ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix
บาคาร่า ออนไลน์
สล็อตเว็บตรง

Jason Bourne (2016) ยอดจารชนคนอันตราย

2 คะแนน

ตัวอย่าง

Jason Bourne (2016) ยอดจารชนคนอันตราย

Jason Bourne (2016) ยอดจารชนคนอันตราย

เรื่องย่อ

Jason Bourne (2016) ยอดจารชนคนอันตราย กลับมาคราวนี้ เจสัน บอร์น มาพร้อมกับความทรงจำ แม้ว่าจะจำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างเสมอไป ภาคนี้ทิ้งห่างจากภาคก่อนถึง 9 ปี โดย พอล กรีนกราสส์ ผู้กำกับภาพยนตร์บอกว่า “กว่าจะกลับคราวนี้ใช้เวลานาน เพราะเรายังไม่ได้บทที่โดนใจ” และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เจสัน บอร์น ไม่ได้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ จึงไม่ต้องใส่หน้ากากหรือผ้าคลุม เขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผมคิดว่าตอนที่คนดูเจสัน บอร์น พวกเขาสามารถจินตนาการได้ว่าจะตอบโต้กับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมได้อย่างไร มันตื่นเต้นมากเวลาที่คุณเห็นเขาคิดแผนการและเริ่มปฏิบัติการตามแผน” ในภาคนี้ แมตต์ เดม่อน จะประกบคู่กับ อลิเชีย วิกันเดอร์ นักแสดงสาวรางวัลออสการ์ปีล่าสุด พร้อมด้วย จูเลีย สไตล์ และทอมมี่ ลี โจนส์ โดย แฟรงค์ มาร์แชล กลับมาดูแลงานสร้างร่วมกับเจฟฟรีย์ ไวเนอร์ จากแคปทิเวท เอนเตอร์เทนเมนท์ นอกจากนี้ กรีนกราสส์, เดม่อน, เกร็กกอรี กู๊ดแมน และเบน สมิธ ยังร่วมสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

ผู้กำกับ

พอล กรีนกราส

บริษัท ค่ายหนัง

  • The Kennedy/Marshall Company
  • Captivate Entertainment
  • Pearl Street Films
  • Perfect World Pictures

นักแสดง

  • แม็ตต์ เดม่อน
  • จูเลีย สไตส์
  • อาลีเซีย วิคันเดอร์
  • ทอมมี่ ลี โจนส์
  • แว็งซ็อง กาแซล

โปสเตอร์หนัง Jason Bourne (2016) ยอดจารชนคนอันตราย

Jason Bourne (2016) - IMDb

Jason Bourne (2016) - IMDb

Jason Bourne (2016) - IMDb

รีวิวหนัง

หนังโปรดของข้าพเจ้า

Jason Bourne (2016)

อันที่จริงเราก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกันที่เห็นเจสัน บอร์นคนเดิมกลับมาโลดแล่นอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน 9 ปี แต่อีกมุมหนึ่งแฟรนไชส์ Bourne มันก็ควรจะจบตั้งแต่ความพีคขึ้นหิ้งของ Ultimatum ละ เพราะพอทำภาคต่อออกมาก็ต้องยอมรับว่างานไม่ยอดเยี่ยมเท่าเก่า ดูจบแล้วก็เฉย ๆ ไม่มีอะไรให้จดจำถึงแม้เอกลักษณ์หลายอย่างจะยังคงอยู่เป็นลายเซ็นของหนังบอร์นก็ตาม

หลังจากจบเรื่องกับ CIA ในภาคก่อน ‘เจสัน บอร์น’ (Matt Damon) ใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้ดินมาตลอดจนกระทั่ง ‘นิกกี้’ (Julia Stiles) ได้แฮ็คข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวโยงไปถึงอดีตบางอย่างของเขา และการแฮ็คครั้งนี้ทำให้ทั้งสองถูกไล่ล่าจาก CIA คือ ‘ดิวอี้’ (Tommy Lee Jones) หัวหน้า CIA ที่ต้องการกำจัดเขาให้พ้นทาง ที่มีมือขวาคือ ‘ลี’ (Alicia Vikander) ที่เชื่อว่าตัวเองสามารถกล่อมบอร์นกลับมารับใช้ชาติได้

ประเด็นในหนังอัพเดททันโลกอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับการที่รัฐบาลขออำนาจเอกชนในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานโดยอ้างเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยประเด็นที่น่าสนใจคือการเปรียบเปรยว่าการที่เอกชนปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเท่ากับเพิ่มความยากลำบากในการป้องกันประเทศ แต่ส่วนนี้ก็เสียดายที่หนังไม่ได้เน้นย้ำหรือต่อยอดจากความขัดแย้งดังกล่าว จึงลงเอยด้วยการเป็นพล็อตเบา ๆ ที่แทรกให้บทหนังสามารถสร้างฉากแอ็คชั่นได้เท่านั้นเอง

ปกติในภาคก่อน ๆ จะต้องมีฉากแอ็คชั่นระดับ masterpiece ให้เราหยิบมาดูซ้ำไม่รู้เบื่อได้ตลอด เช่นสู้กันในปารีสภาคแรก, ฉากม้วนนิตยสารในภาคสอง หรือฉากดวลดิบที่โมร็อคโคในภาคสาม ส่วนภาคนี้ฉากทีพอจะหยิบมาดูซ้ำได้คงเป็นการดวลตัวต่อตัวระหว่างบอร์นกับแอสเสท (Vincent Cassel) มือสังหารที่ตามไล่ล่าบอร์นมาตั้งแต่ต้นเรื่อง เป็นฉากต่อสู้ระยะประชิดที่เรารู้สึกว่าโอเคที่สุดของหนังแล้วเพราะที่เล่ามาทั้งเรื่องแทบจะไม่มีฉากบู๊จริง ๆ จัง ๆ เลย

ไหวพริบของบอร์นอันเป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม บอร์นคนเดิมยังคงหยิบจับทุกสิ่งอย่างรอบตัวมาเป็นอาวุธหรือป้องกันตัวได้ตลอด รวมถึงสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว เรายังคงรู้สึกว่าบอร์นฉลาดทันเกมอีกฝ่าย แต่ในหลาย ๆ ครั้งกลับเป็นคนเขียนบทที่ไม่ฉลาดและขาดไหวพริบในการเขียนบทเสียเอง โดยมีอยู่สองฉากที่ไม่ make sense เลยสำหรับเราคือตอนแอสเสทหนีจากดาดฟ้าทั้ง ๆ ที่มีเฮลิคอปเตอร์ส่องไฟอยู่ตลอด (หนังบอกว่าไต่ท่อข้างตึกหนีไปแต่คือพี่ไม่ว.บอกตำรวจที่กรูกันเข้าไปหรอ) กับตอนบอร์นหนีออกจากตึกก็ดูหน่วยจู่โจมจะขาดไหวพริบทำให้เป็นฉากที่หนีได้ง่ายดายเหลือเกิน (ยกตัวอย่างการเขียนบทมีไหวพริบคือภาคที่บอร์นโทรแจ้งตำรวจท้องถิ่นว่ามีคนพกอาวุธ)

car chase หรือฉากขับรถไล่ล่าอันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญที่หนังบอร์นต้องมีทุกภาคยังคงวินาศสันตะโรเช่นเคยแต่ดูแล้วกลับไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด กลายเป็นฉากขับรถสปอร์ตไล่ล่ารถบรรทุกหน่วยสวาทที่จืดชืด ทั้ง ๆ ที่เป็นฉากใหญ่ถ่ายทำเฉพาะตอนกลางคืนนาน 5 สัปดาห์รถพังไปกว่า 170 คัน

โดยสรุปแล้ว Jason Bourne ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่มันก็ไม่ได้ดีพอจะไปเทียบกับภาคก่อน แอ็คชั่นที่น้อยลงอาจจะเกิดจากอายุที่มากขึ้นของแมตต์ เดม่อน ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าการฟิตร่างกายเป็นเรื่องยากสำหรับคนวัย 46 ปีเช่นเขา ถ้าเป็นแฟนบอร์นอยู่แล้วยังไงก็ต้องบอกว่าดูไปเถอะ ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟนบอร์นก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะเริ่มต้นดูภาคนี้แล้วค่อยไปย้อนดูภาคก่อน ๆ ที่ดีกว่า

Director: Paul Greengrass (ผกก. Captain Phillips, The Bourne Ultimatum)

screenplay: Paul Greengrass, Christopher Rouse

Genre: action, thriller

7/10

Jurassic Boy

[CR] [#Review] Jason Bourne ยอดจารชนคนอันตราย – ภาคต่อที่กลับมาพร้อม Action โคตรมันส์ แต่เนื้อเรื่องโคตรซ้ำ

Jason Bourne (2016)
คะแนน 7.5 / 10
..

การกลับมาอีกครั้งของ Jason Bourne หลังจาก ภาคที่แล้ว มีการแยกเส้นเรื่องออกไป แล้วกระแสตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร การกลับมาคราวนี้ ได้ Matt Damon กลับมารับบทบาทเดิม รวมทั้งผู้กำกับ Paul Greengrass ที่กลับมารับหน้าที่ผู้กำกับเช่นกัน

..ภาคนี้ เจสัน บอร์น ยังคงต้องควานหา เรื่องราวในอดีตของเขา แม้ความจำจะกลับมา แต่ เจสัน บอร์น ก็ไม่รู้ความจริงทั้งหมด ต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ หากินกับการต่อสู้ข้างถนนไปวันๆ เพียงเพราะ เจสัน บอร์น คิดว่าการที่ตนเองอยู่แบบนี้จะทำให้ชีวิตของเขาสงบขึ้น แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เจสัน บอร์น ได้พบกับ นิกกี้ พาร์สัน (Julia Stiles) ซึ่งเธอจะมอบข้อมูลบางอย่าง ข้อมูลที่ เจสัน บอร์น อาจจะเติมเต็มสิ่งที่กำลับสืบหาเรื่องราวบางอย่างในอดีตของเขา แต่ นิกกี้ พาร์สัน ไม่ล่วงรู้เลยว่าโดน เฮเธอร์ ลี (Alicia Vikander) เจ้าหน้าที่ CIA แผนกไซเบอร์ดักจับการกระทำได้ ตอนที่เธอ แอบเจาะข้อมูลแฮคออกมา และ เฮเธอร์ ลี ขออำนาจจาก โรเบิร์ต ดิวอี้ (Tommy Lee Jones) ผอ. CIA เพื่อทำการจับกุม เจสัน บอร์น และ นิกกี้ พาร์สัน
..

หนังพยายามที่จะทำให้ คนดูหวนกลับไปสัมผัสความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของ ภาพยนตร์ชุดนี้ แต่เนื่องด้วย บทภาคนี้ พอล กรีนกราสส์ ได้ลงมาเขียนเอง ทำให้ดูเหมือนเป็นการตั้งต้นใหม่ของเรื่องราว Jason Bourne มากกว่าทำให้ เรื่องราวบท อาจจะไม่ได้เชื่องโยง กลับ 3 ภาคแรกมากนัก แถมภาคนี้มีการเพิ่มตัวละครสำคัญใหม่ๆ ทั้ง ผอ. ดิวอี้ ทีมีความสำคัญในการสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ที่แยกออกไป มากกว่าที่จะไล่ล่า เจสัน บอร์น รวมถึง แอสเซท (Vincent Cassel) ศัตรูตัวฉกาจที่มีปมแค้นในอดีตที่สำคัญต่อ เจสัน บอร์น และ อีกคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ เฮเธอร์ ลี รับบทโดย (Alicia Vikander) เจ้าของรางวัลออสการ์สมทบหญิงปีล่าสุด เธอแสดงออกมาได้ดีตามบทที่เธอได้รับ เธอทั้งสวยและเก่ง บทปูพื้นมาอาจให้เธอมีบทบาทสำคัญในภาคต่อๆไป (ถ้ามีภาคต่อนะ)
..เนื่องด้วยภาคนี้ มีภารกิจเรื่องราวใหม่ๆ เสริมเข้ามา ทำให้ เสน่ห์ของหนังชุด Jason Bourne อาจดรอปลงไป อาทิเช่นการชิงไหวชิงพริบ ระหว่างฝ่ายไล่ล่า กับฝ่ายถูกล่า แต่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง การที่ พอล กรีนกราสส์ พยายามแตกเรื่องราวไปมากกว่าที่จะไล่ล่า เจสัน บอร์น เพียงอย่างเดียว ซึ่งเราอาจจะเห็นเส้นเรื่องคร่าวๆ ในอนาคตของหนังชุดเรื่องนี้ในภาคต่อๆไป รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่เนิบนาบบางช่วงทำให้อารมณ์หนังดรอปลงไปพอสมควร
..

แต่เรื่องความมันส์ในฉากแอคชั่น ยังคงมีให้เห็นอยู่อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ฉากไล่ล่า บนถนนทั้งตอนต้นเรื่องและปลายเรื่อง การตัดต่อภาพที่กระชับฉับไว บวกกับ เสียงดนตรีประกอบที่เร้าอารมณ์คนดู ให้ตื่นเต้นเสพความมันส์กันได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือใช้อาวุธที่อยู่ใกล้ตัวรวมถึงการเอาตัวรอดของเขาในยามคับขัน ที่ยังเป็นเสน่ห์ของ เจสัน บอร์น
..
โดยรวม ถือว่าเป็นการกลับมาที่ไม่เต็มอิ่มซักเท่าไหร่ การดรอปลงทั้งการชิงไหวชิงพริบที่มีชั้นเชิงน้อยลง มีการเล่าเรื่องที่เนิบนาบบางช่วง แต่หนัง Jason Bourne ก็ยังมีของอยู่ การไล่ล่าบนถนน ฉากแอคชั่น ที่พอทำให้หนังเรื่องนี้ สนุก น่าติดตาม คุ้มค่าที่จะตีตั๋วเข้าไปดู
..
Jurassic Boy

หนังเรื่องนี้ ku ดูแล้ว

#รีวิว Jason Bourne (2016)
.
,,ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าเป็นติ่งแฟรนไชส์เรื่องนี้มากๆ ดูไตรภาควนไปวนมานับไม่ถ้วน แน่นอนว่าคาดหวังกับภาคนี้มากๆ แต่พอดูเสร็จแล้ว กลับรู้สึกผิดหวัง ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ มันสนุกเลยแหละ ดีกว่าหนังแอคชั่นที่ออกมาก่อนหน้านี้หลายเรื่องเลย แต่ที่รู้สึกผิดหวัง เพราะอดที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับภาคเก่าไม่ได้ ยิ่งภาคUltimatumนี้ยกให้เป็นหนังสายลับที่ดีที่สุดตลอดกาลไปแล้ว
.
,,เรื่องราวในภาคนี้คือ การที่เจสันบอร์นคนเดิมของเรา ได้ไปรู้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพ่อของเขา ซึ่งการที่เขารับรู้ข้อมูลนี้ ทำให้เขาโดนไล่ล่าตามสูตรเหมือนเดิม ซึ่งในภาคนี้รู้สึกว่าฉากต่อสู้มันน้อยๆ ไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ แต่ฉากไล่ล่ากันนั้นยังระทึกเหมือนเดิม หายใจหายคอแทบไม่ทัน ส่วนเรื่องบทและการดำเนินเรื่องรู้สึกว่ามันดำเนินง่ายไปเป็นเส้นตรงเลย ไม่มีพลิกแพลงอะไร ตามสูตรหนังแอคชั่นดาดๆทั่วไป ตอนดูจบก็แบบรู้สึกไม่ค่อยมีอะไรให้น่าจดจำ พยายามปูความเป็นมาของตัวร้าย ก็รู้สึกไม่อิน จีจี
.
,,เอาจริงๆนะถ้าให้ความรู้สึกของติ่ง ต้องบอกว่าผิดหวัง แต่ถ้ามองแบบเป็นกลาง ก็ต้องบอกว่าสอบผ่าน แนะนำให้ไปดูในโรงอยู่ดี แต่อย่านั่งหน้าเกินไปนะ อาจจะเวียนหัวเพราะมุมกล้องของเรื่องนี้ได้

คะแนนบอร์นทั้ง 4 ภาค

The Bourne Identity (2002) – 8.5

The Bourne Supremacy (2004) – 9

The Bourne Ultimatum (2007) – 9.5

Jason Bourne (2016) – 7.5่

ดูหนัง ออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

The Bourne Legacy (2012) พลิกแผนล่ายอดจารชน

The Bourne Ultimatum (2007) ปิดเกมล่าจารชน คนอันตราย

The Equalizer 2 (2018) มัจจุราชไร้เงา 2

The Equalizer (2014) มัจจุราชไร้เงา

Man On Fire (2004) คนจริงเผาแค้น

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่