Mad Max Fury Road (2015) แมด แม็กซ์ ถนนโลกันตร์
mad max fury road เรื่องย่อ
ภาพยนตร์ mad max แมด แมกซ์ต้องถูกอดีตหลอกหลอน เขาเชื่อว่าว่าวิธีเดียวที่เอาชีวิตรอดได้ดีที่สุดคือการออกเดินทางอย่างลำพัง แต่ยังไงก็ตามเขาต้องเข้าไปอยู่กับลุ่มผู้หลบหนีข้าม Wasteland ใน War Rig ที่บังคับโดยอิมเพอเรเตอร์ผู้มากความสามารถอย่างฟูริโอซ่า พวกเขาต้องหนีออกจาก Citadel ที่อิมมอร์แทน โจปกครองอย่างกดขี่ ซึ่งสิ่งที่มิอาจทดแทนได้กลับถูกริดรอนไป Enraged เดอะ วอร์ลอร์ดรวมตัวกองกำลังและออกตามล่าผู้ก่อกบฏด้วยความโหดเหี้ยมในสงครามกลางถนนไฮออคเทนที่ตามมา
ผู้กำกับ mad max furiosa
จอร์จ มิลเลอร์
บริษัท ค่ายหนัง
- Village Roadshow Pictures
- Kennedy Miller Mitchell
- RatPac-Dune Entertainment
mad max fury road นักแสดง
- ทอม ฮาร์ดี
- ชาร์ลิส โตรน
- นิโคลัส เฮาลต์
- ฮิวจ์ คียส์-เบิร์น
- โรซี่ ฮันทิงตัน-ไวท์ลีย์
- ไรลีย์ คีโอ
- โซอี้ คราวิทซ์
- แอบบี ลี เคอร์ชอว์
- คอร์ทนีย์ อีตัน
โปสเตอร์หนัง
mad max fury road รีวิว สปอย
หนังโปรดของข้าพเจ้า
รีวิว Mad Max: Fury Road (2015) | Mad Max mun max max
ความเห็นสั้น ๆ สำหรับคนขี้เกียจอ่านยาว ๆ คือ “เป็นหนังแอ็คชั่นที่มันแบบสร้างสรรค์มาก อยากดูหนังมัน ๆ ก็ซื้อตั๋วไปดู Mad Max ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว” ส่วนใครจะอ่านเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่ผมเชียร์หนังเรื่องนี้ก็อ่านต่อได้เลยครับ
1) Mad Max ยังคงเอกลักษณ์เดิมจากสมัยที่เป็น pop culture ของต้นยุค 80s ตั้งแต่ โลกดิสโทเปีย (โลกล่มสลาย), มีรถแต่งเจ๋ง ๆ ไว้ไล่ล่ากลางทะเลทราย, การต่อสู้เต็มไปด้วยความรุนแรง, ผู้หญิงถูกกดขี่ข่มเหง ซึ่งการที่ผู้กำกับเติบโตมีประสบการณ์มากขึ้น จึงได้เห็นการเอาเสน่ห์เดิม ๆ มาประยุกต์ใหม่ เช่นความรุนแรงต่อเพศหญิงก็ถูกหลีกเลี่ยงให้เห็นภาพอ้อม ๆ, รถแต่งไล่ล่าที่กลายเป็นความนิยมของแฟรนไชส์ก็ถูกนำเสนอใหม่ด้วยไอเดียที่บ้าคลั่งกว่าเดิม, เล่าปมตัวละครหนักแน่นเหมือนเดิมแต่ไม่ชวนเบื่อ ผลลัพธ์ที่ได้จึงลงตัวมาก
2) ความแข็งแกร่งแรกของหนังเลยคือการสร้างโลก post-apocalyptic ได้สมจริงมาก โลกในหนังคือโลกของการแย่งชิงน้ำเพื่อประทังชีวิตและหาน้ำมันไว้ใช้เติมรถไปออกไล่ล่า ผู้คนต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ใครตัวคนเดียวแบบ ‘แม็ก’ (Tom Hardy) ก็มีโอกาสถูกไล่จับเอาเลือดไปให้พวก war boys ที่คลั่ง ๆ ท่านผู้นำที่โฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพตัวเองราวกับเป็นพระเจ้า ส่วนผู้หญิงก็ถูกจับไปปั๊มลูกเสริมทายาทผู้นำ แล้วบรรยากาศทะเลทรายสุดลูกหูลูกตชนิดที่ไม่มีตึกรามบ้านช่องเหมือนสมัยไตรภาคเก่ายังช่วยเสริมให้ Mad Max เป็นโลกล่มสลายมากยิ่งขึ้นไปอีก
3) พูดถึง war boys แล้วเราสนใจทัศนคติของตัวละครเหล่านี้มาก หนังบอกเล่าสถานะของ war boys ผ่าน ‘นักซ์’ (Nicholas Hoult) เด็กหนุ่มที่มีความฝันจะรับใช้ผู้นำ อยากออกไปขับรถซิ่งไล่ล่าเป็นพวกบ้าสงคราม และยังเชื่อว่าการพลีชีพคือการกระทำอันสูงส่งที่จะทำให้ตัวเองได้รับการยอมรับทั้งจากโลกที่อาศัยและโลกหลังความตาย เราชอบที่หนังเรียกคนกลุ่มนี้ตรง ๆ ว่า war boys มันเสียดสีพวกบ้าสงครามในโลกนี้ได้ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเพราะถูกปลุกปั่นจากโฆษณาชวนเชื่อหรือถูกปลูกฝังมาผิด ๆ แต่เชื่อเถอะว่าลึก ๆ แล้วพวกเขาแค่รอเวลาออกไปเห็นโลกมากขึ้น ได้ไตร่ตรองด้วยตัวเองจากการร่วมรบทุกครั้ง ที่สุดแล้วสงครามจะทำให้เขาเติบโตและคิดได้เองว่า่อะไรคือสิ่งที่ควรทำ นั่นจึงทำให้ตัวละครของ ‘นิโคลัส ฮอลท์’ มีมิติความเปลี่ยนแปลงลุ่มลึกมากกว่าตัวละครของ ‘ทอม ฮาร์ดี้’ เสียอีก
4) บทของ ‘ทอม ฮาร์ดี้’ ถูกหยอดปมมาเพียงความรู้สึกผิดในอดีตได้กลายมาเป็นสิ่งหลอกหลอนเขาตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลงของเขาก็คือการตัดสินใจช่วยเหลือ ‘ฟูริโอซ่า’ (Charlize Theron) พากลุ่มหญิงสาวหลบหนีจากการถูกตามล่า ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเขาจะไม่ยอมรู้สึกผิดแบบที่เคยทอดทิ้งผู้คนที่ผ่านมา
5) หนังเลือกจะตัดการขายฉากความรุนแรงต่อเพศหญิงโดยตรงออกไป ซึ่งบอกเลยว่า “คิดถูกแล้ว” หนังนำเสนออ้อม ๆ ว่าเหล่าสาวสวยในเรื่องล้วนถูกกดขี่ข่มเหงมีสถานะเป็นเพียงเครื่องปั๊มเด็ก การที่หนังไม่ใส่ฉากข่มขืน ไม่ใส่ฉากร่วมเพศแบบสมัยก่อนจึงเป็นสิ่งที่เรารู้สึกดีกับหนังมากขึ้น เพราะจะได้มีเวลาไปประเคนให้กับฉากแอ็คชั่นสุดเร้าใจ
6) มาถึงไฮไลท์เด็ด เราซื้อตั๋ว Mad Max ก็เพื่อไปดูแอ็คชั่นสุดบรรเจิดเลิศล้ำสร้างสรรค์ อันที่จริงมันเป็นสไตล์แอ็คชั่นแบบยุค 80s ที่ขายระเบิดตูมตามวินาศสันตะโรเป็นหลัก แต่หนังสามารถหาทางเอาสไตล์เชย ๆ แบบนั้นมาขายใหม่ได้ชวนตื่นตาเหลือเกิน โดยเฉพาะการออกแบบฉากแอ็คชั่นแต่ละฉาก ไม่ว่าจะเป็นการขี่มอเตอร์ไซค์ผาดโผนกระโดดจากซ้ายไปขวาพร้อมพุ่งหอกเข้าใส่เป้าหมายจากมุมสูง, ฉากบู๊มือเปล่าก็ใช้ประโยชน์จากโซ่ล่ามและพันธะต่าง ๆ ได้ดี
7) ชอบการออกแบบรถทั้งหลาย โดยเฉพาะลูกเล่นความแตกต่างของรถแต่ละคันเพื่อใช้ในแต่ละสถานการณ์(รวมทั้งลูกบ้าการดีไซน์รถแต่ละคันที่ดูเถื่อน ดูน่าเกรงขาม), ลูกบ้าการออกแบบอาวุธติดตัวต่าง ๆ ที่ดูอันตรายพร้อมใช้งานตามสถานการณ์ ในภาพรวมแล้วคงจะบอกได้เพียงว่างานเขาเลิศจริง ๆ
😎 การกำกับภาพนี่ไม่พูดถึงไม่ได้จริง ๆ เลิศมากกกกกกกก ภาพสวยมากกกกกก ในบรรดาหนังที่เซ๊ทฉากเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาช่วง 2-3 ปีมานี้แบบ Oblivion ที่ผมว่างามแล้ว เรื่องนี้งามกว่าทั้งกลางวันทั้งกลางคืน เปิดดูเครดิตละ ผลงานกำกับภาพโดย ‘John Seale’ เคยชนะออสการ์ครั้งเดียวจากการกำกับภาพ The English Patient (1996) ซึ่งก็เป็นทิวทัศน์ทะเลทราย
ไม่ต้องเคยดูไตรภาคเก่าสักภาคก็มันได้!
Director: George Miller
screenplay: George Miller, Brendan McCarthy, Nick Lathouris
Genre: action, thriller, adventure, sci-fi
8.5/10
ขอบสหนัง
รีวิวสั้นๆ Mad Max Fury Road (2015) แมด แม็กซ์ ถนนโลกันตร์
คะแนน Furiosa = Fury Road
เราต้องทำอย่างไร ให้เราเป็นคนที่เก่งและมีพลังในตอนที่เราใกล้จะ 80 ปี แล้วสามารถทำหนังที่มีพลังแบบนี้ได้วะเนี่ยยยย
Furiosa คืออีกรสชาติที่แตกต่างออกไปจาก Fury Road เพราะในขณะที่ Fury Road เต็มไปด้วยแอคชั่นบ้าพลัง NONSTOP แบบไม่ค่อยมีเส้นเรื่องมากนัก แต่ Furiosa เลือกที่จะใช้แอคชั่นบ้าพลัง NONSTOP ในการเล่าเส้นเรื่องแทน ซึ่งมันทำได้ดีด้วย และทำให้หนังมีหัวใจจากตัวละครส่งถึงคนดูอย่างเรามากๆ แม้ฉากแอคชั่นอาจจะมีโดนลดทอนไปบ้างจากภาคที่แล้ว แต่ทุกๆฉากแอคชั่นมันก็ทำดีทำถึง ทำแบบหากเราดูหนังแอคชั่นไล่ล่าเรื่องต่อๆไปจากเรื่องนี้ แม่งก็คงยากจริงๆ ที่จะผ่านเส้นมาตราฐานจากเรื่องนี้ไปได้
ดีใจที่ Chris Hemsworth ในที่สุดก็มีบทเจ๋งๆกับเขาแล้วววว บทของเขาในเรื่องคือเจ๋งสัส จะดูเก่งก็ไม่เก่ง จะดูกระจอกก็ไม่ คือมันดูเป็นมนุษย์ปุถุชนจริงๆ
ส่วน Furiosa ที่นำแสดงโดยน้องจอย น้องดีงามมากเรื่องนี้ คือแต่งหน้าให้ไม่สวย แต่น้องก็ยังสวยมากๆ แต่ที่ผมชอบไปกว่านั้นคือน้องจอยตอนเด็กที่นำแสดงโดย Alyla Browne น้องแบบโดดเด่นมากกกก
อย่างสุดท้าย ถ้าคุณรักในการชมภาพยนตร์ Furiosa คืออีกหนึ่งเรื่องที่ควรไปอยู่ในลิสต์หนัง ที่คุณควรดูมันก่อนตาย
ตอนนี้ปีนี้ผมให้เรื่องนี้นำ Dune Part 2 ไปเลย สำหรับความระทึกใจที่สะใจคนดูอย่างผมยิ่งหนัก
ปล.เห็นคนบ่น CG เอาจริงๆ ผมดูบนจอ IMAX ผมก็ไม่ได้รู้สึกติดขัดใดๆนะ มันก็ยังอยู่ในมาตราฐานที่เราสามารถพูดว่าดีได้อย่างเต็มปากแบบไม่ได้รู้สึกเขินใดๆ
ไงเรี่องนี้ควรดูบนจอ IMAX นะ แม้หนังจะไม่เต็มจอ แต่เสียงที่ขับจากโรง IMAX โคตรคุ้มค่า!!
Amadeuz Wolfgang
[CR] [Review] Mad Max : Fury Road ถนนนรกโลกันตร์ โคตรระห่ำ {ไม่สปอย}(ตอบข้อสงสัยไม่เคยดู Mad Max แล้วรู้เรื่องไหม)
นานๆทีจะมาเขียนรีวิวหนัง แต่สำหรับเรื่องนี้ต้องขอจัดสักครั้งนึง
ปกติจะชอบดูหนังที่มีความพิเศษ หนังที่ดูแล้วกลั่นออกมาจากความตั้งใจ ความคลั่งไคล้ของคนสร้าง ดูแล้วจะรู้แล้วว่าเป็นหนังดี
Mad Max:Fury Road คือหนังที่เป็นความอัดอั้น ความคลั่งไคล้ในจินตนาการที่สรรสร้างขึ้นมานานกว่า 30 ปี ของ George Millers นับตั้งแต่ที่สร้าง Mad Max:Beyond Thunderdome ตั้งแต่สมัย 1985 เคยได้ยินข่าวมาว่ากว่าภาค Fury Road จะออกฉายต้องถูกเลื่อนถัดไปๆหลายครั้ง ไม่ว่าจะมีปัญหาที่หนังทำงบจนเกินทุนบ้างแล้ว ยื่น footage ให้ Warner Bros ดูจน producer ยอมปันใจอัดฉีดงบให้อีก และปัญหาเรื่องการตัดต่อบ้างมีการถ่ายทำแก้หลายครั้ง ลองคิดดูหนังที่ผู้สร้างได้เปิดโอกาสใส่จินตานาการความคิดของเขาได้เต็มที่ ทั้งได้รับการสนับสนุนเงินทุน และได้ rated R อีกต่างหาก กว่าที่เวลานี้หนังจะมาออกฉายได้ ถ้าไม่รัก ไม่ตั้งใจ ไม่คลั่งไคล้ของ Millers ก็ไม่รู้จะพูดยังไง
มาภาคนี้ Millers เอาความอัดอั้นนั้น มาระเบิดตูมๆๆๆๆ ใส่คนดูอย่างเต็มสตรีม นั่นแหละคือความพิเศษที่ผมเจอขณะที่ดู Mad Max:Fury Road และต้องบอกเลยว่าหนังบ้าเรื่องนี้มันสุดติ่ง วินาศสันตะโรจริงๆ
George Millers นับเป็นผู้กำกับที่เหนือชั้นมาก และยอมรับว่าแกเป็นคนทำหนังประเภทนี้ได้เก่งทีเดียว (ถ้าไม่นับกับที่เคยมัวแต่ไปทำหนังเพนกวินเต้นได้อย่าง Happy Feet นะ)
สำหรับบทดำเนินเรื่อง Mad Max:Fury Road จะไม่ได้เน้นหรือโดดเด่นอะไรมากนัก ไม่มีพล็อตที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ชิงไหวชิงพริบอะไร เนื้อเรื่องคร่าวๆ ก็คือการที่นางเอก (Charlize Theron) แสดงเป็น Furiosa มาช่วยเหล่า The Brides หรือเหล่าทาสสาวแม่พันธุ์ของดินแดนนรกหนึ่ง ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของ Immortan Joe(Hugh Keays-Byrne) และสมุน เพื่อไปหาที่ที่ใหม่ ที่ดีกว่า ท่ามกลางโลกที่ล่มสลาย ที่ต่างคนต่างคลั่งแย่งชิงน้ำมัน น้ำที่มีอยู่ ซึ่ง Furiosa ก็ได้รับความช่วยเหลือจาก Max (Tom Hardy) จากปฏิบัติการกระตุกหนวดยักษ์นี้
กว่า 70-80% ของเรื่องคือฉากการขับรถไล่ล่าอย่างต่อเนื่องของกองทัพ Immortan Joe ไล่ล่ากับแก้งค์ Max/Furiosa เพื่อชิงตัว The Brides กลับมา สำหรับบทพูด dialog หนังเรื่องนี้จะมีไม่มาก เพราะหนังจะเน้นการเล่าเรื่องด้วยภาพ เล่าเรื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และผมคิดว่านี่คือหัวใจสำคัญของหนังแอ็คชั่นไม่ใช่ฤา? หนังแอ็คชั่นที่ควรตอบใจทย์ของการขับเคลื่อนอารมณ์โดยไม่ต้องมีบทพูดมากมาย แค่สิ่งที่เห็นตรงหน้าแล้วให้คนดูอ้าปากค้างได้ และลุ้นระทึกไปกับหนัง มันก็ยอดเยี่ยมสำหรับหนังแอ็คชั่นแล้ว และ Mad Max ทำจุดนี้ได้อย่างดีมาก ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะไม่เน้นเรื่องการดำเนินเรื่อง แต่ตัวร้ายนับว่าน่ากลัว น่าเกรงขาม ไม่กิ๊กก็อกเหมือนหนังบางเรื่องแถวๆนี้ และถึงแม้ plot เรื่องไม่มีอะไรมาก แต่หนังก็ถูกกลบข้อด้อยด้วยการแสดงเข้าขั้นของนักแสดงต่างๆ (Tom Hardy, Charlize Theron, Hugh Keays-Byrne, Nicholas Hoult)
สิ่งที่ทำให้อ้าปากค้างจริงๆ คือฉากแอ็คชั่น effect เสียง soundtrack ที่เร้าอารมณ์ได้อย่างดีไปกับเหตุการณ์ เทคนิคการถ่ายทำที่เกิดขึ้น มันช่างอลัง สวยสดงดงามอย่างมาก ด้วยเหตุที่ว่า George Millers ใช้ practical effect หรือ effect ที่เกิดจากการแสดง stunt จริง รถของจริง มีคนแสดงผาดโผนจริง ใช้ CGI เป็นส่วนน้อย และใส่ palette สีจัดๆ มันทำให้ดูแล้วสมจริง และสวยงามมากๆ หลายครั้งที่อดไม่ได้กับการชื่นชมไปกับงานศิลป์ในตัวหนัง พร้อมๆกับลุ้นระทึกไปกับหนังด้วย (ตอนดูก็นึกไปว่าระหว่างที่การถ่ายทำมีคนเสียชีวิตบ้างเปล่าเนี่ย เพราะฉากผาดโผนหลายฉากมันหวาดเสียวมาก)
และผมว่านี่คือสิ่งที่ขาดหายไปสำหรับหนังแอ็คชั่นสมัยนี้ ที่คนในวงการหลายคนต่างก็เพลิดเพลินหลงไปกับ CGI ไปเน้นกับการวางพล็อตที่เอาใจ fanbase มากไป จนหลงลืมไปว่าเมื่อก่อนที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ดูหนังสนุกกันมันเพราะอะไร หรือที่หนังในตำนานหลายเรื่อง ที่ปัจจุบันนี้หยิบมาดูอีกครั้งมันก็ดูได้สนุกอยู่ George Millers เคยสร้าง Mad Max:Road Warrior ให้เป็นหนังแอ็คชั่นบรมครู ที่หนังหลายเรื่องในสมัยนี้ต่างหยิบมาใช้กัน มาวันนี้ George Millers กลับมาอีกครั้งและมาทำ Mad Max Fury Road เป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับหนังแอ็คชั่นในอนาคต เพื่อมาย้ำเตือนสิ่งที่หนังสมัยนี้ขาดหายไป กลับมาเติมเต็มอีกครั้ง
สำหรับข้อสงสัยที่ถามกันบ่อยว่า ถ้าไม่ดู Mad Max มาก่อนเลยจะดูรู้เรื่องไหม? คือผมเคยดูภาค Road Warrior และ Beyond Thunerdome มาก่อน โดยที่ไม่ดูภาคแรกเลย ก็รู้เรื่องนะ และมาตอนนี้มาดู Mad Max : Fury Road ผมแทบไม่มีความรู้สึกถึงความ connection อะไรระหว่างภาคนี้กับภาคก่อนๆเท่าไหร่ ส่วนตัวคิดว่า Fury Road คือ ภาคต่อก็ใช่ หรือ reboot ใหม่ก็ใช่ มันแล้วแต่ที่คนคิดกัน
หรือพูดโดยสรุปจริงๆคือ Mad Max แต่ละภาคเป็นหนังที่เล่าเรื่องจบในภาคเดียว โดยแต่ละภาคก็มีเนื้อเรื่องแต่ละภาคของมันเอง ดังนั้นถ้าไม่เคยดู Mad Max มาก่อน มาดู Fury Road ก็รู้เรื่อง 100% แน่นอน
หนึ่งประโยคที่ผมหลุดออกมาระหว่างที่ดู Mad Max:Fury Road “คุณพระ คุณจ้าวว!!! O_O” ใช่ครับ…หนังมันบ้าระห่ำขนาดนั้นจริงๆ
คะแนน : A
ดูหนัง ออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Mad Max 2 The Road Warrior (1981) แมดแม็กซ์ 2
Furiosa A Mad Max Saga (2024) ฟูริโอซ่า มหากาพย์แมดแม็กซ์
Mad Max 1 (1979) แมด แม็กซ์ ภาค 1
Mad Max 3 Beyond Thunderdome (1985) แมดแม็กซ์ 3 โดมบันลือโลก
7.1