Montage (2013) สืบล่าฆ่าซ้อนแผน
เรื่องย่อ
สิบห้าปีผ่านไปตั้งแต่เด็กผู้หญิงคนนี้ถูกลักพาตัวไปทันใดนั้นก็พบดอกไม้โดดเดี่ยวในที่เกิดเหตุ มันถูกมองว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของการกลับมาของอาชญากรที่ไม่พบ วันหมดอายุของอาชญากรรมจะหมดลงในสองสามวันนี้และอีกสองวันต่อมาก็มีการลักพาตัวเด็กหญิงคนใหม่เกิดขึ้น เมื่อคดีลักพาตัวเด็กหญิงคนหนึ่งเมื่อ 15 ปีก่อนถูกปิดลงเพราะหมดอายุความ ฮา คยอง (รับบทโดย ออม จองฮวา) ผู้เป็นแม่ของเหยื่อยังคงจมอยู่กับความเศร้าและความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับความยุติธรรม
ในเวลาเดียวกัน นักสืบชองโฮ (รับบทโดย คิม ซังคยอง) Montage ผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนคดีนี้ก็ยังไม่สามารถลืมความล้มเหลวในอดีตของตัวเองได้ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจะยอมแพ้ เหตุการณ์ลักพาตัวที่คล้ายกันกลับเกิดขึ้นอีกครั้งในสถานที่เดียวกับคดีแรก ด้วยเงื่อนงำและหลักฐานที่ซับซ้อน ฮาคยองและชองโฮต้องกลับมาร่วมมือกันเพื่อไขคดีใหม่ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคดีในอดีต พร้อมกับเผชิญหน้ากับความลับและความจริงที่ถูกปกปิดไว้
ผู้กำกับ
- Jeong Geun-seop
บริษัท ค่ายหนัง
- Miin Pictures
นักแสดง
- Uhm Junghwa
- Kim Sang-kyung
- Song Young-chang
- Jo Hie-bong
- Jung Hae-kyun
- Yoo Seung-mok
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
“ความเจ็บ…มันยังคงหายใจ” คำที่น่าจะอธิบายความรู้สึกของตัวละครได้ดี เมื่อคนที่ทำให้เจ็บยังหายใจดี มีความสุข ไม่เคยได้รับโทษที่ก่อไว้ ความเจ็บปวดของคนที่สูญเสีย มันจึงไม่เคยได้รับการเยียวยาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ฮาคยอง (Jeong-hwa Eom) แม่ที่สูญเสียลูกสาวตัวน้อยเมื่อ 14 กว่าปีที่แล้ว เพราะถูกคนร้ายลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้น หลังจากผ่านมานานเกือบ 15 ปี Montage ตอนนี้ ฮาคยอง ได้เจอกับ ชองโฮ (Sang-kyung Kim) นายตำรวจที่ทำคดีนั้นอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่ได้มาแจ้งข่าวดีว่าจับคนร้ายได้แล้ว แต่เป็นการบอกข่าวร้ายที่มันจะทำให้ความเจ็บมันอยู่กับเธอไปตลอดกาล เมื่ออีกไม่กี่วันข้างหน้าเมื่อครบ 15 ปีเต็ม คดีลักพาตัวลูกสาวของเธอจะหมดอายุความ คนร้ายจะลอยนวลไม่ต้องคอยหลบซ่อนเหมือนที่ผ่านมา ด้วยความรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ชองโฮ จึงพยายามใช้หนึ่งสัปดาห์ที่เหลือเพื่อตามหาคนร้าย ทว่าไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ เขาปล่อยให้ฆาตกรหลุดมือไปอีกครั้ง จนสุดท้ายแล้วคดีก็ถึงเวลาหมดอายุความ เพียงแต่ในเวลาต่อมาไม่นานนัก กลับเกิดคดีลักพาตัวเด็กที่มีวิธีการคล้ายคลึงกันเกิดขึ้น ชองโฮ จึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวออกไล่ล่าฆาตกร เมื่อคนร้ายยอมออกมาจากที่ซ่อนเพื่อก่อคดีอีกครั้งหนึ่ง
หากคำกล่าวที่ว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม” แล้วการที่ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้และคดีหมดอายุความ สุดท้ายคนร้ายได้ออกมาจากที่หลบซ่อนเดินลอยชายในสังคม แบบนี้เราจะเรียกว่าอะไรดี เพราะบางความสูญเสียเงินทองมันไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกได้ หรือกระทั่งในโลกนี้ไม่สามารถมีอะไรมาเยียวยาความรู้สึกได้แล้ว แต่อย่างน้อยการได้เห็นคนทำผิดรับโทษ มันก็ช่วยให้เหยื่อได้รู้ว่าคนที่ทำกับตนเองนั้น ไม่สามารถหนีความผิดได้พ้น เหมือนกับ ฮาคยอง แม่ที่สูญเสียลูกสาวที่กำลังน่ารัก เธอต้องอยู่กับความเจ็บปวดมาแสนนานโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่ เมื่อคนร้ายที่ทำผิดยังไม่ได้ชดใช้สิ่งที่ก่อเอาไว้ และเมื่อตำรวจไม่สามารถช่วยทำมันให้สำเร็จได้เธอจึงลงมือทำด้วยตัวเอง
เป็นหนังดราม่า สืบสวน ระทึกขวัญ ที่แง่มุมความตื่นเต้น ลุ้นระทึก อาจมีไม่มากนักนะ Montage แต่แง่มุมความดราม่าค่อนข้างสร้างความรู้สึกร่วมกับคนดูได้พอสมควร ต้องชม ออมจองฮวา เธอแสดงเป็นแม่ที่ปวดร้าว ซึมลึก อยู่ข้างในแบกความรู้สึกต่างๆเอาไว้คนเดียวมาตลอด 15 ปีเต็ม มันทำให้คนดูสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอและสิ่งต่างๆที่เธอตัดสินใจทำลงไปได้
ส่วนนักสืบ ชองโฮ คนที่บทบาทเยอะแล้วก็โดดเด่นที่สุดในเรื่อง คิมซังคยอง ก็รับบทเป็นตำรวจคาแรคเตอร์แนวนี้มาตลอดอยู่แล้ว เห็นเจ้าตัวรับบทเป็นตำรวจบ่อยมากน่าจะไม่ต่ำกว่า 4 เรื่องได้ละมั้ง เรื่องนี้ ชองโฮ ก็เป็นนักสืบที่คาแรคเตอร์มีทั้งสองด้านคือแบบอุดมคติ ที่อยากจะจับคนร้ายให้ได้ และสงสัยในทุกรายละเอียดแม้ทุกอย่างมันจะดูลงตัวหมดแล้วก็ตาม แต่อีกมุมหนึ่ง ชองโฮ ก็เป็นคนที่มีเลือดเนื้อ ทำงานนอกกรอบ และมีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งมันเป็นที่มาในตอนท้ายให้เขาตัดสินใจทำบางอย่างที่มันอาจไม่ถูกกฎหมาย แต่มันอาจจะถูกต้องในความรู้สึกของคนที่ มีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจ
ไม่รู้จะบอกว่าหนักซ่อนหักมุมของตัวเองได้ดี ได้รึเปล่า Montage เพราะหนังเองก็เดาในส่วนหักมุมนั้นได้ไม่ยาก ตลอดทางหนังก็แอบหยอดข้อมูลสปอยความลับของตัวเองมาตลอด ส่วนตัวอิมแพ็คของหนังที่กระทบความรู้สึกของคนดูมันจึงไม่ใช่ความเจ๋งของการหักมุม แต่เป็นการที่เมื่อหนังเฉลยทุกอย่างออกมาแล้วทำให้เราเข้าใจทุกการกระทำ ทุกความรู้สึกของตัวละคร ที่แม้ต่างฝ่ายจะต่างทำเพื่อคนที่ตนเองรัก แต่เมื่อมีคนผิด ใครคนนั้นก็ต้องได้รับโทษอย่างไม่มีข้ออ้าง เพราะเมื่อคุณมีคนที่รัก คนอื่นเขาก็มีคนที่รักเช่นกัน หาก “ความเจ็บ…มันยังคงหายใจ” แต่จะทำให้ “ความเจ็บมันหายไป” คำตอบง่ายๆก็คงจะเป็น คนที่ทำให้เจ็บ ได้รับผลของการกระทำนั่นแหละ คงเป็นหนทางเดียวที่พอจะเยียวยาบาดแผลให้หายหรือทุเลาลงได้บ้าง
สรุปแล้ว Montage (2013) สืบล่า ฆ่าซ้อนแผน เป็นหนัง ดราม่า สืบสวน ระทึกขวัญ ที่อาจจะไม่บันเทิงในแง่มุมความ ลุ้น สนุก ตื่นเต้นนะ แต่มันบันเทิงในแง่ความเป็นหนังดราม่า ที่ปมของเรื่องหนักแน่นดี มีหักมุม แล้วก็เล่าเรื่องได้สัมผัสกับความรู้สึกของคนดู
ลักษณะหนึ่งของหนังสืบสวนเกาหลีใต้ดัง ๆ ที่ผมไม่ค่อยถูกจริตก็คือ “การจงใจประดิษฐ์พล็อต” และหลายเรื่องก็มักเต็มไปด้วยการจงใจใส่ความบังเอิญและจงใจใส่ฉากให้ลุ้นระทึก เช่น Oldboy, The Chaser ซึ่งถ้าออกมาดีก็ยังรู้สึกโอเค แถมส่วนมากมักจะใช้เทคนิคตัดต่อในการหลอกล่อคนดูให้หลงทางอีก เช่น Mother, Memories of Murder ซึ่งเทคนิคพวกนี้ถ้าเอาออกมาใช้แล้วดีมันก็รู้สึกว้าวหรือแอบเหวอกับคนคิดพล็อตบ้างแหละ
และ Montage ก็คือหนังสืบสวนจากเกาหลีใต้ที่หยิบทั้งการจงใจประดิษฐ์พล็อตลักพาตัว จงใจใส่ความบังเอิญเพื่อฉากไล่ล่าบางจุด จงใจใส่ฉากลุ้นชะตากรรมตัวละคร และยังใช้เทคนิคตัดต่อเข้าช่วยตลอดทั้งเรื่อง แต่ทั้งหมดมันให้ผลลัพธ์ที่ลงตัวจนเราต้องทึ่งทั้งบทหนังสืบสวนและลีลาการกำกับของ ‘จวง กึน ซอบ’
หนังเล่าเรื่องของคดีลักพาตัวเด็กเมื่อ 15 ปี Montage ก่อนที่เมื่อหมดอายุความแล้วดันเกิดคดีแบบเดียวกันเป๊ะซ้ำขึ้นอีก ทำให้ ‘นักสืบโฮ’ เจ้าของคดีเก่าต้องกลับมาร่วมมือสืบหาตัวคนร้ายอีกครั้ง
1. สืบสวนยอดเยี่ยม
– ปกติเวลาดูหนังสืบสวนเกาหลีใต้เราจะพบลักษณะด้อยประสิทธิภาพของตำรวจอย่างร้ายแรง อย่าง Memories of Murder, The Chaser และ Mother นำเสนอภาพตำรวจที่สืบคดีแบบไร้ทักษะ แต่ Montage กลับนำเสนอการสืบสวนด้วยนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงฉากเปิดหนังที่ผมตื่นเต้นจนคาดหวังว่ามันจะเป็น High and Low ของเกาหลีใต้ด้วยซ้ำ เพราะมันคือการสืบคดีด้วยการสืบจากหลักฐาน เช่นขอดูภาพคนร้ายจากกล้องหน้ารถที่วิ่งสวนทาง หรือการตรวจหาร่องรอยยางรถยนต์ แต่พอพ้นจากฉากนี้ไปหนังก็เลิกทำตัวเป็นหนังสืบสวนเข้มข้นด้วยการไปมุ่งขายพล็อตคดีลักพาตัวแทน
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นจนจบ มันก็ยังรักษาความเป็นหนังสืบสวนเอาไว้ได้ดีโดยเฉพาะการโฟกัสเรื่องเสียงสภาพแวดล้อมและเสียงม้วนเทปที่ทำเอาอึ้งเลยทีเดียว
2. การตัดต่อไม่เรียงลำดับเวลา
– หากจะพูดถึงสิ่งที่ทำให้หนังออกมาดีได้ขนาดนี้คงต้องยกให้ลำดับการตัดต่อเนี่ยแหละ ถ้าวัดกันที่พล็อตอย่างเดียวหากเล่าเป็นเส้นตรงคงไม่ชวนเหวอขนาดนี้ ต้องยกความดีความชอบให้การตัดต่อเลย โดยเฉพาะการค่อย ๆ Montage เฉลยเรื่องราวเมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งเป็นฉากเปิดหนังได้ชวนงง ก่อนนักสืบโฮจะเล่าออกมาอีกนิด แต่มันก็ยังเหลือปลายไว้ให้เล่าปิดในฉากจบ
รวมถึงการตัดต่อบางอย่างในหนังที่จงใจไม่เล่าตามลำดับเวลา ซึ่งก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับการเป็นหนังทริลเลอร์สักเรื่องหนึ่ง
3. ฉากเอาตัวรอดของคนร้ายที่สถานีรถไฟ
– คงไม่มีอะไรตื่นเต้นสำหรับคนดูมากไปกว่าการลุ้นแผนเอาตัวรอดของคนร้ายที่ทำแบบเดียวกันเป๊ะกับเมื่อ 15 ปีก่อน! อย่างที่บอกว่าหลายอย่างในหนังมันจงใจมาก ไม่ว่าจะเป็นการบังเอิญเจอคนร้ายที่แต่งเสื้อคลุมสีดำถือร่มดำรถสีดำทำตัวลึกลับ และแผนการที่รถไฟแบบเดิมเป๊ะกับ 15 ปีก่อนก็คงต้องนับว่าเป็นความจงใจเช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องชมว่ามันก็ตื่นเต้นเร้าใจดีนะ
4. หักมุมเด็ดขาด
– ชอบการ twist ของหนังทุกครั้ง อะไรที่คิดว่าใช่ แต่หนังกลับบิดให้เราทึ่งได้มากกว่าสองครั้ง ขนาดตอนแรกเราเดาเรื่องถูกแล้วนะ เรายังรู้สึกสนุกกับการหาตัวคนร้ายและวิธีการที่เขาใช้ก่อเหตุ นั่นแหละถึงบอกว่าชอบการหักมุมของหนังในแต่ละครั้ง
มองในภาพรวมแล้วหนังก็ยังมีจุดที่ทำออกมาได้ไม่น่าเชื่อถือ เช่นคดีที่มีระยะเวลา 15 ปีจะยังมีตำรวจคนเดิมตามสืบมาตลอด หรือการพยายามไม่ให้เห็นหน้าคนร้ายและฉากวิ่งไล่ล่าคนร้ายที่ดูไม่เนียนเพราะผู้กำกับจงใจสับขาหลอกมากเกินไป ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังเป็นหนังสืบสวนที่ผมยกให้เป็นน้ำดีอีกเรื่องครับ
6.4