Memento (2000) ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ
เรื่องย่อ
Memento ผู้สวมใส่ชุดสูท จากยุโรป ราคาแพงลิบ ขับรถ จากัวร์รุ่นล่าสุด แต่ใช้ชีวิตราคาถูก พักโรงแรมไม่มีชื่อ ใช้จ่ายเงิน โดยการม้วนธนบัตร เป็นก้อนหนาๆ แม้ว่า เขาจะดูเหมือนชาย ที่ประสบความสำเร็จ ในชีวิต แต่งานของเขา กลับเป็นการไล่ล่า ล้างแค้น แกะรอย และลงทัณฑ์ คนที่ลงมือ ข่มขืนและฆ่า เมียของเขา เพราะว่า การสันนิษฐานของเขา ถูกตำรวจเมินเฉย เขาจึงต้อง เดินหน้าหาความยุติธรรม ด้วยตัวเอง โดยการแกะรอย ในครั้งนี้ เขาได้ใช้ การ์ดดัชนี, รูปถ่าย, แฟ้มข้อมูล, แผนผัง, รอยสัก แต่เขาก็ไม่สามารถ ที่จะเข้าใจ เรื่องราวทั้งหมด และเรียกความทรงจำ กลับคืนมาได้
ผู้กำกับ
- Christopher Nolan
บริษัท ค่ายหนัง
- Newmarket Capital Group
นักแสดง
- Guy Pearce
- Carrie-Anne Moss
- Joe Pantoliano
- Mark Boone Junior
- Russ Fega
- Jorja Fox
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
กลับมาดูอีกรอบแล้วตื่นเต้นมากๆ Memento ในวันที่โนแลนมี Inception, Interstellar, Dunkirk และ Tenet เรากลับคิดถึงเขาในโหมดนี้ โหมดหนังสเกลเล็ก เรื่องราวไม่ใหญ่โต แต่โครงบทภาพยนตร์สุดยอดมากๆ เป็นหนังเรื่องแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าโคตรงง ดูตอนมัธยมต้นแล้วสารภาพตรงๆว่ามึนหัว คือพอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ไม่สามารถตามหนังทันได้เลย การลำดับเหตุการณ์จากหลังไปหน้า สลับกับเหตุการณ์จากหน้าไปหลัง ทำให้เราสูญเสียความทรงจำเรื่อยๆ ไม่ต่างจากตัวละคร แต่พอมาดูรอบนี้แล้วสุดยอดมาก พอเรามีความสามารถในการประกอบหนังที่ชำนาญขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น ทำให้เรารักมันขึ้นมากๆ
เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์สุดท้ายของเรื่องนั่นคือการฆาตกรรมชายคนหนึ่ง (ที่เราจะรู้จักเขามากขึ้นผ่านการย้อนกลับ) โดยหนังลำดับเหตุการณ์จาก 10 ไป 9 ไป 8 สลับกับเหตุการณ์ภาพขาวดำที่เล่าแบบ 1 ไป 2 ไป 3 ซึ่งนอกจากการลำดับแบบนี้จะทำให้ผู้ชมต้องจัดแจงข้อมูลแล้ว เรายังไม่รู้ด้วยว่าจาก 10 ของก้อนแรก และ 1 ของก้อนหลัง มันไปบรรจบตรงไหน เราอาจจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหรือหลัง แต่เราไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะไปบรรจบตรงไง กว่าจะตระหนักได้ก็เป็นตอนสรุปของหนังจริงๆ เอาจริงๆ การมีอยู่ของ Memento สะท้อนอะไรหลายๆอย่างใน Tenet (2020) มากๆ สำหรับเรา Tenet คือ ในร่างของ Inception การหยิบเอาโครงสร้าง เดินหน้า/ถอยหลัง มาทำให้เป็นกฎกติกาไซไฟ จากโครงสร้างเรื่องกลายเป็นสิ่งที่ตัวละครสามารถใช้งานได้ ซึ่งเราว่าเจ๋งกันไปคนละแบบ (แต่ส่วนตัวจะชอบความคมของ Memento มากกว่า)
แม้ว่า จะไม่ได้มีงานภาพ IMAX ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษที่ดึงผู้ชมเข้าไปเป็นส่วนร่วมกับเหตุการณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าหนังมันมโหฬารทางความรู้สึกกับคนดูมากๆ คือการทำให้ผู้ชมตกอยู่ในสภาวะเดียวกับตัวละครเอก – ลีโอนาร์ด เป็นชายที่มีปัญหากับสมอง เขาจะสูญเสียความทรงจำในระยะสั้นเสมอ ซึ่งเกิดมาจากการถูกทำร้ายหลังต่อสู้กับคนที่มาข่มขืนภรรยาของเขา ซึ่งระหว่างทางใน Memento คนดูเองก็เหมือนตกอยู่ในสภาวะเดียวกับตัวละคร นั่นคือการสูญเสียความทรงจำเรื่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมา ด้วยการที่หนังเล่าผลลัพธ์ก่อนเหตุผล ทำให้ผู้ชมไม่สามารถตามต้นตอของปัญหาทั้งหมดได้ หนังใช้เทคนิคเล่าสลับกันระหว่างเหตุการณ์จากหลังไปหน้า (ก่อนหน้าที่ลีโอนาร์ดจะฆ่าชายคนหนึ่งและถ่ายรูป) กับเหตุการณ์จากหน้าไปหลัง (ที่เขากำลังสนทนากับใครสักคนในโทรศัพท์เรื่องแซมมี่) ซึ่งส่วนที่เราชอบมากๆคือ ทุกครั้งที่หนังขยับไปซีนต่อไป ผู้ชมจะอยู่ในสภาวะเดียวกับลีโอนาร์ดคือ “เราอยู่ที่ไหน?” คือเราไม่รู้เลยว่ามันจะเชื่อมต่อกับเหตุการณ์ก่อนหน้า และต่อไปยังไง เพราะทุกซีนจะจบที่การไปบรรจบกับจุดเริ่มต้นของซีนก่อน
ผลประโยชน์ของ Narrative Memento นี้คือผู้ชมจะได้เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดอยู่ตลอด เราจะได้เห็นการดิ้นรน หรือตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่างก่อน ถึงจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ซึ่งเราชอบมาก มีฉากหนึ่งที่ลีโอนาร์ดงงว่าตัวเองถือขวดไวน์ทำไม แต่ตัวเองไม่ได้เมา ก็เลยลุกไปอาบน้ำ ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่ามีคนเข้ามาเลยต่อสู้ป้องกันตัว เราไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านั้นมีอะไรเกิดขึ้น เราต้องดูปลายทางของเหตุการณ์ก่อนที่จะได้เห็นจุดเริ่มต้นของมัน ซึ่งมันทำงานมากๆ เพราะซีนต่อไปเราได้รู้ว่าจริงๆเขากำลังหนีการไล่ล่า และเดินทางมาดักอยู่ที่บ้านพักของชายคนนั้น ถือขวดไวน์เพื่อป้องกันตัวแต่แล้วก็สูญเสียความทรงจำไป – การดู เลยทดลองกับผู้ชมมากๆ มันไม่เหมือนกับหนังที่ตัวละครพูดว่า “จะเดินทางไปโรงแรมคืนนี้” แล้วซีนต่อไปคือภาพของเขากำลังเดินทางไปโรงแรม
แต่ใน เราจะได้เห็นเขาอยู่โรงแรม ก่อนจะได้เห็นว่าเขาเดินทางมายังไง และสุดท้ายค่อยรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องมาโรงแรม การเก็บหลักฐานแบบย้อนกลับเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากๆ แต่จริงๆสิ่งที่ทำให้สั่นสะเทือนกับใจเรา ไม่ใช่เทคนิคการเล่าแบบย้อนหลังไปหน้า แต่เป็นสิ่งที่ด้านหน้าเฉลยให้กับผู้ชมมากกว่า หนังพูดถึงอาการ “สูญเสียความทรงจำ” ที่เหมือนเป็นอุปสรรคให้ลีโอนาร์ดต้องรับมือกับสภาพร่างกาย และหลายๆครั้งก็ทำให้เขาต้องตั้งต้นอะไรหลายๆอย่างใหม่ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาติดอยู่ในวงโคจรของความเจ็บปวดคือการ “เลือกจำ” ของเขา เป็นกระบวนการที่เขาไม่สามารถรับมือกับความจริงที่เกิดขึ้น
จึงสร้างอีกเรื่องขึ้นมาให้เป็นความจริงใหม่ของเขาเอง หนังเฉลยว่าสุดท้ายแล้วปริศนาที่เขาพยายามตามสืบมาตลอดไม่มีคำตอบแท้จริง เพราะมันไม่ได้มีปริศนามาตั้งแต่ต้น ลีโอนาร์ดสร้างคดีสืบสวนของตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ชีวิตยังมีวัตถุประสงค์ในการดำรงอยู่ต่อไป เขาไม่เพียงแต่สร้างหลักฐานปลอมขึ้น แต่ยังปลอมแปลงความจริง พลิกขาวเป็นดำ ทั้งการเขียนว่าเท็ดดี้คือคนหลอกลวง หรือการผสมเรื่องของตัวเองเข้ากับ แซมมี่ เจนกินส์ ลูกค้าที่เขาเคยดูแล เมื่อสุดท้ายเราได้รู้ว่าปัญหาจริงๆของลีโอนาร์ดไม่ใช่อาการสูญเสียความทรงจำระยะสั้น แต่เป็นการไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น หนังจึงทรงพลังกับความรู้สึกเราทันที พร้อมๆกับเป็นการสรุปวงจรอุบาทว์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง
สั่นสะเทือนมายังฉากแรกของหนังที่เขาได้ฆ่าคนที่พูดความจริงทุกอย่างแก่เขา แม้หนังจะจบลงด้วยเหตุการณ์เริ่มต้น แต่เราก็เดาได้ไม่ยากว่าหลังสิ้นสุดเสียงปืน และการถ่ายภาพเก็บไว้ ท้ายที่สุด ลีโอนาร์ดก็จำเป็นต้องสืบสวนต่อไป Memento ตามหาฆาตกรที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อให้ชีวิตมีความหมายในแบบฉบับของเขาเอง คือนอกจาก Memento จะเป็นปฐมบทหนังเมียตาย เรายังรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นหนังที่เศร้าที่สุดของเขา คือเราดูแล้วไม่ได้อินไปกับชีวิตเขานะ แต่การมีชีวิตอยู่บนความโกหก หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยเรื่องราวที่ไม่มีอยู่จริงช่างเศร้าเหลือเกิน ลีโอนาร์ดรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างมีหลักฐาน แต่กระบวนความเจ็บปวด การไม่อาจยอมรับว่าตัวเองเป็นเหตุผลให้เมียเสียชีวิต ทำให้เขาต้องดึงหลักฐานบางอย่างออก แบบที่เท็ดดี้บอกว่าแฟ้มคดีมีจำนวนหน้าไม่ครบ
เราชอบที่หนังเขียนเส้นเรื่องตัวละครอื่นมาด้วย ชีวิตของลีโอนาร์ดที่ล่องลอยอยู่กับคำหลอกลวง พัดพาเขาให้กลายเป็นเครื่องมือให้กับคนอื่นๆที่ก็มีเรื่องราวของตัวเอง หญิงสาวทื่ต้องการให้เขาจัดการแฟนหนุ่ม, ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ต้องการให้เขาจัดการกับเจ้าพ่อค้ายา ลีโอนาร์ดไม่ได้มีชีวิตของตัวเองจริงๆอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าไปสานต่อจุดประสงค์ และความต้องการในชีวิตคนอื่นๆด้วย เราชอบ Subplot ตรงนี้มาก ตรงที่ท้ายที่สุดทุกอย่างคือเรื่องจริง ลีโอนาร์ดมีตัวตนในชีวิตคนอื่นแต่ไม่อาจมีชีวิตของตัวเองจริงๆได้
มาดูอีกรอบแล้วกลายเป็นเราชอบตอนจบของ Memento ที่สุดในหนังของโนแลน เราชอบการลำดับภาพในเรื่องนี้มากๆ ความรุนแรงของคัทติ้งที่ไม่ประนีประนอมในแบบเดียวกับการสูญเสียความทรงจำ หรือความจริงที่ยากจะรับมือไหว การที่หนังจบด้วยประโยค “Now.. Where Was I?” และตัดเข้า End Credit อย่างกะทันหันคือที่สุดของที่สุดจริงๆ รู้สึกว่าหนังใจร้ายมาก (หนังตัดโดย โดดี ดอร์น ซึ่งร่วมงานกับโนแลนอีกเรื่องใน Insomnia – ซึ่งเราลืมแล้ว) แต่ที่ต้องคารวะจริงๆคืองานภาพของ วอลลี ฟิสเตอร์ คือยิ่งดูยิ่งคิดถึงเขา ยิ่งอยากให้กลับมาร่วมงานกับโนแลนอีก (เราไม่ชอบงานภาพของฮอยเต้หลังๆเลย) เรารู้สึกว่างานของวอลลี่ Emotional มาก เขาสามารถเนรมิตความมโหฬารทางความรู้สึกได้เสมอ รักงานเขามากๆ
เหมือนจะได้ฉายที่ House Samyan ต่อนะ เห็นข่าวประกาศเมื่อวันก่อน ใครที่ชื่นชอบงานโนแลนยุคหลังๆ 2010’s อยากให้มาดูเรื่องนี้ เหมือนเป็นรากฐานทุกอย่างที่เขาเป็นในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของเทคนิคการเล่าเรื่อง จนถึงการดีไซน์ตัวละคร คิดถึงงานสเกลนี้ของโนแลน แม้รู้ว่าเขาคงไม่ได้กลับมาทำอะไรแบบนี้แล้วก็ตาม / เดี๋ยวว่างๆ จะหาโอกาสดูหนังเรื่องอื่นๆโนแลนด้วย อยากเขียนถึงเหมือนกัน
เรื่องราวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสร้างสรรค์มาอย่างดีเรื่องนี้เป็นหนังระทึกขวัญชั้นยอดที่เต็มไปด้วยความระทึกขวัญ ตัวละครที่ยอดเยี่ยม และรูปแบบการเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้ชมต้องใช้สมองบ้าง ไม่น่าแปลกใจที่คนทั่วไปจะมองข้ามเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุด (ถ้าไม่ใช่ดีที่สุด) ของปี 2000 กาย เพียร์ซโดดเด่นในบทนำของลีโอนาร์ด ชายที่เป็นโรคความจำเสื่อมระยะสั้นหลังจากอุบัติเหตุร้ายแรง ซึ่งหมายความว่าเขาจำอะไรไม่ได้เลยนานกว่า 20 นาที ดังนั้น เขาจึงถูกบังคับให้สักเบาะแสบนร่างกายและถ่ายรูปโพลารอยด์เพื่อเตือนตัวเองถึงภารกิจของเขา ซึ่งก็คือการตามล่าชายที่ข่มขืนและฆ่าภรรยาของเขาและฆ่าเขา
ความอัจฉริยะของหนังเรื่องนี้คือมันเริ่มต้นที่ตอนจบ (ลีโอนาร์ดเริ่มต้นหนังด้วยการฆ่าชายที่รับผิดชอบ) และย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ฉันค่อนข้างสงสัยว่ามันจะออกมาเป็นยังไง แต่ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนทำให้ตัวเองภูมิใจ รูปแบบการเล่าเรื่องจะเน้นไปที่ฉากจบหนึ่งฉากและฉากต่อไปจบลงที่จุดเริ่มต้นของฉากก่อนหน้า ในตอนแรกอาจดูสับสน แต่ไม่ต้องกังวล เพราะโนแลนจะค่อยๆ ดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ
เพื่อให้ผู้ชมมีเวลาทำความคุ้นเคยกับวิธีการนี้ก่อนที่จะโจมตีด้วยตัวละครสองหน้า Memento การพลิกผันของเนื้อเรื่อง และสถานการณ์ที่ตึงเครียด ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความระทึกขวัญอย่างมากตรงที่คุณสามารถเข้าไปอยู่ในหัวของลีโอนาร์ดได้จริงๆ และเข้าใจความทุกข์ยากของเขาได้ เรื่องราวที่ไม่ธรรมดานี้ทำให้เกิดสถานการณ์และแนวคิดที่น่าสนใจมากมาย นอกจากนี้ยังมีตอนจบที่หักมุมอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ (หรือว่าจะเป็นตอนเริ่มต้น?) ซึ่งให้รางวัลแก่ผู้ชมสำหรับการรับชม และดีพอๆ กับที่ฉันเคยดูมาก่อน (THE USUAL SUSPECTS หรืออื่นๆ) ภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยมในด้านเทคนิค นักแสดงสมทบก็ยอดเยี่ยม และฉันไม่เข้าใจว่าทำไมโนแลนหรือเพียร์ซถึงไม่ได้รางวัลออสการ์จากบทบาทของพวกเขาในเรื่องนี้ รีบหามาดูเลยตอนนี้
หากผู้กำกับภาพยนตร์อิสระเรื่องนี้พยายามทำให้เรารู้สึกสับสนจริงๆ เช่น ตัวละครหลัก เขาก็ทำได้ยอดเยี่ยมมาก มีภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องเช่นนี้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ประเภทที่ทำให้คุณสนใจทุกนาทีของเรื่อง เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผลตลอดเวลา แต่กรณีนี้เป็นข้อยกเว้น กำกับได้ดีมาก มีการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมและนักแสดงที่ยอดเยี่ยม การแสดงของนักแสดงหลักนั้นยอดเยี่ยมมาก เราเชียร์ผู้ชายคนนี้จริงๆ Memento เพราะเราเกลียดคนที่พยายามเอาเปรียบเขา ภาพยนตร์ต้นฉบับเช่นนี้มักจะโดดเด่น บางทีอาจไม่ได้รับความสนใจมากนักในตอนแรก แต่ตอนนี้มันอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญใน 250 อันดับแรกของ IMDb และนั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่จะจำภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมได้เมื่อพวกเขาได้ชม อย่างที่ฉันได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างน่าสับสนเนื่องจากดำเนินเรื่องย้อนกลับในขณะที่ฉากขาวดำดำเนินเรื่องตามลำดับเวลา แต่ไม่ใช่กลเม็ดราคาถูกเพื่อทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีสติปัญญา” มากขึ้น แต่เป็นจุดแข็งของมัน ภาพยนตร์หายากที่ไม่ควรพลาด
ฉันใช้เวลาค่อนข้างนานในการค้นคว้าเกี่ยวกับสมองสำหรับชั้นเรียนที่ฉันสอนอยู่ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือแนวคิดเรื่องความจำระยะสั้น มีหลายกรณีที่ผู้คนพกกระเป๋าเดินทางติดตัวไปด้วย ซึ่งภายในมีสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาต้องทบทวนอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้และอ่านบทวิจารณ์ที่ค่อนข้างคลุมเครือ ฉันเช่าภาพยนตร์เรื่องนี้มาดูเพราะฉันรู้ว่าครอบครัวของฉันคงไม่สนใจเรื่องความรุนแรงนี้ ดึกมาก ฉันจึงนั่งดูหนังเรื่องนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันต้องดูมันอีกครั้ง แต่ตอนนี้มันอาจติดอยู่ในรายชื่อสิบอันดับแรกของฉันก็ได้
ครั้งสุดท้ายที่ฉันหลงใหลในภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งมากคือเรื่อง “The Conversation” ของ Coppola ทั้งสองเรื่องนี้ค่อนข้างหดหู่และน่าสับสนในบางครั้ง แต่ก็ชวนติดตามอย่างยิ่ง ฉันไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมใครๆ ถึงเบื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ในเมื่อทุกวันนี้มีแต่เรื่องไร้สาระ ฉันรู้ดีว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่มีกลอุบาย ฉันรู้ว่ามันเป็นการหลอกลวง แล้วไงล่ะ? ไม่ใช่ว่าหนังทุกเรื่องจะบงการเรา โดยเฉพาะหนังที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความตื่นเต้น ฉันรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น และฉันแทบรอไม่ไหวที่จะดูว่ามันจะจบลงอย่างไร
ในตอนแรกมีคำถามมากมายว่าทำไมถึงทำร้ายตัวเอง ทำไมคนถึงปฏิบัติกับผู้ชายคนนี้แบบนี้ เขาอยู่ที่ไหน เขาไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร เขาทำงานให้ใคร เขาทำงานให้ใครจริงๆ หรือไม่ แต่ถึงกระนั้น ฝีมือของเขาก็ทำกันหมด ฉันคิดว่าถ้าคุณอยากจะเริ่มจับผิด Memento คุณอาจจะเจอความไม่สอดคล้องกันสองสามอย่างก็ได้ ซึ่งไม่ได้ลดทอนวิธีที่ตัวละครหลักลอยจากคู่หนึ่งไปอีกคู่หนึ่ง พยายามฟื้นความทรงจำของเขาทุกครั้งที่เผชิญกับวันใหม่ สิ่งเดียวที่ฉันจะยอมรับคือการลงทุนทางอารมณ์ที่จำเป็นสำหรับการแก้แค้น แต่เนื่องจากเขารู้ถึงจุดบกพร่องของตัวเอง เขาจึงรู้สึกว่าต้องแสดงออกมา หากคุณเบื่อหนังส่วนใหญ่ในสมัยนี้ ลองเช่าเรื่องนี้มาดู แล้วมันจะส่งผลต่อคุณไปอีกนาน
ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
The Diary (2024) ปริศนา สมุดขุดอดีต
6.8