Never Say Never Again (1983) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 14 พยัคฆ์เหนือพยัคฆ์
เรื่องย่อ
เป็นภาพยนตร์เจมส์บอนด์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่ในรายชื่อภาพยนตร์บอนด์ที่เป็นทางการทั้ง 23 ตอนที่ค่ายอีโอเอ็นโปรดัคชั่นส์ (Eon Productions) จัดทำขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นภาพยนตร์เจมส์บอนด์อย่างไม่เป็นทางการที่ค่ายวอร์เนอร์บราเดอร์ (Warner Bros.) จัดทำขึ้น พยัคฆ์เหนือพยัคฆ์ เป็นภาพยนตร์บอนด์นอกระบบที่สร้างเพื่อเป็นการผลิตใหม่(Remake)ของภาพยนตร์บอนด์ที่เป็นทางการเรื่อง ธันเดอร์บอลล์ เพื่อให้มีเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น Never Say Never Again ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในค.ศ. 1983 หรือ พ.ศ. 2526 แข่งกับภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ อย่างเป็นทางการเรื่อง เพชฌฆาตปลาหมึกยักษ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ลงทุนไป 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่าเงิน 77,927,711 ดอลลาร์สหรัฐใน พ.ศ. 2551 กวาดรายได้รวม 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่าเงิน 346,345,381 ดอลลาร์สหรัฐใน พ.ศ. 2551เป็นยอดขายที่ต่ำกว่าภาพยนตร์เรื่อง เพชฌฆาตปลาหมึกยักษ์
ผู้กำกับ
- Irvin Kershner
บริษัท ค่ายหนัง
- TaliaFilm II Productions
นักแสดง
- Sean Connery
- Klaus Maria Brandauer
- Max von Sydow
- Barbara Carrera
- Kim Basinger
- Bernie Casey
- Alec McCowen
โปสเตอร์หนัง เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 14
รีวิว
ผมเปิดประเด็นของหนังเรื่องนี้ไว้ตอนรีวิว Octopussy นะครับ Never Say Never Again ดังนั้นหากจะไม่กล่าวถึงให้เรียบร้อยก็คงไม่ครบองค์ประชุมเป็นแน่ สำหรับโครงการบอนด์ภาคนี้เป็นความตั้งใจของ Kevin McClory ที่อยากทำหนังบอนด์ออกมาในฐานะผู้ถือสิทธิ์ร่วมในนิยาย Thunderball ซึ่งเขามีแผนจะทำมาตั้งแต่ปี 1964 แล้วล่ะครับ ตอนนั้นถึงขั้นว่า McClory ไปเจรจากับ Richard Burton เพื่อให้มารับบทเป็นบอนด์ แล้วก็มีข่าวตามมาเป็นระลอกว่า McClory ยังไปติดต่อ Orson Welles ให้มาเป็นโบลเฟลด์, Trevor Howard ให้มาเป็น M และมอบเก้าอี้กำกับให้ Richard Attenborough
แต่ทางบริษัท EON ของ Albert R Broccoli ผู้ถือสิทธิ์หนังบอนด์และนิยายตอนอื่นๆ ก็ออกมาคัดค้านจนเรื่องถึงศาล ในที่สุดศาลก็ตัดสินว่า McClory มีสิทธิ์ทำหนังบอนด์ได้ แต่มีข้อแม้คือเนื้อหาต้องมาจากเรื่องราวใน Thunderball เท่านั้น กล่าวคือทำได้แค่รีเมคนั่นเองครับ ซึ่งกว่าจะได้ข้อสรุปนี้ คดีก็ล่วงเลยมาจนถึงยุค 80 แล้ว พอคำตัดสินออกมาดังนั้น McClory ก็ยอมรับและเดินหน้าที่จะสร้างบอนด์ในแบบของตัวเองออกมา โดยเอาพล็อตจาก Thunderball มาเขียนบทรีเมคใหม่ และนำเอาเหล่าตัวละครในองค์กร SPECTRE กลับมาโลดแล่นบทแผ่นฟิล์มอีกครั้ง McClory ได้ค่ายหนังใหญ่อย่าง Warner Bros. เป็นแบ็คอัพ ส่วนผู้อำนวยการสร้างก็คือ Jack Schwartzman สามีของ Talia Shire (น้องสาวของ Francis Ford Coppola ผู้กำกับ The Godfather) โดยมีความมุ่งหมายว่าถ้าหนังดังก็จะสร้างบอนด์ไปชนกับบอนด์ของ EON ทุกปี
พอแผนสร้างออกมาเลยมีการทุ่มแบบเต็มที่ โดยไม้เด็ดคือไปเชิญ Sean Connery ให้กลับมารับบทเจมส์ บอนด์อีกครั้ง ซึ่งอันที่จริง Connery ก็สนใจจะกลับมาเป็นบอนด์ให้ McClory มานานพอสมควร เพราะทั้งสองเคยมีโอกาสได้คุยและร่วมกันเขียนบทหนังบอนด์ ชื่อว่า James Bond of the Secret Service แต่ทว่าศาลไม่อนุญาตให้นำบทนั้นมาทำครับ โดยระบุลงมาชัดเจนว่าทำได้แค่รีเมค Thunderball เท่านั้น และแม้ผลจะออกมาเป็นเช่นนั้นแต่ Connery ก็ยังยืนกรานเล่นให้ ส่วนชื่อเรื่องก็มาจากเมื่อ 12 ปีก่อนหน้านี้ ตอน Connery คุยกับภรรยาว่าจะไม่เล่นเป็นบอนด์อีก ภรรยาเลยแซวกลับมาว่า “Never Say Never Again” Connery เลยเอามาตั้งเป็นชื่อตอนเพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาและแซวตัวเองไปในตัว
ด้านผู้กำกับก็มีการติดต่อ Richard Donner จาก The Omen (1976) และ Superman (1978) แต่เขาปฏิเสธ ต่อมาก็มีการทาบทามให้ Peter R. Hunt ผู้กำกับบอนด์ตอน On Her Majesty’s Secret Service แต่ Hunt ก็ปฏิเสธเช่นกันเนื่องจากเขาทำงานกับค่าย EON เป็นหลัก ดังนั้นขืนแหกค่ายไปทำหนังบอนด์ให้เจ้าอื่นก็อาจส่งผลต่ออนาคตของเขาได้ ทีมงานเลยหันไปหา Irvin Kershner แห่ง The Empire Strikes Back แทน Never Say Never Again แล้วรายนี้ก็เซย์เยสครับ และยังว่ากันว่า Coppola ได้ลงมามีส่วนช่วยทำหนังเรื่องนี้ด้วย (ก็น้องเขยอำนวยการสร้างนี่ครับ)
เมื่อเป็นงานรีเมก Never Say Never Again จึงมีพล็อตเดียวกับ Thunderball ตัวละครส่วนใหญ่ก็ชื่อเดิม ไม่ว่าบอนด์ หรือศัตรูตัวร้ายอย่างองค์การ SPECTRE ที่ประกอบด้วยโบลเฟลด์ (Max Von Sydow), ลาร์โก (Klaus Maria Brandauer) สมาชิกหมายเลข 1 ขององค์กร SPECTRE ส่วนแม่สาวนักฆ่าฟิโอน่า วอลเป้ก็เปลี่ยนเป็น ฟาติมา บลัช (Barbara Carrera) สาวบอนด์ตอนนี้ก็ยังชื่อโดมิโน่ (Kim Basinger) ตามด้วยตัวละครประจำอย่าง M (Edward Fox), Q (Alec McCowen), มิสมันนี่เพนนี (Pamela Salem) และเฟลิกซ์ ไลเตอร์ (Bernie Casey) CIA ที่คอยช่วยบอนด์
เนื้อหาหลักๆ ก็เหมือนเดิมครับ ว่าด้วยช่วงตกอับขององค์กร SPECTRE ที่ต้องการสร้างรายได้ครั้งใหญ่จึงวางแผนขโมยหัวรบนิวเคลียร์สองลูกมาเพื่อเรียกค่าไถ่ชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ร้อนถึงบอนด์ (Connery) ที่ต้องออกโรงพิทักษ์โลกอีกครั้ง สไตล์ของ NSNA ถือว่าแตกต่างจากบอนด์ฉบับ EON อยู่หลายประการ นอกจากการแสดงของ Connery ที่ยังเป็นบอนด์เจ้าเก่าแล้ว องค์ประกอบอื่นจัดว่าเป็นอีกหนึ่งรสชาติ เช่นฉากบู๊ สไตล์การต่อสู้ก็เน้นแอ็กชันมือเปล่ามากขึ้น (ซึ่งทีมงานฝ่ายคิวบู๊ก็คือ Steven Seagal สมัยยังหนุ่ม) อารมณ์ขันก็เยอะสุดๆ และมีการแบ่งบทแบ่งฉากไปที่ตัวละครอื่นๆ มากขึ้น ไม่ได้มาโฟกัสอยู่กับบอนด์คนเดียว ทำให้คนที่ติดกับสูตรบอนด์แบบเดิมๆ อาจรู้สึกว่า NSNA ดูเป็นหนังสายลับที่มีบอนด์มาร่วมแสดง มากกว่าจะเป็นหนังบอนด์โดยตรง
กระแสตอบรับของผู้ชมก็อยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางบวก ซึ่งสำหรับผมแล้ว บอนด์ตอนนี้ก็ยังดูได้แบบสนุกๆ ครับ เหล่าดาราแสดงกันได้ลื่นไหล โลเกชั่นก็ไม่เลว โดยเฉพาะฉากถ้ำใต้น้ำที่ดูสวยงามและลึกลับกำลังดี เรียกว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างของหนังบอนด์นอกทำเนียบตอนนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับฉากใต้น้ำที่สวยงามเหมือนอยู่ใต้ทะเลจริงๆ แบบนั้น อีกฉากที่น่าจดจำก็คือการแข่งเกมส์คอมพิวเตอร์ระหว่างบอนด์และลาร์โกที่สร้างอารมณ์ลุ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ถ้าว่ากันถึงการเดินเรื่องและความน่าติดตามแล้ว NSNA ยังไม่เด็ดขาดเท่าบอนด์ของ EON โดยเฉพาะตอน Octopussy ที่มีเนื้อหาเข้มข้นมากกว่า ซึ่งอันนี้ก็เป็นข้อจำกัดที่น่าเห็นใจครับ ในเมื่อทีมงานต้องทำหนังบอนด์ตอนพล็อตเดิม ไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรใหม่มากได้ เลยทำให้ผลที่ได้ออกมาดูยั้งๆ ไม่เต็มที่ ยอมรับว่าอยากรู้นะครับ ว่าถ้า McClory ทำหนังบอนด์ในแบบของตัวเองจริงๆ โดยไม่ใช้พล็อตเดิมแล้ว Never Say Never Again ผลจะออกมาดีกว่านี้หรือไม่ ด้านรายได้ NSNA แพ้ Octopussy อยู่นิดหน่อย ได้มา $160 จากทั่วโลก แต่กระนั้น McClory ก็ไม่ได้สร้างบอนด์ตามออกมาอีก เนื่องจากตัวเลขที่ได้ยังถือว่าไม่เข้าเป้าเท่าที่ควร และนอกจากนี้การจะสร้างบอนด์ตอนใหม่โดยอิงพล็อตเดิมๆ อีก ก็อาจไม่ได้รับความสนใจจากคนดูก็ได้ ทำให้ NSNA เป็นบอนด์นอกทำเนียบเพียงตอนเดียวไป
ปี 1983 เป็นปีที่เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น โดยมีภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ 2 เรื่องเป็นคู่แข่งกัน เรื่อง Octopussy นำแสดงโดยโรเจอร์ มัวร์ เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์ Cubby Broccoli Bond เรื่อง Never Say Never Again ซึ่งสร้างโดยผู้ผลิตคู่แข่ง เป็นภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่องเดียวที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์นี้ นอกเหนือไปจากเรื่อง Casino Royale ที่แย่ๆ เรื่องหนึ่ง ความน่าสนใจอย่างมากของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการนำฌอน คอนเนอรี เจมส์ บอนด์คนเดิมกลับมา โดยชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มาจากคำพูดของคอนเนอรีหลังจากเรื่อง Diamonds Are Forever ว่าเขาจะไม่เล่นบทนี้อีก บางคนบ่นว่าคอนเนอรีอายุ 53 ปีแล้ว ซึ่งแก่เกินกว่าจะเล่นบทนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาอายุน้อยกว่ามัวร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งถึง 3 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่สร้าง Octopussy ในปีเดียวกันเท่านั้น แต่ยังสร้างภาพยนตร์เจมส์ บอนด์อีกเรื่องหนึ่งคือ A View to a Kill ในอีก 2 ปีต่อมา
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีอยู่ได้เพราะการยุติคดีความเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ของเอียน เฟลมมิง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ข้อตกลงมีข้อกำหนดว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่จะต้องสร้างใหม่จากเรื่อง Thunderball เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้อาจไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุดของ Connery Bonds (การสร้างใหม่ของเรื่อง Dr. No หรือ Goldfinger น่าจะได้ผลดีกว่า) เนื้อเรื่องก็เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องก่อนมาก องค์กรก่อการร้าย SPECTRE ซึ่งร่วมมือกับมหาเศรษฐีชื่อ Largo ได้ขโมยหัวรบนิวเคลียร์ของอเมริกาไป 2 ลูก และพยายามเรียกค่าไถ่จากรัฐบาลทั่วโลกโดยขู่ว่าจะทำลายหัวรบนิวเคลียร์ เว้นแต่รัฐบาลจะได้รับเงินจำนวนมหาศาล แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของบอนด์ที่จะต้องช่วยโลกโดยติดตามขีปนาวุธที่หายไป
ภาพยนตร์เรื่องนี้โชคดีที่มีสาวบอนด์ที่สวยที่สุดไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มีถึงสองคน ได้แก่ Barbara Carrera ในบท Fatima Blush ที่เย้ายวนแต่มีพิษ และ Kim Basinger ในบท Domino แฟนสาวของ Largo ที่เปลี่ยนฝ่ายไปอยู่ฝ่ายของบอนด์หลังจากรู้ถึงแผนชั่วร้ายของคนรักของเธอ ภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์หลายเรื่องมีเนื้อเรื่องที่เน้นไปที่ความสามารถของพระเอกในการเอาชนะใจนางสนมหรือผู้สมรู้ร่วมคิดหญิงของผู้ร้าย ซึ่งมีการพัฒนาที่คล้ายคลึงกัน เช่น ในเรื่อง “Goldfinger”, “Live and Let Die” และ “The Living Daylights” ในซีรีส์อย่างเป็นทางการ พันธมิตรของบอนด์มักถูกมองว่าเป็นตัวเอกหญิง แต่ในกรณีนี้ Never Say Never Again คาร์เรราซึ่งรับบทเป็นตัวร้ายนั้นถูกจัดอยู่ในอันดับรองจากเบซิงเจอร์ ซึ่งเป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักในเวลานั้น แน่นอนว่าเบซิงเจอร์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในดาราดังที่สุดของฮอลลีวูด ในขณะที่คาร์เรราเป็นหนึ่งในสาวบอนด์หลายคนที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
ในบรรดาตัวร้าย แม็กซ์ ฟอน ซิโดว์เล่นเป็นโบลเฟลด์ หัวหน้าหน่วย SPECTRE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คลาอุส มาเรีย บรันเดาเออร์ดูจืดชืดเกินไปและไม่คุกคามในบทลาร์โก ยกเว้นบางทีในเกม “Domination” ซึ่งเป็นเกมคอมพิวเตอร์ที่มีความรุนแรงในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า เช่น “Space Invaders” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 บรันเดาเออร์สามารถเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในภาษาเยอรมันซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาได้ในภาพยนตร์เช่น “Mephisto” และ “Oberst Redl” แต่เขาไม่สามารถแสดงออกถึงอารมณ์ได้อย่างชัดเจนในภาษาอังกฤษ
คุณลักษณะอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้คือทั้งทำตามสูตรของบอนด์ทั่วไปและบางครั้งก็เบี่ยงเบนไปจากสูตรนั้น มีพล็อตเรื่องโลกที่ตกอยู่ในอันตรายแบบมาตรฐาน ฉากการไล่ล่า สถานที่แปลกใหม่มากมาย ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ วายร้ายที่ชั่วร้าย และเพลงประกอบที่เขียนขึ้นเป็นพิเศษตามชื่อภาพยนตร์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีฉากก่อนเครดิตที่ยาวขึ้น และเราได้เห็นตัวละครที่คุ้นเคยบางตัวในมุมมองใหม่ ตัวอย่างเช่น เอ็ม เจ้านายของบอนด์กลายเป็นขุนนางที่เฉื่อยชาและหยิ่งยโส เฟลิกซ์ ไลเตอร์ เพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันของเขาแสดงเป็นคนผิวดำเป็นครั้งเดียว และอเล็ก แม็กโคเวนแสดงคิวนักวิทยาศาสตร์เป็นคนเย้ยหยันที่ผิดหวัง (แม้ว่าเขาจะใช้ชื่อคริสเตียนของชนชั้นสูงว่าอัลเจอร์นอน) และมีสำเนียงชนชั้นแรงงานอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีโรแวน แอตกินสันมารับบทเป็นนักการทูตอังกฤษที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันอีกด้วย แม้ว่าคอนเนอรีอาจจะไม่ได้แสดงได้ดีเท่ากับในภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ของเขา แต่การเปลี่ยนแปลงในธีมที่คุ้นเคยนี้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ที่น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่ง 7/10
ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
James Bond 007 Goldfinger (1964) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 3: จอมมฤตยู 007
James Bond 007 Thunderball (1965) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 4: ธันเดอร์บอลล์ 007
For Your Eyes Only 007 (1981) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 12: เจาะดวงตาเพชฌฆาต
James Bond 007 Moonraker (1979) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 11: พยัคฆ์ร้ายเหนือเมฆ
JAMES BOND 007 THE SPY WHO LOVED ME (1977) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 10: พยัคฆ์ร้ายสุดที่รัก
6.9