ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2025 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix

JAMES BOND 007 DR.NO (1962) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 1: พยัคฆ์ร้าย 007

5 คะแนน

ตัวอย่าง

JAMES BOND 007 DR.NO (1962) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 1: พยัคฆ์ร้าย 007

ดูหนัง JAMES BOND 007 DR.NO (1962) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 1: พยัคฆ์ร้าย 007

เรื่องย่อ

เจมส์ บอนด์ ถูกส่งตัวไปจาเมกา เพื่อสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของสายลับอังกฤษ โดยจากเบาะแสต่าง ๆ นำเขาไปค้นพบฐานลับใต้ดินของ ดร.โน ซึ่งมีแผนที่จะหยุดยั้งการปล่อยจรวดของอเมริกาด้วยสัญญาณวิทยุรบกวน แม้ว่าจะเป็นการดัดแปลงจากหนังสือบอนด์เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก แต่ว่า ดร.โน ไม่ใช่นิยายเล่มแรกของเฟลมมิง เพราะเล่มแรกนั้นคือ คาสิโน รอเยิล ซึ่งเปิดตัวตัวละคร ภาพยนตร์ยังได้เปิดตัวองค์กรอาชญากรรม DR.NO (1962)  สเปกเตอร์ (SPECTRE) ซึ่งยังปรากฏอยู่ในภาพยนตร์อีก 6 เรื่อง

ผู้กำกับ

  • Terence Young

บริษัท ค่ายหนัง

  • Eon Productions

นักแสดง

  • Sean Connery
  • Ursula Andress
  • Joseph Wiseman
  • Jack Lord
  • Bernard Lee
  • Anthony Dawson
  • Zena Marshall

โปสเตอร์หนัง พยัคฆ์ร้าย 007

ดูหนัง JAMES BOND 007 DR.NO (1962) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 1: พยัคฆ์ร้าย 007

ดูหนัง JAMES BOND 007 DR.NO (1962) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 1: พยัคฆ์ร้าย 007

ดูหนัง JAMES BOND 007 DR.NO (1962) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 1: พยัคฆ์ร้าย 007

รีวิว DR.NO (1962)

หมื่นทิพ

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่รีวิวหนังเจมส์ บอนด์ 007  DR.NO (1962)   ฉบับสมบูรณ์ซึ่งเป็นการรีเมครีวิวของผมเองน่ะนะครับ เพราะผมเคยเขียนถึงหนังของพ่อยอดสายลับคนนี้ไปถึง 3 ครั้งแล้ว (2 ครั้งในบล็อก และอีกหนึ่งครั้งในนิตยสาร Movie Time) ทีนี้ผมก็เลยอยากรวบเอาข้อมูลรีวิวทั้งหมดมาไว้ในทีเดียวเพื่อความสมบูรณ์ที่สุด จะได้ไม่ต้องไปทยอยอ่านหลายๆ รอบนะครับ  เอาล่ะ เรามาเริ่มก้าวแรกกับเรื่องราวของหนังบอนด์กันเลยนะครับ กับการย้อนอดีตว่ากว่าบอนด์จะออกมาเป็นหนังตอนแรกได้นั้นต้องผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง

ชื่อ เจมส์ บอนด์ คงไม่มีทางได้ถือกำเนิดจนโด่งดังไปทั่วโลกหากปราศจากชายที่ชื่อ Ian Fleming นักเขียนชาวอังกฤษ ที่ได้ไอเดียสร้างสรรค์ตัวละครสายลับอังกฤษผู้เก่งกล้าและมากเสน่ห์รายนี้ตอนกำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านตากอากาศในจาไมก้าในช่วงเดือนมกราคม ปี 1952 โดยชื่อ เจมส์ บอนด์นั้นขอยืมมาจากชื่อของนักปักษาวิทยาชาวอเมริกัน ผู้ประพันธ์หนังสือ Birds of the West Indies ที่ Fleming ชอบอ่าน (เพราะเขาเป็นนักดูนกตัวยง) ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ไว้ว่าตัดสินสินใจใช้ชื่อนี้เพราะมันอ่านง่าย ใครๆ ก็จำได้แม่น

ส่วนบุคลิกของบอนด์ Fleming ได้ผสมเอาสองสายลับระดับพระกาฬที่มีตัวจริงๆ สมัยโลกยังระอุด้วยสงคราม หยิบจุดเด่นมาแต่งแต้มให้เป็นบอนด์ คนแรกคือ Sidney Reilly เจ้าของฉายาสุดยอดสายลับแห่งศตวรรษที่ 20 ที่มีทักษะในการปลอมแปลงอย่างเหนือชั้น ว่ากันว่าขนาดประวัติชีวิตส่วนตัวที่โลกรู้เกี่ยวกับเขา ยังอาจไม่ใช่เรื่องจริงด้วยซ้ำ ส่วนคนที่สองคือ William Stephenson สายลับชื่อดังที่เป็นทั้งทหาร, นักบิน, นักธุรกิจวางแผน และนักประดิษฐ์ รหัสแทนตัวคือ Intrepid ซึ่ง Fleming เห็นว่าทั้งสองเป็นต้นแบบสายลับที่เหมาะสมอย่างยิ่ง Fleming ลงมือแต่งนิยายเจมส์ บอนด์ตอนแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ชื่อตอนว่า Casino Royale ซึ่งผลตอบรับนับว่าน่าพอใจ (แต่ไม่ถึงกับดังคับฟ้า) จนทำให้เกิดนิยาย 007 ต่อมาอีกรวม 12 เล่ม และตอนสั้นอีก 2 ชุด

ต่อมาในปี 1954 Gregory Ratoff ผู้อำนวยการสร้างประจำสถานี CBS DR.NO (1962)   มีความสนใจอยากเอา Casino Royale มาทำเป็นหนังสั้นความยาวหนึ่งชั่วโมงไปฉายในซีรี่ส์ Climax! ได้ Barry Nelson มารับบทเจมส์ หรือ จิมมี่ บอนด์ โดย Ratoff ขอซื้อสิทธิ์ไปด้วยเงิน $1,000 เหรียญ ส่วนตัวหนังเองก็ได้คำชมไประดับหนึ่ง ทีนี้ Fleming เลยเริ่มอยากเอาตัวละครเจมส์ บอนด์ของเขาขึ้นจอเงิน เลยเอาไปเสนอกับ Alexander Korda นักสร้างหนังแนวสืบสวนที่ดังไม่สร่างจาก The Third Man (1949) แต่ Korda ก็ไม่สนใจครับ

Fleming ก็ไม่ย่อท้อพยายามหาทางต่อ ก็พอดีที่เพื่อนสนิทของเขาแนะนำให้รู้จักกับ Kevin McClory นักสร้างหนังที่เคยร่วมงานในหนังดังๆ อย่าง The African Queen (1951) และ Around the World in 80 Days (1956) พอคุยกันถูกคอ Fleming, McClory และ Jack Whittingham นักเขียนและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษ ได้มาร่วมกันสร้างบทภาพยนตร์ตอนแรกบนจอเงินของหนังของเจมส์ บอนด์ (เริ่มงานกันในปี 1959)

โครงเรื่องนั้นยิ่งใหญ่ทีเดียวครับ กะว่าทำออกมาแล้วดัง ไหนจะไปตามเอา Alfred Hitchcock มากำกับ แล้วมอบบทบอนด์ให้ Richard Burton อีก แต่เหมือนฟ้าจะยังไม่ยอมให้ชื่อบอนด์ดังง่ายๆ เพราะงานกำกับล่าสุดของ McClory เกิดเจ๊งไม่เป็นท่า สถานภาพทางการเงินก็เลยง่อนแง่น Hitchcock กับ Burton ก็ไม่ตกลงที่จะร่วมงาน ลองว่าแบบนี้วงเลยแตก ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานอื่น โดย Fleming เองก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เอาโครงเรื่องที่คิดกันไปแต่งเป็นนิยาย 007 ตอน Thunderball แทน พอปี 1961 ขณะที่ Fleming ชักจะถอดใจ ก็ได้รับการติดต่อจากผู้อำนวยการสร้าง Harry Saltzman ซึ่งติดใจนิยาย 007 ตอน Golfinger อย่างมากเลยขอซื้อสิทธิ์เจมส์ บอนด์ในสนนราคาสูงถึง $50,000 เหรียญสำหรับบอนด์ทุกตอนยกเว้น Casino Royale ที่ Fleming ขายไปก่อนหน้านี้ในราคา $1,000 เหรียญ

แต่พอซื้อมาแล้ว Saltzman ก็ไม่ลงมือสร้างในทันที ได้แต่คิดรีรอ จนกระทั่ง Albert R. Broccoli นักสร้างหนังที่คลั่งไคล้เจมส์ บอนด์มาตั้งแต่ปี 1957 เกิดทนไม่ไหว เดินไปหา Saltzman ถึงสำนักงานแล้วยื่นข้อเสนอว่า ถ้า Saltzman ยังไม่คิดจะทำหนังเจมส์ บอนด์ กรุณาขายสิทธิ์ต่อให้เขาเถอะ ทีนี้ Saltzman ก็บอก Broccoli ไปตามจริงว่า ไม่ใช่จะไม่ทำ แต่ยังตีหนังไม่แตก คิดว่าต้องมีการปรับอะไรหลายอย่างเพราะหากเอาสไตล์แบบในนิยายไปเสนอตามสตูดิโออาจโดนปฏิเสธ (เพราะเรื่องราวของบอนด์ฉบับนิยายนั้นมันเคร่งขรึมมากครับ) เขาเลยใช้เวลาใคร่ครวญนานไปหน่อย ทีนี้เมื่อคุยไปคุยมาสองคนก็ถูกคอครับ Saltzman เลยเสนอให้ Broccoli มาเป็นหุ้นส่วนช่วยกันทำหนังเจมส์ บอนด์ออกมาเลยดีไหม ซึ่งรายหลังก็ยินดีครับ จะยังไงก็ได้ขอให้มีโอกาสได้ทำหนังบอนด์ก็พอใจแล้ว

เมื่อทั้งคู่จับมือกัน แผนการสร้างหนังก็ดำเนินอย่างเต็มตัวเสียที แต่ในช่วงแรกไม่มีสตูดิโอไหนยอมเป็นนายทุนให้เลยครับ โดยให้เหตุผลว่าหนังเจมส์ บอนด์นี่ “มันดูเป็นอังกฤษเกินไป (ไม่หวือหวาเท่าอเมริกัน) ซ้ำยังมีเนื้อหาวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องเพศเต็มไปหมด” ทางผู้สร้างก็ไม่ยอมท้อใจ เดินหน้าต่อในการเลือกผู้กำกับ ชื่อของ Guy Green, Guy Hamilton และ Ken Hughes อยู่ในโผ แต่ทุกคนปฏิเสธหมด  DR.NO (1962)   จน Broccoli ลองไปทาบทาม Terence Young ที่เคยกำกับหนังให้เขามาเรื่องหนึ่ง ปรากฏว่านายคนนี้มีวิสัยทัศน์ยอดเยี่ยมมากในการถ่ายทอดเจมส์ บอนด์สู่แผ่นฟิล์ม เพราะแรกเริ่มเดิมทีนั้น ตัวละครบอนด์ฉบับนิยายจะค่อนข้างจริงจัง ดุดัน โหดมากชนิดฆ่าคนอย่างเลือดเย็น (แบบเดียวกับที่ Daniel Craig เล่นไว้ใน Casino Royale น่ะครับ) ซึ่งเป็นคาแร็กเตอร์ที่คนยุคนั้นยังไม่เปิดรับเท่าไร จึงต้องมีการเหยาะอารมณ์ขันเล็กๆ ลงไป ลดความเครียดลงนิดเพื่อให้รสชาติหนังกลมกล่อม ถูกปากคนทั่วโลก

เมื่อได้คนกำกับก็มาถึงบทภาพยนตร์ ซึ่งคราวแรกทั้ง Saltzman, Broccoli และ Fleming เห็นตรงกันว่าจะเอา Thunderball มาทำเป็นหนังบอนด์ตอนแรก เพราะ Fleming เขียนเรื่องนี้มาเพื่อทำเป็นหนังอยู่แล้ว แต่พออ้าปากเท่านั้นล่ะครับ McClory กับ Whittingham ที่เขียนบทร่วมกับ Fleming ก็ออกมาขู่ทันทีว่าไม่อนุญาต เว้นแต่จะให้เขาร่วมสร้างด้วย พอ Saltzman กับ Broccoli เห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ จึงขยับไปเอานิยายตอน Dr. No มาทำแทนซะเลยเพื่อตัดปัญหา ประจวบเหมาะกับค่ายหนัง United Artist ตกลงเป็นนายทุนให้ พร้อมงบ $1 ล้านเหรียญ

Fella_shibby

ฉันดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในช่วงปลายยุค 80 บนเครื่องวีเอชเอส กลับมาดูอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในซีรีส์เจมส์ บอนด์ที่บอนด์ถูกส่งไปจาไมก้าเพื่อสืบสวนการหายตัวไปของเพื่อนสายลับชาวอังกฤษ ร่องรอยนำเขาไปหาหมอโน อดีตสมาชิกแก๊งอาชญากรจีนแต่ปัจจุบันทำงานให้กับ SPECTRE ในเรื่องนี้ บอนด์ต้องเผชิญหน้ากับแมลงน้ำที่ปลอมตัวเป็นมังกร แมงมุมทารันทูลาพิษ หนูตาบอดสามตัว และตัวร้ายที่มีมือเป็นโลหะ โชคดีที่บอนด์มีผู้หญิงเก่งสามคนคอยปลอบใจ ได้แก่ ยูนิส เกย์สัน ซีนา มาร์แชลล์ และเออร์ซูลา แอนเดรส ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางอย่างจากนวนิยายซึ่งไม่มีอยู่ในภาพยนตร์ กลุ่มอันธพาลชาวจีนได้ทรมานหมอโน ตัดมือเขาออก แล้วยิงเขาเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย และปล่อยให้เขาตาย หมอโนรอดชีวิตมาได้ด้วยภาวะที่เรียกว่าเดกซ์โทรคาร์เดีย ซึ่งหัวใจของเขาอยู่ทางด้านขวาของร่างกาย ต่อมาเขาได้เข้าร่วม SPECTRE และมีมือเป็นโลหะ

rneil95

เจมส์ บอนด์ หนึ่งในสัญลักษณ์ของภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดตลอดกาล สายลับ 007  DR.NO (1962)   ได้จุดประกายความฮือฮาให้กับจอเงินและสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมมานานกว่า 50 ปี และแฟรนไชส์นี้ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลง ตัวละครนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในนวนิยายเรื่อง “Casino Royale” ของนักเขียน Ian Fleming ในปี 1953 แต่เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ดำเนินมายาวนานโดย Eon Productions นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจมส์ บอนด์ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมสมัยนิยม และได้กำหนดนิยามใหม่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เมื่อภาพยนตร์ยุคแรกเข้าฉาย ผู้ชมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในตอนนั้น และพวกเขาก็รู้สึกประทับใจมาก บอนด์จึงโด่งดังไปทั่วโลก และทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกลับไปที่ภาพยนตร์เรื่องแรกนี้ “Dr. No”

แม้จะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในซีรีส์ แต่ “Dr. No” จริงๆ แล้วสร้างจากนวนิยายเรื่องที่หกในซีรีส์ของเฟลมมิง ในฐานะภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่องแรก ผู้กำกับเทอเรนซ์ ยัง มีกระดานชนวนว่างเปล่าให้ทำงานด้วย ยังไม่มีการสร้างรูปแบบซ้ำซากและต้นแบบที่เชื่อมโยงกับแฟรนไชส์นี้ทันทีในปัจจุบัน เฟลมมิ่งต้องการให้เดวิด นิเวนเล่นเป็นบอนด์ แต่สุดท้ายสตูดิโอก็เลือกฌอน คอนเนอรี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่ามุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อบอนด์จะเป็นอย่างไร เขาแสดงความมั่นใจออกมาผ่านน้ำเสียง รูปร่างหน้าตา และทัศนคติของเขา จากช่วงเวลาแรกที่กำหนดแนวเรื่องซึ่งเราได้รู้จักบอนด์ เขาก็เข้าถึงตัวละครนี้ได้ทันที ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนมักยกให้คอนเนอรีเป็นบอนด์ที่สมบูรณ์แบบ เพราะการแสดงของเขาได้วางรากฐานไว้สำหรับบทบาทในอนาคตได้เป็นอย่างดี เขาเป็นหนึ่งในแง่มุมที่ดีที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งสายลับ 007 ไปปฏิบัติภารกิจที่จาเมกาเพื่อสืบสวนการหายตัวไปของสแตรงเวย์ เจ้าหน้าที่ MI6 เช่นกัน ขณะอยู่ที่นั่น เขาร่วมทีมกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอ เฟลิกซ์ ไลเตอร์ (แจ็ค ลอร์ด) ชาวประมงพื้นเมืองชื่อควอร์เรล (จอห์น คิทซ์มิลเลอร์) และในที่สุดก็มีผู้หญิงชื่อฮันนี่ ไรเดอร์ (เออร์ซูล่า แอนเดรส) เพื่อสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะลึกลับชื่อแคร็บคีย์ ซึ่งเป็นของดร.โนผู้ชั่วร้าย ซึ่งรับบทโดยโจเซฟ ไวส์แมนด้วยความสงบนิ่งที่น่าขนลุก โครงเรื่องนั้นค่อนข้างเป็นมาตรฐานของเจมส์ บอนด์ในตอนนี้ แต่ดร.โนก็กลายเป็นตัวร้ายที่น่าพอใจ แผนของเขานั้นชั่วร้ายอย่างเหมาะสม (“ครองโลก ความฝันเดิมๆ”) และการที่เขาเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม SPECTRE ทำให้พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องในภาคต่อๆ มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ดร.โน” มีลักษณะเฉพาะและไร้เดียงสา ไม่มีการตระหนักรู้ในตนเองอย่างเสียดสี นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้เห็นรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในซีรีส์ และพวกมันก็ทำออกมาได้ดีเยี่ยม ฉันพูดพร่ำถึงความสมบูรณ์แบบของคอนเนอรี่ในบทบอนด์ไปมากแล้ว แต่ตัวละครสมทบของเขาก็มีพรสวรรค์ที่เหมาะสมเช่นกัน เออร์ซูล่า แอนเดรสตั้งมาตรฐานไว้สูงสำหรับ “สาวบอนด์” ทุกคนที่ทำตาม และจนถึงทุกวันนี้ เธอยังคงเป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุด การออกแบบงานสร้างโดยเคน อดัม แม้ว่าจะยังไม่บรรลุความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ในภายหลัง แต่ก็ยังคงยอดเยี่ยม โดยสร้างเกาะที่เป็นสัญลักษณ์ของซีรีส์นี้ขึ้นมา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนสำคัญของซีรีส์นี้ ดร.โนเอง แม้จะไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจที่เหมาะสม และโจเซฟ ไวส์แมนก็ใช้ประโยชน์จากเวลาบนหน้าจอที่มีจำกัดของเขาได้อย่างคุ้มค่า

ภาพยนตร์เรื่องนี้ล้าสมัยอย่างเหลือเชื่อ  DR.NO (1962)   และในหลายๆ ด้าน มันก็ไม่ได้ดีนัก อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ตำหนิภาพยนตร์เรื่องนี้โดยจำเป็น มันเป็นผลงานของยุคสมัยอย่างแน่นอน และหากพิจารณาในบริบทที่เหมาะสม ก็จะทำหน้าที่เป็นภาพยนตร์แคปซูลเวลาที่ยอดเยี่ยม โดยให้ผู้ชมได้มองในมุมมองที่ไม่เหมือนใครเกี่ยวกับความเชื่อทางวัฒนธรรมและภูมิรัฐศาสตร์ของยุคนั้น ฉันอยากเห็นปฏิกิริยาของผู้ชมต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ที่ออกฉายครั้งแรก เป็นภาพยนตร์ที่มีแนวคิดปฏิวัติวงการจริงๆ และอย่างน้อยก็คุ้มค่าแก่การดู แม้ว่าจะเพียงเพื่อดูว่าเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นมาจากที่ไหน

ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

James Bond 007 Goldfinger (1964) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 3: จอมมฤตยู 007

James Bond 007 Thunderball (1965) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 4: ธันเดอร์บอลล์ 007

For Your Eyes Only 007 (1981) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 12: เจาะดวงตาเพชฌฆาต

James Bond 007 Moonraker (1979) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 11: พยัคฆ์ร้ายเหนือเมฆ

JAMES BOND 007 THE SPY WHO LOVED ME (1977) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 10: พยัคฆ์ร้ายสุดที่รัก

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่