Innocence (2020) ความลับ ความจริง
เรื่องย่อ
ที่งานศพของสามีของ Hwa-Ja (Bae Jong-Ok) นายกเทศมนตรี Choo (Heo Jun-Ho) ที่เข้าร่วมงานและปาร์ตี้ของเขาเริ่มอาเจียนและล้มลงหลังจากดื่มมักกอลลี นายกเทศมนตรีชูรอดชีวิต แต่บางคนในพรรคของเขาเสียชีวิต หลักฐานดูเหมือนจะบ่งชี้ว่าฮวาจาเป็นผู้กระทำผิดที่วางยาพิษเครื่องดื่มดังกล่าว แต่ฮวาจามีโรคอัลไซเมอร์ ในขณะเดียวกัน Jung-In ลูกสาวของ Hwa-Ja (Shin Hye-Sun) ทำงานเป็นทนายความที่สำนักงานกฎหมายใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงโซล ในอดีตของเธอ เธอได้รับความทุกข์ทรมานจากความรุนแรงทางร่างกายจากพ่อของเธอและจากบ้านเกิดของเธอไป ตอนนี้เธอเป็นทนายความที่ประสบความสำเร็จ จุงอินเห็นแม่ของเธอฮวาจาในข่าวทีวี เธอกลับบ้านเกิด เมื่อเธอไปถึงที่นั่น แม่ของเธอ Hwa-Ja ไม่รู้จักเธอหรือน้องชายออทิสติก Jung-Soo (Hong Kyung) ที่เป็นออทิสติกของเธอ จุงอินรับฟ้องแม่ของเธอ เธอสัมผัสได้ถึงความจริงที่ฝังอยู่ในแม่ของเธอ’ กรณีและเธอมั่นใจว่าแม่ของเธอเป็นผู้บริสุทธิ์
ผู้กำกับ
- Park Sang-hyun
บริษัท ค่ายหนัง
- IDIOPLAN
นักแสดง
- Shin Hye-sun
- Bae Jong-ok
- Huh Joon-ho
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง Innocence (2020) ความลับ ความจริง
popcornfor2
รีวิว Innocence (2020) : ความลับ ความจริง
ถ้าคุณชอบหนังที่เต็มไปด้วยความดราม่า กดดัน เดินเรื่องด้วยการวางปมต่างๆ ที่จะนำไปสู่จุดเฉลยของคดีฆาตกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ “Innocence” คือหนึ่งในรายชื่อหนังเกาหลี ที่เราอยากแนะนำให้คุณลองรับชม เพื่อพิสูจน์อีกหนึ่งความสามารถด้านการแสดงของ “ชินฮเยซอน” นางเอกชื่อดังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากซีรีส์ย้อนยุคสุดฮาเรื่อง Mr.Queen
.
Innocence เป็นหนังเกาหลีที่มีพล็อตเรื่องสุดดราม่าอ้างอิงจากข่าวที่เกิดขึ้นจริงในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งได้ถูกนำมาดัดแปลงใหม่ และใส่ความน่าสนใจเข้าไป โดยจุดเริ่มต้นของคดีปริศนาในครั้งนี้ เกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ของเมืองแทจอน หลังจากคนที่มาร่วมงานเคารพศพของ อันแทซู ถูกวางยาฆ่าแมลงในเครื่องดื่มที่เจ้าภาพนำมาเสิร์ฟให้กับแขกที่มาในงาน ด้วยความที่เหยื่อมีหลายคน และมีพยานเห็นเหตุการณ์มากมาย แชฮวาจา (รับบทโดย แบจงอ๊ก) ภรรยาของ อันแทซู และจองซู (รับบทโดย ฮงคยอง) ลูกชายของ อันแทซู ที่เกิดมาพร้อมกับภาวะออทิสติก จึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมครั้งนี้
.
เมื่อคดีนี้กลายเป็นที่จับตามองของสังคม เพราะหนึ่งในผู้ถูกวางยา คือ นายกเทศมนตรี (รับบทโดย ฮอจุนโฮ) ข่าวจึงได้แพร่สะพัดออกไปถึง อันจองอิน (รับบทโดย ชินฮเยซอน) ลูกสาวของ แชฮวาจา และพี่สาวของ จองซู เธอคือหนึ่งในทนายความชื่อดังของกรุงโซล ที่มีประสบการณ์ว่าความ และชนะคดีในชั้นศาลมาแล้วมากมาย และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ ที่ตัวละคร อันจองอิน จะพาเราย้อนกลับไปยังสถานที่เกิดเหตุ ณ เมืองแทจอน เพื่อค้นหาคำตอบว่า แท้จริงแล้ว แม่ของเธอกับน้องชาย คือ ฆาตกรตัวจริงในคดีนี้หรือไม่
.
ความน่าสนใจในการเดินเรื่องของ Innocence คือ ในแต่ละช่วงของการสืบคดี เราจะได้เห็นตัวละครอย่าง อันจองอิน ตามสืบเรื่องราวต่างๆ ของครอบครัวตัวเอง และบรรดาคนใกล้ชิด ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้ และค่อยๆค้นพบความลับ ที่นำมาสู่การไขคดีที่แม่และน้องของเธอตกเป็นจำเลย โดยลำดับการเล่าเรื่องจะมีการสลับทั้งอดีต กับปัจจุบัน แต่ไม่เยอะมาก จนคนดูสับสนกับเส้นเวลาของตัวละคร นอกจากนั้น ยังมีฉากต่อสู้ในศาล และซีนอารมณ์ที่น่าจดจำระหว่าง ชินฮเยซอน กับ แบจงอ๊ก ด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องคุณภาพของ Viu ที่ใช้เวลาในการรับชมไม่นาน แต่เต็มไปด้วยคำถามที่ตั้งไว้ตลอดการเดินเรื่องว่า ถ้าคุณต้องสวมบทเป็น อันจองอิน คุณจะจัดการกับปัญหาที่มีชีวิตของแม่ และน้องชายเป็นเดิมพันครั้งนี้ยังไง
ดูไปบ่นไป
Innocence : ความลับ ความจริง (2020)
งานคอร์ทรูมดราม่าที่มีทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังตามแนวทางของเกาหลี ที่อาจจะไม่สดใหม่อะไร แต่ได้พลังดารามายกระดับให้ดูดีขึ้นได้อีกเป็นกอง
viu
เมื่อไม่นานมานี้ เราเคยเขียนถึงนักแสดงคนหนึ่ง ที่เหมือนกับมีจุดเปลี่ยนของชีวิต คือเปลี่ยนจากคนดังให้กลายเป็นคนดังระเบิด เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีจนกระทั่งความโด่งดังที่มี ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ที่บ้านเกิด แต่ขจรขจายไปยังทั่วภาคพื้นทวีปในต่างประเทศ ซึ่ง คนที่จะไปได้ในระดับนั้น องค์ประกอบอาจต้องถึงพร้อม หน้าตาอาจเป็นจุดขายได้ดีก็คงใช่ แต่มาตรฐานการแสดงที่มีต้องได้ในระดับที่ยอดเยี่ยมด้วย เพราะมีบ่อยครั้งที่นักแสดงหน้าตาดี แต่การแสดงชนิดที่เล่นเป็นต้นไม้ยังไม่ได้ แล้วก็หายหน้าไปจากพื้นที่ในหัวใจผู้ชม แล้วถ้าเมื่อมีทั้งสองอย่างรวมกัน อาจบางทีก็ต้องอาศัยโชคชะตาวาสนาลิขิต เพราะหน้าตาที่ดูมีเสน่ห์ การแสดงที่ได้มาตรฐานในระดับสูง หากแต่ยังไม่พบจุดเปลี่ยน ชื่อเสียงก็อาจไม่ได้ทะลุทะลวงมากนัก เพราะมีนักแสดงอีกมากมายที่เป็นดาวพร่างพรายเต็มนภา แต่มีเพียงไม่กี่ดวงที่สุกสกาวกว่าใครเพื่อน
จนเมื่อชีวิตเปลี่ยนเพราะรับบทที่เปลี่ยนชีวิต ได้ฉายพลังดาราในการสร้างภาพจำติดตาให้กับผู้ชม ที่เอาตามตรงคืออาจไม่เคยมีอยู่ในสายตามาก่อนด้วยซ้ำ ให้กลับมาจับจ้อง แล้วกลายมาเป็นต้องติดตามผลงาน เพราะความประทับใจเหลือหลาย ใช่แล้ว เรากำลังบ่นถึงนักแสดงหญิงที่ชื่อ #ชินฮเยซอน ที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงเกาหลีมาก็พอตัว รางวัลการันตีฝีมือก็ถือแทบไม่ไหว แต่ทว่า ในสายตาของคนที่ไม่ได้ติดตามงานเกาหลีเป็นจริงเป็นจังมาก่อน หรือกระทั่งมีบ้างบางคนที่ติดตามเกาหลีมานานก็ยังมาสารภาพกับผู้เขียนว่า ไม่เคยมีเธอคนนี้ในสายตามาก่อน จวบจนกระทั่งได้ดูเธอแสดงในซีรีส์แฟนตาซีพีเรียดเรื่อง Mr.Queen ที่เธอเล่นได้อย่างใส่เต็มที่ จนกลายเป็นภาพจำ
แถมยังมีแต่คนเรียกว่า “มาม่า” อย่างที่เป็นในเรื่องนั้น กระทั่ง หลังจากนั้นมา เธอกลายเป็นเป้าสายตาของผู้ชมเต็มที่ว่า งานหลังจากนี้ เธอจะไปได้ในทิศทางไหน จะรับบทอะไรให้ผู้ชมได้ดูอีก ซึ่ง ถ้าว่ากันที่ความเป็นซูเปอร์สตาร์ ที่ใช่ว่าจะเป็นได้ทุกคน ท่านลองจินตนาการถึงภาพใบหน้าของนักแสดงที่โดดเด่นเป็นสง่าบนใบปิดหนังสักเรื่อง ชื่อของนักแสดงที่สามารถมาขายหนังทั้งเรื่องให้มีคนสนใจได้ ท่านมีกี่ใบหน้าในดวงใจ หรือท่านมีกี่ชื่อในสมอง แม้ว่าก่อนหน้านั้น ชื่อของ ชินฮเยซอน อาจมีพลังพอตัว พลังดาราอาจมีพอจนแบกเรื่องได้ แต่กระนั้น นี่อาจเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า ใบหน้าของเธอ และชื่อของเธอ สามารถเป็นจุดขายเดี่ยวๆของหนังสักเรื่องได้ เพราะเมื่อตัวผู้เขียนเห็นรูปใบปิดหนังเรื่องนี้ ก็ตัดสินใจเปิดดูแบบไม่ลังเล เพียงเพราะมีหน้าเธอเด่นหราอยู่บนนั้น และมาถึงจุดนี้ ที่ชื่อของเธอเป็นจุดขายของหนังได้เต็มภาคภูมิ จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปนักว่า เธอได้ก้าวสู่อีกขั้นของความเป็นซูเปอร์สตาร์แล้ว #Innocence
เปิดเรื่องมาที่การว่าความในศาลของทนาย อันจองอิน (ชนิฮเยซอน) ที่จบลงด้วยความสวยงาม แล้วก็ตัดไปยังชนบทในงานศพของพ่อบ้านคนหนึ่ง ที่ลงเอยด้วยการที่แขกบางคนถูกวางยาพิษ ด้วยการผสมยาฆ่าแมลงลงในมักกอลลี่ แล้วผู้ต้องสงสัยที่กลายมาเป็นผู้ต้องหาก็คือภรรยาผู้ตายเจ้าของงานศพคือ แชฮวาจา (#แบจองอ๊ก) แล้วเรื่องก็เผยว่า แชฮวาจา ผู้ต้องหามีอาการโรคสมองเสื่อมอย่างรุนแรง จนกระทั่งจำอะไรไม่ได้นอกจากลูกชาย อันจองซู (#ฮงคยอง) ที่เป็นผู้พิการทางสมอง แล้วข่าวการถูกวางยาพิษครั้งนี้ก็กลายเป็นข่าวดัง เมื่อหนึ่งในเหยื่อคือนายกเทศมนตรี ชูซีจาง (#ฮอจุนโฮ) ผู้ที่กำลังจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่า และข่าวก็ไปถึง อันจองอิน ที่แท้จริงแล้วคือลูกสาวของ แชฮวาจา ที่หนีออกจากบ้านมาและไม่เคยกลับไปอีกเลย แล้วเมื่อทักษะการเป็นทนายของเธอทำงาน อันจองอิน
จึงเห็นความไม่ชอบมาพากลมากมายในการทำคดีนี้ เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านเกิด เพื่อเป็นทนายแก้ต่างให้จำเลย คือ แชฮวาจา ผู้เป็นมาดาของตัวเอง แต่ทว่า การมาครั้งนี้ พื้นที่ในสมองของแม่ไม่ได้มีเธออยู่อีกต่อไป แต่ เมื่อเลือดมันข้นกว่าน้ำ อันจองอิน จึงต้องว่าความเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แม่ พร้อมกับแผลใจในอดีตที่กลับมารบกวนเธออีกครั้ง กระทั่ง การหาหลักฐานมาหักล้างเพื่อต่อสู้กับอัยการที่เห็นชัดว่ามีเงื่อนงำอยู่เบื้องหลัง อันจองอิน จึงเริ่มพบเจออะไรบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่หลังการวางยาฆ่าคนครั้งนี้ แต่เมื่อเรื่องมันไม่ใช่แค่การฆ่าคนตายธรรมดา ยิ่งขุดก็ยิ่งเจอเรื่องราวในอดีตที่จะสั่นคลอนรากฐานของผู้มีอิทธิพล ซึ่งก็คือนายก ชูซีจาง อิทธิพลที่ปกคลุมทั่วทั้งเมืองก็เริ่มมาเยือนเธอในรูปแบบการคุกคาม หนักเข้าถึงขนาดจะเอาชีวิต และไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเธอนอกจากตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสมัยประถม และอดีตน้าเขย การสืบค้นความจริงที่ว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนวางยาพิษในมักกอลลี่ เพื่อสังหารคนที่เจาะจงได้ เพราะ อันจองอิน เชื่อหมดใจว่าหญิงชราที่เป็นโรคสมองเสื่อมไม่มีทางทำได้แน่ และการค้นหาความจริงจุดนี้ ก็มาพร้อมกับปมปริศนาในอดีตที่ส่งผลกับชีวิตเธอเองในปัจจุบัน จนกระทั่งบทสรุปที่น่าจะเป็นก็ไม่เป็นดั่งความคาดหมาย แถมยังท้าทายมโนสำนึกในใจผู้ชมว่า ถ้าเป็นผู้ชมเอง จะตัดสินใจเช่นไร
#อีกครั้งที่เกาหลีเล่าเรื่องเก่าที่ดูซ้ำออกมาอย่างสนุก
ว่ากันตามตรง หนังคอร์ทรูมดราม่าแบบนี้ มันมีหลักสูตรตายตัวของมัน นั่นคือการค้นหาความจริงเพื่อมาต่อสู้กับอำนาจมืดบางอย่างที่ครอบงำกระบวนการยุติธรรม และสิ่งที่ตามมาคือการคุกคามชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่ง ส่วนนี้ต้องบอกว่าเดินตามสูตรอย่างไม่มีบกพร่อง ด้วยการสร้างตัวละครให้เป็นขาวกับดำชัดเจน แถมด้วยการค่อยๆเผย ค่อยๆเปิดความจริงออกมาเหมือนการทาสีผ้าขาวที่เริ่มจากที่เทาโทนอ่อนก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มโทนสีในเข้มขึ้น จนดำสนิทเมื่อถึงเวลา อันนำพามาซึ่งความอับจนหนทาง มืดแปดด้านในการต่อสู้ของตัวละครฝ่ายดี แต่ทั้งนี้ ที่น่าทึ่งคือ เรื่องนี้ทำได้ในขณะที่ทิ้งความซับซ้อนออกไป เมื่อเปิดหน้ากันตรงๆเลยว่า ผู้ร้ายหลักคือใคร นางเอกต้องสู้กับใคร ต้องเจอกับอะไร แล้วมันกลายเป็นชั้นเชิงที่ง่ายแต่ได้ผล เมื่อความเร้าใจมันอยู่ที่การค่อยๆบีบจนกระทั่งความอึดอัดมันถึงจุดที่ควรไป ก็คลายออกมา แต่ ถ้าจะมีแค่นี้ก็ไม่ใช่เกาหลี เมื่อยังมีเรื่องแฝงไว้ข้างหลังที่เป็นเรื่องซ้อนเรื่อง คือเรื่องของครอบครัวของทนาย อันจองอิน ที่เป็นมิติที่อาจเป็นรากฐานของเรื่อง เพราะการเล่าเรื่องปัจจุบันที่การขุดคุ้ยลงไป แล้วก็ไปเจอกับอดีตที่ซ่อนเร้น อดีตที่ส่งผลกับชีวิตตัวเอง อดีตที่เลวร้ายของใครบางคนที่ย้อนกลับมาทำร้ายครอบครัวตัวเอง
ได้พบความจริงที่สะเทือนใจ จนกระทั่ง ตัวเองมีความเข้าใจอะไรบางอย่างผิดเพี้ยนไป อันนำมาซึ่งการรับรู้และเข้าใจ และก็ได้เวลาของการไถ่บาปในหัวใจ ซึ่ง เรื่องซ้อนนี้มันก็แข็งแรงมากพอที่จะสามารถเรียกร้องความเป็นธรรมให้ใครบางคน ได้มีพื้นที่ในหัวใจของอีกคนได้ จนถึงบทสรุปสุดท้าย ที่น่าจะเหนือความคาดหมายเล็กๆ เมื่อเลือกจะท้าทายหัวใจผู้ชมให้มีทางแยก ซึ่ง ถ้าจะเอากันจริงๆคือเรื่องไม่ได้แปลกใหม่เลย ซ้ำยังดูเหมือนเป็นตอนย่อยของงานซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวนชั้นดีสักเรื่อง เพราะเมื่อดูไป ก็ไม่มีทางอดคิดไปถึงบุคลิกของอัยการ ยองอึนซู ผู้น่าสงสาร ในซีรีส์ที่เป็นตำนานคือ Stranger ซีซันแรกไม่ได้ ที่การตายของเธอในเรื่องนั้นทำให้ผู้ชมหัวใจสลายกันไปเพราะทำร้ายจิตใจเหลือเกิน ประกอบกับงานด้านบทที่โดยภาพรวมก็ออกมาค่อนข้างดี แต่ก็มีริ้วรอยประปราย มองเห็นชัดเจนได้สองสามจุดใหญ่ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าใส่ใจมากมาย เพราะความน่าสนใจยังจัดเต็ม ถ้าว่ากันที่เรื่องของลูกสาวผู้ห่างเหินที่หนีออกจากบ้านไปจนได้ดิบได้ดีจนเป็นทนาย และความทรงจำที่เลวร้ายทำให้ตัดขาดกันไปนาน แต่แล้วก็ต้องกลับมาว่าความให้แม่ผู้สมองเสื่อม ก่อนพบความจริงที่ถูกฝังไว้มานาน กระนั้น ก็ยังอาจกล่าวได้ว่า เรื่องเล่าได้แสนธรรมดา ไม่มีชั้นเชิงที่หวือหวา ว่ากตรงๆเปิดหน้าท้าดวล แต่โดดเด่นในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชมอย่างอยู่หมัด
#การวางโทนสีตัวละครที่ขาวตัดกับดำชัดเจนจนเห็นว่าตั้งใจมาขายดารา
เพราะเรื่องแบบนี้ ความเร้าใจของผู้ชมต้องมาจากตัวละครฝ่ายดีต้องเข้าไปนั่งในหัวใจ และขณะเดียวกัน ฝ่ายคนชั่วก็ต้องดำสนิท เพราะความเจนจัดและความเข้าใจธรรมชาติของผู้ชม จึงจงใจให้ออกมาโทนนี้ ที่ขาวเป็นขาวดำเป็นดำ เพราะธรรมชาติมนุษย์มักจะเทใจให้ฝั่งสีขาวเสมอ แต่กระนั้น การแสดงต้องออกมาให้ผู้ชมเชื่อได้ว่า ขาวแท้และดำจริง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักแสดงในเรื่องที่เป็นหนังเกาหลี จะมาสามารถพาอารมณ์ผู้ชมไปถึงจุดที่บทต้องการได้ เพราะมาตฐานที่สูงพอนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าให้เจาะจงลงไปคือการแสดงที่สุดยอดเหลือร้ายของ แบจองอ๊ก ที่เล่นเป็นหญิงชราสมองเสื่อมที่จำลูกตัวเองยังไม่ได้ แถมด้วยมิติความน่าสงสัยว่า จำได้จริงหรือแกล้งหลอก ไม่มีที่ติ แต่ นั่นคือการแสดงในบทที่ตั้งใจให้เร้าอารมณ์ ซึ่งในสายตาเรามองว่า คนที่มีศักยภาพสูงทางการแสดง ต้องเล่นได้อยู่แล้ว ซึ่งมันอาจยอดเยี่ยมก็จริง แต่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป เหมือนเป็นสิ่งที่ต้องทำได้สำหรับนักแสดงมากฝีมือ ซึ่งการเล่นเป็นคนธรรมดาให้เชื่อว่าธรรมดานั้น มันอาจยากกว่า และเรื่องนี้ นี่คือทนายที่เป็นคนธรรมดาที่มีแผลใจ ไมได้เป็นพวกต่อสู้เก่ง แต่มีความฉลาดและแกร่งอยู่ข้างในจากประสบการณ์ชีวิต และนี่คือบทบาทที่เป็นที่น่าจดจำของ
ชินฮเยซอน อีกบทหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อพลังงานของเรื่องทั้งหมดมาจากตัวเธอล้วนๆ ก็ใช่ที่ดูเห็นชัดว่าเป็นความตั้งใจมาขายพลังดาราของเธอ ด้วยการวางโทนสีขาวให้ตัวละครของเธอโดดเด่นอยู่ท่ามกลางสีดำ สังเกตง่ายๆคือผิวขาวของเธอจะตัดกับโทนสีดำของเรื่องจนเห็นได้อย่างโดดเด่นอยู่เสมอ ทั้งยังมีความสวยสง่าอยู่ท่ามกลางตัวละครที่ถูกเมคอัพให้ดูมอมแมมแบบชาวบ้าน ทำให้ไม่มีใครสามารถโดดเด่นเกินหน้าบุคลิกที่ทรงความฉลาดและสง่า การแสดงที่ดูเหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา เพราะมีมิติเชิงลึกให้เห็นด้วยตามสัมผัสได้ด้วยใจ ทั้งการทำสีหน้าเข้มแข็งแต่สายตาปวดร้าว ทำหน้าเรียบเฉยแต่อยู่ดีๆน้ำตาก็ไหล เป็นคนที่มีความเก็บกดในใจมากมายในเรื่องของครอบครัวและแม่ สีหน้าตอนที่รู้ความจริงจนทุกอย่างมันพรั่งพรูออกมา ดูแล้วลื่นไหลมากเกินกว่าจะเห็นเป็นการแสดง ซึ่ง มันทำให้เห็นศักยภาพในการยกระดับหนังสักเรื่องให้มีมิติ จากเรื่องที่ดูเหมือนไม่ได้มีชั้นเชิงที่วูบวาบหวือหวา แถมยังมีริ้วรอยอยู่บ้างในตัวบท แต่กลับมีพลังดึงดูดอย่างน่าประหลาด และพลังงานนั้นก็สามารถนำพาหนังให้เป็นความบันเทิงที่สูงขึ้น อะไรที่เป็นรอยรั่วก็มองข้ามไปได้เพราะสายตาผู้ชมจับจ้องไปที่เธอเต็มรูปแบบ จึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยที่จะบอกว่า หากไม่ได้พลังงานลี้ลับแบบนี้จาก ชินฮเยซอน เรากล้าฟันธงเลยว่า หนังจะออกมาราบเรียบกว่าที่เห็น จนถึงอาจด้อยความน่าติดตามลง เพราะมันจะขาดเสน่ห์ และสิ่งที่เราว่ามานี้ มันเรียกว่า #พลังดารา ที่เรื่องนี้ ชินฮเยซอน จัดเต็ม สมกับที่เป็นชื่อขาย เป็นจุดขายขจงหนัง เพราะเธอรับหน้าที่ในการพาหนังไปได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นดอกไม้ดอกใหญ่อยู่กลางแจกัน ที่แม้จะมีดอกไม้สีสวยรายล้อม ก็มิอาจโดดเด่นเกินหน้าเธอได้ และเราไม่ได้ลำเอียงแม้แต่นิดเดียว
เรื่องเล่าที่ธรรมดาว่ากันตามสูตร งานด้านบทระดับซีรีส์หรือละครทีวีเกาหลีเท่านั้น แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เป็นความบันเทิงเกินกว่าความน่าจะเป็นคือความเข้าใจเล่น และความเข้าใจขาย เพราะที่ผู้ชมสนุกและไปถึงจุดหมายปลายทางได้พร้อมๆกันคือ การเล่นกับอารมณ์ผู้ชมล้วนๆ หนึ่งคือการเอาใจช่วยตัวละครที่ได้ใจ เพราะความเข้าใจมาขายเสน่ห์ของนางเอกคือ ชินฮเยซอน เต็มที่ และส่วนนี้ ก็ถ่ายทอดออกมาแบบจงใจให้มาขโมยหัวใจผู้ชม แล้วมันก็ได้ผล เพราะมันทำให้ไม่ว่าตัวละครนางเอกจะทำอะไร ผู้ชมล้วนเทให้ช่วยเธอ ถึงขนาดแม้ว่าจะทำอะไรที่ดูฝืนกับความคิด หรือสวนทางกับการตัดสินใจในฐานะมนุษย์ปุถุชน ผู้ชมก็พร้อมจะมองข้ามไปได้ สองคืออารมณ์ผู้ชมถูกบีบ เพราะตัดสินใจเลือกข้างไปแล้วตั้งแต่เห็นหน้านางเอก แล้วการค่อยๆบีบจนนางเอกกับผู้ชมเข้าจุดอับไปพร้อมๆกัน ก็สร้างความอึดอัดให้ข้างใน
จนกระทั่งมีอารมณ์หาทางออกไม่เจอ มืดแปดด้านเช่นเดียวกับตัวละคร ซึ่ง มันมาจากการเปิดหน้ามาตรงๆว่าใครเป็นผู้ร้าย ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องซ่อน ไม่ต้องซับซ้อนมากจนต้องปวดกบาล อะไรที่พึงเดาได้ก็เดาได้ ไม่ต้องตั้งท่าให้ผู้ชมหน้างาย อะไรที่พลิกได้ก็พลิก อาจเหนือความคาดหมาย แต่เพราะผู้ชมเชื่อทุกชุดความคิดและการตัดสินใจของนางเอกไปแล้วนั่นเอง ทำให้จุดพลิกที่เหมือนง่ายๆกลายเป็นไม่เคยคิดมาก่อน เพราะการใส่อารมณ์ให้สุดๆไปบนพื้นฐานการเอาใจช่วยนางเอกอย่างที่ว่า สุดท้ายคืออารมณ์ความน่าสงสัย เพราะตั้งแต่เปิดมา ผู้ชมก็จะสงสัยว่า ภาพที่เห็นมันเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้คดีของทนายที่เป็นลูก ที่มาเพื่อเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แม่ที่เป็นโรคความจำเสื่อม ความสงสัยว่าสุดท้ายเรื่องราวจะลงเอยเช่นไร ใครกันแน่ที่เป็นคนร้ายตัวจริงที่วางยาพิษ แล้วทำไมต้องทำเช่นนั้น แถมด้วยความสงสัยในประเด็นดราม่าเรื่องของครอบครัวของนางเอก อดีตที่หล่อหลอมให้เป็นปัจจุบันที่เห็น และมีอารมณ์ซาบซึ้งได้เล็กน้อยท้าย ซึ่ง ทุกความสงสัยในทุกเรื่องราวที่ดูว่ามากประเด็นเอาการ แต่ถูกบทที่ดีพอตัวหลอมรวมผสานเข้าได้ด้วยกันอยู่อย่างเป็นเนื้อเดียวกันได้ ไม่เรื่องไหนหลุดหรือโดด กลับกันจังหวะเวลาในการปล่อยเงื่อนปมออกมาก็ดูพอเหมาะ มันเลยทำให้เรื่องที่อาจจะไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนพลิกไปพลิกมาเหมือนหนังเกาหลีทั่วไปในปัจจุบันเรื่องนี้ มีดีพอที่จะเป็นความบันเทิงในอารมณ์ที่เข้มข้นขึงขัง ยิ่งสำหรับเราแล้ว การตั้งใจมาดู ชินฮเยซอน แล้วได้มาเห็นเธอแบกหนังไปคนเดียวเต็มที่ ได้เห็นเธอปล่อยของอย่างเฉิดฉายสุดๆแบบนี้ แล้วหนังยังดูสนุกเร้าใจ ก็คือความคุ้มค่าทุกนาทีแล้ว และย้ำอีกครั้งว่า ผู้เขียนอาจจะตกหลุมรัก ชินฮเยซอน จริง แต่ไม่ได้ลำเอียงแม้แต่นิดเดียว
ดูหนัง ออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
The Client (1994) ล่าพยานปากเอก
6.5