกลับที่ติดอาวุธด้วยเทคโนโลยีอันตรายใหม่

ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง NO TIME TO DIE (2021) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 26 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ หนังประเภท Action บู๊ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS

ผู้กำกับ

แครี โจจิ ฟูคูนากะ

บริษัทผู้สร้าง

  • เมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์
  • อีออนโปรดักชันส์

ผู้จัดจำหน่าย

  • ยูไนเต็ดอาร์ตติสต์รีลีดซิง (อเมริกาเหนือ)
  • ยูนิเวอร์แซลพิกเจอส์ (นานาชาติ)

นักแสดง

  • แดเนียล เครก
  • รามี แมลิก
  • เลอา แซดู
  • ลาชานา ลินช์
  • เบน วิชอว์
  • เนโอมี แฮร์ริส
  • เจฟฟรีย์ ไรต์
  • คริสทอฟ วัลซ์
  • เรล์ฟ ไฟนส์

โปสเตอร์หนัง

NO TIME TO DIE (2021) NO TIME TO DIE (2021) NO TIME TO DIE (2021)

รีวิว no time to die พากย์ไทย

สมาชิกหมายเลข 6542586

ผิดหวังกับหนังเรื่อง 007 No Time To Die ครับ จะปิดตำนานยุคของเคร็กแต่เล่นบทดราม่าซะเยอะเกิน

ก่อนดูคาดหวังว่าหนังภาคนี้จะสนุกสมกับการรอคอยนานกว่า 5 ปีหลังภาค Spectre แล้วก็เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดทำให้หนังเรื่องนี้เลื่อนฉายในไทยไปหลายรอบมาก พอมาวันนี้ก็ได้เวลาที่หนังเข้าฉายสักที ผมเป็นแฟนหนังเจมส์ บอนด์ 007 ครับ ถึงจะไม่ได้ชอบทุกภาคแต่ก็ตามดูจนครบทั้ง 24 ภาคที่ผ่านมา ตัวผมเองชอบเจมส์ บอนด์สมัย Sean Connery มากที่สุดครับเพราะ ได้อ่านฉบับนวนิยายมาก่อนและผมว่าบุคคลิกของ Sean Connery ตรงกับบทบอนด์ในฉบับนวนิยายมากกว่านักแสดงบอนด์คนอื่น

ถ้านับเฉพาะภาคที่ Daniel Craig แสดง ผมชอบภาค Skyfall มากที่สุด เนื่องด้วยองค์ประกอบความเป็นหนังบอนด์ในภาคนี้มันครบถ้วน มีทั้งการนำขนบธรรมเนียมความเป็นหนังบอนด์ยุคเก่าๆใส่มาผสมผสานกับความเป็นหนังบอนด์ยุคใหม่สไตล์ Daniel Craig ที่เน้นความสมจริงด้านเนื้อหา มีความเข้มข้นของบทหนัง และมีฉากแอ็คชั่นที่ดุดันรวมถึงหนังภาคนี้ผมว่าการลำดับภาพ การถ่ายภาพมันสวยงามมากทุก shot ทุก scenes ทุก frame เลยครับ บทตัวร้ายก็น่าจดจำมาก ผมเลยชอบภาคนี้มากที่สุดในยุคของ Daniel Craig

มาภาคนี้ เป็นภาคที่ 5 ของเขาและปิดตำนานลงสักทีแต่หลังดูจบผมผิดหวังมากครับ คือ ตัวหนังมันดูได้จนจบไม่มีจุดที่ทำให้เบื่อแหละ แต่บทหนังภาคนี้มันดูเละเทะเกินไป เน้นดราม่ามากไป ไม่ว่าจะบทความรักออกน้ำเน่าๆของพระเอกและนางเอกที่ดูไม่ค่อย make sense บทของตัวร้ายที่เปิดตัวมาซะน่ากลัวแต่เอาจริงแล้วตัวหนังไม่ได้ใช้ประโยชน์ของตัวร้ายเท่าที่ควร ผมว่าตัวร้ายภาคนี้ไม่มีเสน่ห์เอาซะเลย แถมเหตุผลการกระทำของตัวร้ายก็อ่อนไป เหมือนใส่มาแค่สร้างสีสันของเรื่อง แอบเสียดายที่จ้างระดับนักแสดงออสการ์อย่าง Rami Malek มาแสดงแต่กลับใช้ประโยชน์ของตัวนักแสดงไม่คุ้มค่าเหมือนภาคก่อนที่ได้ระดับ Christoph Waltz มาแสดงแต่เขียนบทให้อ่อนเกินไป

หนังภาคนี้ผมว่ามีกลิ่นอายความเป็นหนังบอนด์ภาค On Her Majesty’s Secret Service ด้วยบรรยากาศของหนัง ธีมเพลงประกอบที่นำเพลงจากภาคนั้นมาใส่ในภาคนี้ บทดราม่า แต่เหมือนมันจะดราม่าเกินไป และฉากแอ็คชั่นไม่สุดเท่าที่ควร หนังภาคนี้จึงไม่กลมกล่อมสำหรับผม ด้วยความคาดหวังไว้สูงเลยผิดหวังมากครับ

การแสดงของ Daniel Craig ผมว่าเขาก็แสดงในบทนี้ดีแหละ เนื่องด้วยระยะเวลาที่รับบทนี้มานานกว่า 15 ปี ผ่านหนังมา 5 ภาคก็คงอินกับบทนี้พอสมควรแต่ในภาคปิดนี้ดูใบหน้าแกจะเหี่ยวย่นมากสุดเลย ร่างกายดูไม่ฟิตปั๋งเท่าภาคก่อนๆเนื่องด้วยอายุอะเนอะ ความเท่ห์ก็ลดลง ดูได้จากฉากแอ็คชั่นที่เห็นได้ชัดว่าหลายฉากใช้แสตนอินมาแสดงแทนผิดกับภาคก่อนๆที่เน้นแสดงเองจนบาดเจ็บจริงๆระหว่างการถ่ายทำ

ภาคนี้ผมว่าบทหนังเอียงความสำคัญไปหาทางนางเอกเยอะกว่าพระเอกนะ ไม่รู้คนอื่นคิดแบบผมไหม คือ ปกติหนังบอนด์จะไม่เน้นเทบทให้ความสำคัญกับนางเอกมากมายขนาดนี้แต่เนื้อเรื่องภาคนี้มีบทดราม่าของนางเอกเยอะมากไปหน่อย คือ นางเอกภาคนี้มีซีนดราม่าเยอะ ร้องไห้แทบทุกฉาก ดูแล้วคืออะไรเนี่ย นี่มันหนังดราม่า โรแมนติกเหรอ?

ฉากแอ็คชั่นผมชอบแค่ฉากต้นเรื่องเป็น sequence การไล่ล่าที่ผมว่าดุเดือดสุดในเรื่องแล้ว แล้วก็ซีนในบาร์ที่คิวบาที่บอนด์ต้องแท็คทีมสาวบอนด์คนใหม่บู๊กับพวกองค์กร Spectre ฉากนั้นก็ทำออกมาใช้ได้ แต่ออกนั้นฉากแอ็คชั่นดูจืดๆ เนื่องด้วยความที่พระเอกอายุมากแล้ว ฉากแอ็คชั่นดิบๆแบบภาคก่อนๆที่เน้นสู้ระยะประชิดก็น้อยลงไปเยอะ เน้นการยิงปืนแทนแต่ก็ทำออกมาได้ไม่ดุเดือด ยิ่งฉากท้ายเรื่อง ผมผิดหวังที่สุด ไม่มันเอาซะเลย แถม boss fight สั้นเกินไป แทบไม่ได้มาสู้กันเลย แปปๆตัวร้ายตายล่ะ แถมบทแย่มาก คือ เอานักแสดงดีกรีออสการ์มาแสดงไม่คุ้มค่าเลยแทบไม่ได้ปล่อยของ ถ้าเทียบฉากแอ็คชั่นภาคนี้กับภาค Casino Royale ที่ผมถือว่าเป็นภาคที่ฉากแอ็คชั่นดีสุดของ Craig แล้ว ความสนุก ความตื่นเต้นต่างกันเยอะมากครับ

สรุปนะครับ ภาคนี้ผมผิดหวังสุดในภาคของ Daniel Craig ทั้งหมดเลย ผมยังชอบภาค Spectre กับ Quantum Of Solace มากกว่าภาคนี้ เพราะ ฉากจบก็ทำดีกว่าไม่หนักไปทางดราม่ามากเท่าภาคนี้

ให้คะแนนไปที่ 5/10 ครับ

ถ้าให้เรียงความชอบจากมากไปน้อยสุดได้ดังนี้

Skyfall > Casino Royale > Spectre > Quantum Of Solace > No Time To Die

จดอ. JUST ดู IT.

#รีบรีวิว NO TIME TO DIE บทอำลาอันสง่างาม ศึกที่ยิ่งใหญ่สุดของบอนด์

หลังเฝ้ารอกันมานานเกือบ 2 ปี ถึงเวลาพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของปฏิบัติการณ์ระห่ำโลกครั้งสุดท้ายของ Daniel Craig ชายผู้สวมบทบาท James Bond ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 15 ปี

5 ปีหลังจากลุยภารกิจเดือด เปิดโปงองค์กร SPECTRE บอนด์โบกมือลา MI6 ไปใช้ชีวิตสงบสุขอย่า
งที่เคยวาดฝันไว้มานานกับ Madeleine Swann

แต่แล้ว เขาก็ต้องหวนคืนสู่โลกจารกรรมอีกครั้ง เมื่อ Felix Leiter ได้ชวนเขาทำภารกิจลับ ช่วยนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป โดยมหาวายร้ายอัจฉริยะ Safin พร้อมปล่อยแผนร้ายทลายโลก โดยมีมนุษยชาติเป็นเป้าหมายหลัก

NO TIME TO DIE ทำหน้าที่เป็นภาพยนตร์ปิดม่านบทบาท James Bond ของ Daniel Craig ได้อย่าง “สมภาคภูมิ” นอกจากจะเป็นบทสรุปเรื่องราวของหนังทั้ง 5 ภาคแล้ว มันยังเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ช่วยเติมเต็มให้ 4 เรื่องก่อนหน้ามีความเมกเซนส์ และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ให้กลิ่นอายแบบหนังบอนด์ยุคคลาสสิกที่พาผู้ชมไปสนุกกับพล็อตเรื่องเวอร์วัง ทำให้เราแอบคิดถึงหนังบอนด์ในดวงใจอย่าง THE SPY WHO LOVED ME และมีความดิบโหดคล้ายหนัง 2 เรื่องของ Timothy Dalton รวมถึงความโรแมนติกแบบ ON HER MAJESTY’S SECRET SERVICE แต่ก็ไม่ลืมที่จะผสมผสานวิธีการเล่าแบบหนังบอนด์ยุคใหม่ พาหวนรำลึกถึงวีรกรรมยุค Craig ที่แฟน ๆ ต้องหลั่งน้ำตากันสักครั้งสองครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้กำกับ Cary Joji Fukunaga ผู้มีผลงานสุดแหวกจนแอบเพี้ยนอย่าง TRUE DETECTIVE และ MANIAC ก็ได้หว่านลายเซ็นไว้ในบทภาพยนตร์ และสไตล์การกำกับอย่างชัดเจน มีความกล้าที่จะแปลกแตกแถว ทำผู้ชมเหวอครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องตกใจว่าทำไมหนังถึงยาวกว่า 2 ชั่วโมง 43 นาที เพราะมันมีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก ๆ! แม้จะมีล้น ๆ เกิน ๆ ในช่วงองค์ที่ 2 ไปบ้าง แต่ต้องนับถือในการวางพล็อตให้น่าติดตามจนลืมหายใจตลอดทั้งเรื่อง ใครดูแล้ว รู้นะว่าทำไมต้อง #NOTIMEFORSPOILERS

NO TIME TO DIE ยังฉีกขนบเดิมที่ต้องมีฉากเปิดเรื่องสุดเร้าใจ (Pre-title sequence) ให้กลายเป็นหนังระทึกขวัญ นี่แหละคือลายเซ็นของ CARY ที่เราต้องการเห็นในเรื่องนี้ มันเซ็ตโทนให้กับหนังช่วงองค์แรกไปโดยปริยาย แถมยังใช้กล้อง IMAX ช่วยขยายสเกลความหวั่นผวาชวนขนลุกเข้าไปอีก ซึ่งก็ต้องชื่นชมการถ่ายภาพของ Linus Sandgren ผู้กำกับภาพจาก LA LA LAND ที่ทำออกมาสูสีกับ Roger Deakins ใน SKYFALL… ฉากดราม่าก็ดีเยี่ยม ฉากแอ็กชันก็ยิ่งอลัง จัดเต็มกว่า 40 นาที

ตอนจบของ SPECTRE บอนด์ได้เลือกทิ้งชีวิตพยัคฆ์ร้าย ขับ ASTON MARTIN DB5 หอบรักไปสร้างชีวิตใหม่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง NO TIME TO DIE จึงเลือกที่จะพาคนดูไปสำรวจชีวิตหลังจากนั้น สู่การเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ (เกือบจะ) เรียบง่าย ห่างไกลความวุ่นวาย สานฝันแฟน ๆ ให้ได้เห็นบอนด์สนุกกับชีวิต ช่างจ้อเล่นมุขเก่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากอึมครึมเครียดติดต่อกันมาหลายภาค ขอบคุณบทภาพยนตร์ของ Phoebe Waller Bridge ที่ทำให้เขามีชีวิตชีวา และ “ปากจัด” ได้ขนาดนี้

ที่ต้องพูดถึงคือเคมีคู่กัดกับสายลับ 00 คนใหม่เข้ามาแทนที่อย่าง NOMI รับบทโดย Lashana Lynch ที่อาจไม่ได้มีให้เราเห็นมาก แต่ทุกครั้งที่อยู่บนจอก็สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เสมอ และอีกหนึ่งสีสันที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ Paloma ตัวละครใหม่ที่รับบทโดย Ana De Armas หญิงสาวที่ออกมาสร้างโมเมนต์เพียงชั่วครู่ แต่ขโมยใจคนดูไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น ไม่เพียงแค่เธอจะได้โชว์ฝีมือการบู๊เข้าขั้นมืออาชีพเคียงคู่กับพยัคฆ์ร้ายยอดฝีมือ แต่เธอยังมาพร้อมอารมณ์ขัน และความโก๊ะ ที่ทำให้คนดูต้องอมยิ้มไปตาม ๆ กัน (น่าร้ากกกก ขอภาคแยกด้วยได้โปรด!)

เหมือนผู้สร้างจะรู้ดีว่าบัคใหญ่ของ SPECTRE คือปมความสัมพันธ์ระหว่าง Bond และ Madeleine Swann ที่ทำออกมาได้ดูผิวเผิน ห่างชั้นกับ Vesper Lynd ใน CASINO ROYALE หลายขุม ในเรื่องนี้ เขาก็เลยเลือกให้เธอเป็นศูนย์กลางของเรื่องราว เพิ่มปมให้แข็งแรงมากขึ้น เป็นตัวช่วยให้ตัวละครเจมส์ บอนด์มีชีวิตจิตใจ และอ่อนโยนขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เราก็หวังว่าจะทำได้เข้มข้นอีกหน่อย เพื่อที่ตอนท้ายจะอิมแพ็กมากกว่านี้

ทางด้านมหาวายร้ายหลักอย่าง Lucifer Safin ที่เปิดตัวมาอย่างน่าสะพรึง จนเราคาดหวังว่าจะสมน้ำสมเนื้อกับบอนด์ อีกทั้งเป้าหมายยังดูยิ่งใหญ่ และอาวุธร้ายก็คอนเซปต์ดี แต่ตัวหนังกลับให้เวลากับตัวละครนี้ไม่มากพอ เอาเวลาไปอธิบายหลาย ๆ อย่างที่ไม่จำเป็น จนทำให้ตัวละครดูไม่เกรงขามเท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้น การแสดงของ Rami Malek ก็ทำให้เราเสียวสันหลังอยู่บ้าง

อีกจุดที่เอาใจแฟนเดนตายเป็นพิเศษก็คือเหล่าอุปกรณ์ gadget ที่ยัดอัดแน่นมาแบบละลานตา เอามาเล่นเป็นมุกได้แบบไม่ฝืน แต่บางชิ้นก็ให้เวลามันสั้นไปหน่อยจนแอบเสียดาย เชิดหน้าชูตาได้หน่อยคือเหล่ารถคู่ใจที่จัดหนักจัดเต็ม โดยเฉพาะเจ้า DB5 ที่ได้ออกลุยแบบจริงจังสักที หลังจากจอดนิ่งขับเท่มานาน เชื่อว่าจะทำให้แฟนหนังรุ่นใหม่ตกหลุมรักมันไม่น้อย เพราะมันเป็นไฮไลต์ช่วงต้นเรื่องเลย

น่าเสียดายที่ด้านดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ผู้อยู่เบื้องหลังหนังฟอร์มยักษ์มากมายไม่ว่าจะเป็น The Dark Knight, Interstellar และ Blade Runner 2049 ก็ให้ผลลัพธ์ได้เพียงแค่ “ดีตามมาตรฐาน” ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่อะไรมาก และขณะเดียวกันก็กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังไล่ล่าอยู่ในเมือง Gotham แต่ที่ต้องยอมคือการผสมเพลงธีมของภาคที่ขับร้องโดย Billie Eilish เข้ากับดนตรีประกอบให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ ซึ่งก็เป็นสเน่ห์ของหนังบอนด์ที่ขาดไปช่วงของ Thomas Newman และก็มีการคารวะ John Barry อย่างโต้ง ๆ ซึ่งส่วนตัวมองว่า “ก็ดี” แต่ขี้โกงไปหน่อย

ถึงเวลาออกปฏิบัติการระห่ำโลกครั้งสุดท้าย สู่การปิดม่านตัวละคร James Bond ฉบับ Daniel Craig ที่สง่างามที่สุดที่เคยมีมา

the scholar

[รีวิวล่วงหน้าจากตปท.] No Time To Die: บทสรุปที่ทั้งยิ่งใหญ่และกินใจของ James Bond จักรวาล Daniel Craig

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า No Time to Die เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่คอหนังฝรั่งทั้งหลายกำลังรอรับชมในโรงภาพยนตร์อย่างใจจดจ่อหลังเปิดเมือง เพราะหนังเรื่องนี้เป็นผลงานปิดฉากการเป็น James Bond ของ Daniel Craig ซึ่งเคยมีผลงานหนัง 007 ระดับขึ้นหิ้งมาแล้วอย่าง Casino Royale และ Skyfall แถมยังผ่านการเลื่อนฉายมาแล้วถึง 3 ครั้ง จากวิกฤติโรคระบาด Covid- 19 อีกต่างหาก

เนื่องจากผมอยู่ที่ต่างประเทศ ผมเลยมีโอกาสรับชม No Time to Die ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่ตัวหนังจะเข้าฉายโรงในไทยในวันที่ 7 ตุลาคม ก่อนที่จะไปดู ผมได้ตั้งความหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้สูง เพราะภาค Spectre ทำออกมาได้น่าผิดหวังมาก ครั้นพอได้ไปดู No Time to Die จริงๆ ต้องบอกว่าหนังทำออกมาได้ยอดเยี่ยม และปิดฉากจักรวาล 007 ฉบับ Daniel Craig ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและกินใจ

ความเห็นที่ผมทีต่อ No Time to Die มีดังนี้ครับ

*คำเตือน* เนื้อหาส่วนที่เป็น Spoiler จะถูกซ่อนเอาไว้ในส่วน Spoil ครับ กรุณาอย่าคลิกหากไม่อยากโดน Spoil

0. การเตรียมตัวก่อนไปดู

เนื้อเรื่องของ No Time To Die จะมีความเกี่ยวพันภาคอื่นๆ ในจักรวาล Daniel Craig ด้วยครับ ควรเตรียมตัวก่อนไปดูไว้ให้ดี
– Spectre ต้องดู ไม่งั้นจะดู No Time to Die ไม่รู้เรื่องเลย
– Caisno Royale ควรดูอย่างยิ่ง ไม่งั้นอาจจะงงตอนต้นเรื่องได้
– Quantum of Solace ควรดู เพราะจะทำให้เข้าใจถึงสภาพจิตใจและความเจ็บปวดของ Bond ช่วงต้นเรื่องหรือระหว่างเรื่อง
– ที่จริงแล้วเนื้อหาของ Skyfall ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับ No Time to Die เท่าไรนัก แต่ถ้าไม่ได้ดู Skyfall มาก่อน ก็จะดู Spectre ไม่รู้เรื่อง

1. ฉาก Action
ฉากบู๊ของ No Time to Die ทำออกมาได้สนุกและลุ้นระทึก มีทั้งฉากบู๊แบบดิบๆ โชว์ความผาดโผนในแบบฉบับ Daniel Craig แต่ในขณะเดียวกันก็มีฉากลุยด้วยรถติดอาวุธเต็มพิกัดสไตล์ Pierce Brosnan และฉากลุยฐานทัพใหญ่ของศัตรูในสไตล์ 007 รุ่นเก่าด้วย ใครก็ตามที่ดูภาค Spectre แล้วผิดหวังกับฉากขับรถไล่ล่าแบบกั๊กๆ และฐานทัพอันสุดบอบบางของ Blofeld (ที่แข็งแกร่งในมาตรฐาน Death Star) รับรองได้เลยว่า No Time to Die ทำออกได้ดีหายห่วงแน่ครับ

2. ฉาก Drama
บท Drama ของ No Time to Die ทำออกมาได้น่าประทับใจ ชวนให้ผูกพัน ผมเองดูแล้วก็รู้สึกคล้อยตามได้ว่า James Bond ฉบับ Daniel Craig นั้น พอรักใครแล้วก็จะรักจริง ฉากโรแมนติกในเรื่องแม้จะไม่ได้มีมาก แต่ก็รู้สึกได้เลยถึงความหวานซึ้งในใจ ไม่เพียงแค่นั้น เนื้อเรื่องของ No Time to Die ก็จะตอกย้ำถึงเสน่ห์ของ James Bond ฉบับ Daniel Craig ว่า เขาไม่ได้เป็นแค่คนเก่งที่พิทักษ์โลกได้แบบสบายๆ แต่เป็นคนเก่งที่เสียสละมากคนหนึ่ง

พอหนังจบลง สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาในใจระหว่าง Credit ขึ้นก็คือ “ยังไม่อยากโบกมือลา 007 คนนี้เลย ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ James Bond คนนี้มีเนื้อเรื่องต่อไป แม้เพียงแค่ภาคเดียวก็ยังดี หรือไม่อย่างน้อยที่สุด ช่วยโผล่ขึ้นมาในฉาก Post-Credit สักหน่อยก็ได้”

3. สาว Bond
ผู้หญิงของ Bond ใน No Time to Die จะมีอยู่ 3 คน ซึ่งนับว่าเยอะกว่ามาตรฐานของหนัง James Bond ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ตัวหนังสามารถเกลี่ยบทระหว่างผู้หญิงทั้งสามคนนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสื่อความเป็น Girl/Women Power ออกมาได้พอเหมาะ ไม่เลี่ยนแบบเอาใจสาย SJW จนเกินไป

– Madeleine: ในฐานะที่เธอเป็นนางเอกภาค Spectre ผมคิดว่าบทของเธอในภาคนี้น่าจะออกมาจืดจาง แต่พอได้ดูจริงๆ บทบาทของเธอก็ยังคงความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอยู่ดี ดีไม่ดี อาจกล่าวได้ว่าบทของเธอในเรื่องนี้เด่นยิ่งกว่าเรื่อง Spectre เสียอีก

– Paloma (สายลับคิวบาสวมชุดราตรีเซ็กซี่) : ตามสูตรหนัง 007 เรื่องอื่นๆ สาว Bond ในแต่ละภาคจะมี 2 คน คนหนึ่งจะเป็นนางเอก ส่วนอีกคนถ้าไม่เป็นนางร้าย ก็จะเป็นตัวละครลำดับรองที่มาให้ Bond ได้แอ้ม แล้วก็ถูกผู้ร้ายฆ่าทีหลัง ก่อนดู No Time to Die ผมคิดว่าตัวละคร Paloma (ซึ่งแต่งตัวเซ็กซี่มาก) น่าจะได้อารมณ์สาว Bond ประเภทหลัง แต่พอได้ดูจริงๆ แล้ว เธอเป็นนางรองที่ถึงจะมีบทไม่มากนัก แต่ก็น่ารัก โดดเด่นจนทำให้หนุ่มๆ หลายคนหลงเสน่ห์ได้ไม่ยากนัก น้องปลาโลมาคนนี้มีทั้งด้านที่โก๊ะๆ ค่อนไปทางอินโนเซนต์ แต่พอถึงคราวบู๊ก็เก่งจน Bond ทึ่ง แถมยังมีโมเมนต์ที่เฉือนคม Nomi (สายลับ 00 ที่มาทำหน้าที่แทน James Bond ในช่วงที่ถอนตัวไป) ได้เล็กๆ อีกต่างหาก

– Nomi (สายลับสาวหน่วย 00): ก่อนดู หลายๆ คนกังวลว่า บทของเธอคนนี้จะออกมาแนวข่ม Bond เอาใจสาย SJW จนเกินงาม แต่พอได้ดูจริงๆ แล้วก็พบว่าบทของ Nomi ทำออกมาได้โอเคทีเดียว ตัวละครคนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายๆ James Bond ฉบับ Roger Moore/ Pierce Brosnan ที่เป็นผู้หญิง เธอจะมีความกวนๆ อยู่ในทีและพยายามจะโชว์พาวว่าเธอเก่งกว่า Bond ในบางโอกาส แต่ Bond ก็สามารถเอาคืนเธอได้โดยไม่น้อยหน้ากัน ในส่วนของฉากบู๊ เธอก็ต่อสู้ได้เก่งตามมาตรฐานสายลับรหัส 00 อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกว่าน้องปลาโลมาบู๊ได้เก่งกว่าเธอนะ

4. Easter Eggs

ใน No Time to Die จะมี Easter Egg ออกมาคารวะ James Bond ในภาคเก่าๆ อยู่หลายจุด อีกทั้งยังมี Easter Egg คารวะ James Bond ฉบับนิยายของ Ian Fleming ด้วยอีกด้วย แฟนๆ ท่านใดที่ได้ติดตามดู 007 มาทุกยุคสมัย รับรองได้เลยว่าจะฟินกับ No Time to Die มากขึ้นเป็นพิเศษ

Spoiler Alert
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

5. จะมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างใน No Time to Die ที่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์หนัง James Bond” จนถึงขั้นที่กลายเป็น Talk of the town ได้ใครก็ตามที่อยากสัมผัส No Time to Die ได้อย่างเต็มอรรถรส ผมขอแนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใช้งาน SNS หรือ Search คำที่เกี่ยวข้องกับ 007 ใน Youtube เพื่อหลีกเลี่ยงกับการเจอ Spoiler จนกว่าจะได้รับชมตัวหนังในโรงภาพยนตร์

6. ผู้ร้าย

– Henchmen (มือขวาสายบู๊) ของภาคนี้ แม้จะดูความพิสดารอยู่บ้าง (เป็นนักฆ่าที่ใส่ลูกตาปลอม) แต่บทบาทค่อนข้างจืดจาง ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษ
– โดยส่วนตัว ผมว่า Safin ซึ่งเป็น Villain (จอมบงการ) ของภาคนี้ยังไม่ขลังเท่า Silva ใน Skyfall หรือจอมหวดไข่ใน Casino Royale แต่ก็ยังจัดว่าดูดีกว่า Blofeld ใน Spectre และ Greene ใน Quantum of Solace
– อย่างไรก็ตาม หากดูไปจนจบเรื่องแล้ว จะพบว่า Safin เป็นผู้ร้ายที่ทำร้าย Bond ได้เจ็บแสบสุดๆ จนถึงขั้นที่กล่าวได้ว่า เขาสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่าผู้ร้ายในหนัง James Bond เรื่องอื่นๆ
– อีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดายเกี่ยวกับผู้ร้ายในภาคนี้ก็คือ สเกลความเก่งที่ไม่คงที่ ตอนที่ Top form ก็เทพมาก รู้ไปหมด แต่พอฟอร์มตกก็เสียท่าเร็วมาก

7. ถึงแม้จะมีข้อดีอยู่หลายอย่าง แต่หากดูจบแล้วลองกลับไปคิดทบทวนละเอียดๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าเนื้อเรื่องก็มี Plot hole อยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับข้อดีที่หนังมีแล้ว ผมว่าผมยังรับได้อยู่

สรุป

เป็นภาพยนตร์ชุด James Bond ที่ทำออกมาได้ดีทั้งในส่วนของ Action , Drama และ Easter Egg นับเป็นผลงานปิดฉากจักรวาล James Bond ฉบับ Daniel Craig ได้อย่างน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม No Time To Die ก็มีเนื้อหาส่วนที่จัดได้ว่า “ทลายขนบ” ของ 007 ออกไปไม่น้อยเหมือนกัน และการทลายขนบธรรมเนียมที่ว่านั้น จัดว่ารุนแรงกว่าในเคสของ Casino Royale อยู่มาก นี่อาจส่งผลให้แฟน 007 บางส่วนรับไม่ได้ก็เป็นได้ในขณะเดียวกัน หากตั้งใจดูแบบเก็บรายละเอียดแล้ว ก็จะพบว่าเนื้อเรื่องก็จะยังมี Plot hole หลายจุด หากคิดมากเกินไปก็อาจจะไม่ชอบ และอุทานขึ้นมาว่า “อิหยังวะ” ในบางฉากก็ได้

โดยส่วนตัว ผมขอจัดอันดับ James Bond ภาค Daniel Craig ดังนี้ครับ:
ในกรณีที่เน้นความบู๊สไตล์ 007 No Time to Die> Casino Royale> Skyfall> Quantum of Solace> Spectre
ในกรณีที่เน้นเนื้อเรื่องโดยรวม Casino Royale> Skyfall> No Time to Die Quantum of Solace> Spectre

(ผมว่า Skyfall เนื้อเรื่องดีมาก แต่ถ้าไม่นับฉาก Climax ตอนท้ายเรื่องแล้ว ฉากบู๊ภาคนี้ไม่ค่อยจุใจเท่าไร )

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

James Bond 007 Casino Royale (2006) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 22: พยัคฆ์ร้ายเดิมพันระห่ำโลก

James Bond 007 Part.24 Skyfall (2012) พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย

James Bond 007 Part.23 Quantum of Solace (2008) พยัคฆ์ร้ายทวงแค้นระห่ำโลก

007 Spectre (2015) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 25: องค์กรลับดับพยัคฆ์ร้าย

JAMES BOND 50TH ANNIVERSARY BONUS DISC (2012) เจมส์ บอนด์ 007 โบนัส พยัคฆ์ร้าย

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

2073 (2024)
หนังฝรั่ง ซับไทย
หนัง

5

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่