Fantastic Beasts 2 (2018) สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์
เรื่องย่อ
เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีที่กำกับโดย David Yates และเป็นภาคที่สองของซีรีส์ภาพยนตร์ “Fantastic Beasts” มันเป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์ Wizarding World ที่ใหญ่กว่าที่สร้างโดย J.K. โรว์ลิ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้สานต่อการผจญภัยของนักสัตววิทยา นิวท์ สคามันเดอร์ รับบทโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น และสำรวจการผงาดขึ้นมาของพ่อมดศาสตร์มืด เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ รับบทโดย จอห์นนี่ เดปป์
โดยมีฉากอยู่ในโลกแห่งเวทมนตร์ เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษปี 1920 โดยย้ายจากถนนมหัศจรรย์ของนิวยอร์กในภาคแรกไปสู่ปารีสและลอนดอนในภาคต่อ โครงเรื่องเกี่ยวข้องกับการหลบหนีจากการถูกควบคุมตัวของกรินเดลวาลด์ และภารกิจของเขาในการรวบรวมผู้ติดตามที่มีวิสัยทัศน์เหมือนกันเกี่ยวกับการครอบงำของพ่อมดแม่มดเหนือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เวทมนตร์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ รับบทโดย จู๊ด ลอว์ มอบหมายให้นิวท์ สคามันเดอร์ขัดขวางแผนการของกรินเดลวัลด์ ซึ่งนำไปสู่การเดินทางที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตวิเศษ อุบายทางการเมือง และประเด็นขัดแย้งทางศีลธรรม
ภาพยนตร์เรื่องนี้แนะนำตัวละครใหม่ ได้แก่ เลตา เลสแตรงจ์ (โซอี คราวิตซ์), เธซีอุส สคามันเดอร์ (คัลลัม เทิร์นเนอร์) และนากินี (คลอเดีย คิม) ในขณะเดียวกันก็กลับมารวมตัวผู้ชมด้วยใบหน้าที่คุ้นเคย เช่น ควีนนี่ โกลด์สตีน (อลิสัน ซูดอล) และจาค็อบ โควัลสกี้ (แดน โฟเกลอร์) . ความสัมพันธ์และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างตัวละครเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดโครงเรื่องที่ซับซ้อนของภาพยนตร์เรื่องนี้
“สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวาลด์” เจาะลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งเวทมนตร์ โดยแนะนำองค์ประกอบต่างๆ เช่น สายเลือดเวทมนตร์ และความขัดแย้งรอบสัตว์วิเศษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ขยายขอบเขตการเล่าเรื่องที่ครอบคลุมซึ่งเชื่อมโยงเหตุการณ์ในซีรีส์ “Fantastic Beasts” กับเทพนิยาย Harry Potter
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายจากนักวิจารณ์ โดยบางคนก็ชื่นชมวิชวลเอฟเฟกต์และการแสดงของมัน ในขณะที่คนอื่นๆ วิจารณ์การเว้นจังหวะและโครงเรื่องที่ซับซ้อนของมัน แต่มันก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญในแฟรนไชส์ Wizarding World โทนสีเข้มและแฝงทางการเมืองใน “The Crimes of Grindelwald” เป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องต่อๆ ไปในซีรีส์นี้
โดยสรุป Fantastic Beasts 2 (2018) สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ ยังคงเป็นการเดินทางมหัศจรรย์ที่ริเริ่มโดยภาคก่อน โดยเพิ่มชั้นให้กับตำนานของโลกแห่งเวทมนตร์ และสร้างเวทีสำหรับการเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างกรินเดลวาลด์กับผู้ที่ต่อต้านวิสัยทัศน์ของเขาในเรื่องอำนาจสูงสุดของเวทมนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดึงดูดแฟนๆ ของ J.K. จักรวาลอันกว้างใหญ่ของ Rowling นำเสนอทั้งองค์ประกอบที่ชวนให้คิดถึงและมุมมองที่สดใหม่เกี่ยวกับอาณาจักรมหัศจรรย์
Fantastic Beasts 2 (2018) สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald – สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์”การเดินทางครั้งที่ 2 ในโลกเวทมนตร์ชุดใหม่ของเจ.เค. โรว์ลิ่งเรื่องราวจากตอนจบของภาคแรก พ่อมดมืดผู้ทรงพลัง เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (จอห์นนี่ เด็ปป์) ถูกจับกุมโดย MACUSA (สภาเวทมนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา)
ด้วยความช่วยเหลือจากนิวท์ สคามันเดอร์ (เอ็ดดี้ เรดเมย์น) แต่กรินเดลวัลด์ก็ได้ทำตามคำขู่ของตน ด้วยการหลบหนีจากที่คุมขังและเริ่มรวบรวมเหล่าสาวกซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้สงสัยในจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา… นั่นคือการยกสถานะของพ่อมดแม่มดเลือดบริสุทธิ์ให้ขึ้นปกครองเหล่าประชากรมนุษย์ที่ไร้พลังเวทมนตร์ เพื่อขัดขวางแผนการของกรินเดลวัลด์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (จู๊ด ลอว์) ได้ขอความช่วยเหลือจากอดีตนักเรียนของเขา นิวท์ สคามันเดอร์ ซึ่งตกลงรับภารกิจนี้โดยไม่รู้ถึงอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า เมื่อโลกเวทมนตร์เกิดการแบ่งแยกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความแตกแยกก็ปรากฎชัด ขณะที่ความรักและความซื่อสัตย์ถูกทดสอบแม้กระทั่งในหมู่เพื่อนฝูงและครอบครัว
ผู้กำกับ
เดวิด เยตส์
บริษัท ค่ายหนัง
เฮย์เดย์ฟิล์มส
นักแสดง
- เอดดี เรดเมย์น
- จอห์นนี เดปป์
- แคทเธอริน วอเตอร์สตัน
- แดน ฟ็อกเลอร์
- อลิสัน ซูดอล
- เอซรา มิลเลอร์
- โซอี้ คราวิทซ์
- คัลลัม เทอร์เนอร์
- คลอเดีย คิม
- จู๊ด ลอว์
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
เนิร์ดติดหนัง
fantastic beasts 2 (2018) รีวิวสั้นๆ
ขอสารภาพเลยว่าก่อนดูภาคนี้ ผมยังไม่ได้ดูภาคแรก แต่ที่บังเอิญไปดูภาคนี้เพราะเพื่อนผมลากมา 555+ ขอรีวิวแบบสั้นๆนะ…
fantastic beasts 2 เอาเข้าจริงๆหนังมันเล่าต่อจากภาคแรกเลยนะ ใครที่ยังไม่เคยดู แนะนำให้หาดูก่อนถ้าไม่อยากงง หรือจะดูภาคนี้ก่อนย้อนไปดูภาคแรกก็แล้วแต่ (ถ้าสามารถเรียงเนื้อเรื่องได้นะ) แต่ถึงแม้ว่าหนังจะมีฉากแฟนตาซีที่ตื่นตาขนาดไหน แต่ก็กลับมาเจ็บตรงนี้เนื้อเรื่องบางส่วนมันกลับยืดเยื้อซะงั้น คือบางจุด ไม่ต้องใส่มาก็ได้…. นอกนั้นก็ถึอว่าดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะการสื่ออารมณ์ และการปูทางไปภาคต่อ ที่บอกได้เลยว่า “เงิบ” จนอยากให้มาเร็วๆ 555+
สรุป…ใครชอบ fantastic beasts น่าจะชอบภาคนี้ด้วย แต่ถ้าใครไม่ชอบเนื้อเรื่องยืดเยื้อ….ก็…ก็ไปดูได้นะ ไม่มีใครห้าม เพราะยังไงก็แล้วแต่ มันก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วยแหละ….สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สองตาเห็นไม่เท่ากับ ซื้อตั๋วไปดูเอง…..ตามนั้นเด้อ
เด็กน้อยวิจารณ์หนัง
7 / 10 (อย่าว่ากันนะครับ ถ้าทำให้ไม่ถูกใจตรงไหน)
Fantastic Beasts : The Crimes Of Grindelwald ( 2018 )
( 6/10 )
” สองชั่วโมงกว่าๆที่ค่อนข้างยาวนาน ”
( เรื่องย่อ )
– เมื่อ กรินเดลวัลด์ ( จอห์นนี่ เดปป์ ) แหกคุกหลบหนีอย่างอุกอาจ แล้วรวบรวมคนมาช่วยทำเป้าหมายใหญ่ของเขาให้บรรลุผล นั้นก็คือ การยกระดับเหล่าผู้มีเวทมนตร์ให้อยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป และเมื่อพ่อมดแห่งด้านมืดเอาจริง ผู้วิเศษที่เคยเป็นเพื่อนรักเขาอย่าง อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ( จู๊ด ลอว์ ) จึงต้องหาทางหยุดยั้ง โดยมีความช่วยเหลือจาก นิวท์ สคามันเดอร์ ( เอ็ดดี้ เรดเมย์น ) พ่อมดหนุ่มที่เคยขัดขวางกรินเดลวัลด์ได้สำเร็จมาก่อน
( รีวิว )
( ไม่มีสปอย )
– หลังจากที่ Fantastic Beasts ภาคแรกได้ออกฉายปุ๊บ ก็เกิดกระแสตอบรับที่ดี และสามารถต่อยอดความชื่นชอบในแฟนคลับเดิมของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ และปูทางเพิ่มแฟนคลับใหม่ๆเข้ามาอีก ในฐานะเรื่องราวที่เป็นภาคแยกและเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวทั้งหมดอย่างที่คนดูได้ติดตามกัน
ดังนั้นภาคต่อจึงเกิดขึ้น และแน่นอนแฟนคลับของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งเก่าและใหม่ย่อมไม่พลาดชมกันอยู่แล้ว ( รวมถึงผมด้วย )
– แต่สิ่งนึงที่ผมกังวลกับหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงตามที่ผมคิด ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องของผู้กำกับ เดวิด เยตส์ ที่ค่อนข้างช้าและเนิบนาบ รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่ยังขาดเสน่ห์ให้ชวนติดตาม แน่นอนเลยครับว่า สิ่งที่ผมกังวลก็กลายเป็นจุดบอดจุดใหญ่เบ้อเริ่มของหนังเรื่องนี้
– และนี่ยังไม่รวมไปถึงตัวละครที่ค่อนข้างเยอะ และปมต่างๆของหนังก็ไม่เคลียร์เท่าที่ควร ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก , การตัดสินใจของตัวละคร และจุดหักมุมที่หนังได้ทำออกมา ล้วนแล้วแต่สร้างความคาใจให้กับคนดู เหมือนกับว่าหนังเองยังเล่าเรื่องให้เข้าถึงเนื้อหาได้ไม่เต็มที่ และพยายามอ้อมเรื่องราวทั้งหมดโดยที่พยายามปูทางไปสู่ภาคต่อข้างหน้าแค่นั้นเอง
– โดยถ้าหากวิเคราะห์และพูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมเลยว่า หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดพีคของหนังอยู่ตรงไหน ซึ่งตรงนี้กลายเป็นข้อเสียที่ทำให้หนังไม่สนุกมากที่ควร และทำให้สองชั่วโมงกว่าๆ ค่อนข้างยาวนานและน่าเบื่อมากเกินไปในความคิดส่วนตัวของผม
– แต่ถึงกระนั้น หนังก็ชดเชยข้อเสียตรงที่มีฉากเปิดเรื่องที่น่าสนใจ ทำให้หนังดูสนุกตั้งแต่ต้น ( แต่กลับมาดร็อปลงดื้อๆในช่วงกลางเรื่อง ) และเหล่าดาราดังก็แสดงได้ดีกันทุกคน โดยเฉพาะ จอห์นนี่ เดปป์ ในบทกรินเดลวัลล์ ทำให้ตัวละครนี้ทำให้คนดูรับรู้ได้ถึงความเจ้าเล่ห์ และความน่ากลัวของวายร้ายตัวนี้ได้ ส่วน จู๊ด ลอว์ ก็แสดงบทดัมเบิลดอร์ ได้ดีจนน่าชื่นชมเช่นกัน และ เอ็ดดี้ เรดเมย์น ก็ยังคงแสดงได้ถึงความมีเสน่ห์น่ารักในตัวละครนิวท์ สคามันเดอร์
ส่วนฉากแอ๊กชั่นร่ายคาถาก็ทำออกมาได้โอเคในระดับนึงเลยแหละ และที่สำคัญมีหลายๆฉากที่ทำให้แฟนคลับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ต้องฟินมากเลยเหมือนกัน ( ซึ่งผมเองก็ร้องว้าวด้วยความดีใจได้มากพอควร ) เพียงแต่เสียดายที่ข้อดีเหล่านี้ ถูกข้อเสียกลบไปจนเกือบหมด เลยทำให้ผลลัพธ์ของหนังไปไม่สุดทาง และมีผลลัพธ์ที่ชวนน่าเบื่อค่อนข้างที่จะเยอะตลอดเวลาที่ได้รับชมนั้นเอง
– สุดท้ายผมเองได้แต่เสียดายนะครับ หนังเองมีอะไรที่น่าจะดีมากกว่านี้ ทั้งตัวละครที่ดูมีเสน่ห์น่าติดตาม เหตุการณ์ของหนังที่ต่อยอดมาจากภาคแรกในเรื่องปมคาใจของสองตัวละครหลักอย่าง ดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวัลด์ ที่ดูแล้วน่าสนใจว่าหนังจะนำเสนอไปในทิศทางใด แต่สุดท้ายด้วยตัวละครที่เยอะแยะมากมาย พล็อตหนังหลายประเด็นมากจนล้วนแล้วแต่ไปไม่สุด พาร์ทดราม่าและการเล่าเรื่องก็ไม่ทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับหนังได้ และคำถามคาใจก็มีมาตลอดระหว่างชม ( เกี่ยวกับความสัมพันธ์หลักของตัวละคร และการตัดสินใจต่างๆของตัวละคร ) เลยทำให้หลายช่วงเวลาของหนังดูช้าและน่าเบื่อเกินไป จนทำให้หนังลดความสนุกลงไปจนน่าเสียดายนั้นเอง
– สรุปเลยแล้วกันครับ Fantastic Beasts: The Crimes Of Grindelwald ถ้าหากตัดประเด็นของหนังมีเยอะแยะมากเกินไป การเล่าเรื่องที่ชวนน่าเบื่อค่อนข้างมากพอสมควร ก็ถือว่าหนังเล่าเรื่องต่อเนื่องมาจากภาคแรกได้ดีในระดับนึง ตัวหนังมีฉากร่ายคาถาที่น่าสนใจ รวมไปถึงหนังมีตัวละครวายร้ายที่น่าจดจำได้เหมือนกัน และหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นใบเปิดทางไปสู่ภาคต่อที่คนดูอย่างผมได้แต่หวังว่าหนังคงจะนำข้อเสียเหล่านี้ไปแก้ไขในภาคต่อไปครับ
ดังนั้นผมขอให้คะแนน 6/10 ขอตัดคะแนนที่หนังเล่าเรื่องได้ช้าเนิบนาบ แต่ข้อดีก็มีหลายๆฉากที่ค่อนข้างทำให้แฟนคลับแฮร์รี่ พอตเตอร์ อย่างผมได้ร้องว้าว และหนังมีปมทิ้งท้ายแบบที่ต้องดูภาคต่อไปอีกอย่างแน่นอนว่าหนังจะเป็นไปในทิศทางไหนกันแน่นั้นเอง…..
Kanok Waithum
Fantastic beasts : The crimes of Grindelwald [2018] หนังภาคที่ 2 จากซี่รี่ย์สัตว์มหัศจรรย์ เรื่องย่อขอผ่าน น่าจะรู้ๆกันแล้วแหละ อย่างที่เขารีวิวกันมาเยอะแยะ หนังธรรมดาๆ ดูไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนุกอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อ เนื้อหาของหนังที่จำเป็นจริงๆคือช่วง 20 นาทีสุดท้าย ช่วงต้นเรื่องคือใส่มางั้นๆแหละ ไม่ให้โดนด่า เพราะหนังดันใช้ชื่อ fantastic beasts สิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องคืองานภาพ CG นะ ไม่ใช่ฉากนักแสดง ตัวท็อปๆของวงการเอามาทำละเฉยๆหมดเลย ไม่ได้มีอะไรเด่นเลย แต่ป๋าเดปป์เรานี่เหมือนหน่อย เชิญยิ้มจริงๆ (ตัดภาพนั้นออกไปจากหัวไม่ได้เลย) หนังทำมาเพื่อเป็นทางผ่านไปสู่ภาคต่อไปเท่านั้น หวังว่าภาคต่อไปจะเริ่มสนุก ลุ้น ตื่นเต้นมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะลากไปไม่ถึง 5 ภาคแน่ๆ เอาจริงๆ ลุ้นที่สุดของหนังภาคนี้คือ ประโยคสุดท้ายของหนัง แต่จะว่าไป ไม่ต้องลุ้นนะ เห็น…….อยู่ในฉากก็รุละ
7/10
รีวิวทุกสิ่งอย่าง
🪬รีวิว Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore
ด้วยความที่หนังเป็นภาคต่อ เปิดเรื่องมาคนที่ไม่ได้ติดตามภาคก่อนๆ คงจะมีความเอ๊ะอยู่บ้าง และเนื่องจากมีการเปลี่ยนตัวนักแสดงนำหลักด้วย จึงอาจทำให้คนที่ได้ดูภาค 1-2 มาตั้งแต่เข้าโรงเมื่อนานมาแล้ว(ภาค2 ฉายล่าสุด4ปีที่แล้ว15/11/2018) อาจจะลืมเนื้อหาและตัวละครไปแล้วก็เป็นได้ จึงอยากแนะนำว่าก่อนมาดูภาคนี้ ควรกลับไปดูทบทวนภาค1-2 ใหม่ คิดสะว่าดูซีรี่ย์ในเน็ตฟลิกซ์ ภาคละแค่2ชั่วโมงก็อาจจะทำให้หนังในภาค3 นี้ดูสนุกและเข้าใจมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน(ภาค1-2 มีฉายทาง HBO
ความรู้สึกแรกหลังเราดูจบ เราให้ 6.5/10 คะแนน ในระบบ IMAX ซับไทย จึงอาจทำให้เราจับใจความในบทพูดไม่ทันเพราะมัวแต่ไปสนใจงานภาพหรือสีหน้าท่าทางที่ต้องการจะสื่อของนักแสดงไปเสียมากกว่า พอดูจบเราเลยออกมาซื้อตั๋วดูแบบพากย์ไทยอีกรอบนึง ดูจบพบว่าเราได้เก็บรายละเอียดดีเทลเล็กๆน้อยๆ ที่เราไม่ทันสังเกตไปในการดูรอบแรกด้วยแบบเยอะเลย มันทำให้เคลียขึ้นว่าการกระทำของตัวละครนี้มีที่มาที่ไปนะ แต่ก็อย่างว่า ด้วยความที่เป็นหนังสร้างจากนวนิยาย จึงทำให้มีบทพูดและข้อความที่ต้องการจะอธิบายเยอะแยะไปหมด ตัวละครโยงไปคนนู้นคนนี้มากมาย จึงอาจจะทำให้คนที่ลืมภาคก่อนๆไปแล้วสับสนได้ แต่หากใครที่เป็นสาวกและได้ติดตามแฮร์รี่ พอตเตอร์มาครบทุกภาคทั้งแบบดูหนังและอ่านหนังสือคงจะอินกับในหนังภาคนี้เพราะใส่ Easter Egg ที่จะโยงไปยังแฮร์รี่พอตเตอร์มาพอสมควร และฉากโรแมนติคคือใส่มาเยอะมาก นี่ยังคิดว่าเป็นหนังโรแมนติครักเอยเตยหอมรึป่าว
ฉากแอคชั่นสู้กันและฉากเซอร์วิสเอาใจแฟนๆก็ใส่มาเป็นระยะๆ บางตอนนึกว่าดูหมอแปลกอยู่ มีสร้างโลกเสมือนเข้าไปประลองกันเพื่อลดความเสียหายต่อโลกมักเกิ้ลในชีวิตจริง หรือแค่ตัดสภาพแวดล้อมรอบข้างออกเพื่ออยากจะให้โฟกัสที่การต่อสู้สะมากกว่า แต่ยังไงก็ยังเยอะไม่พอที่จะกลบบทพูดที่เยอะและยืดยาดในหนังไปได้ เอาดีๆ ค่ายใหญ่และมีทุนในการทำหนังขนาดนี้ เราคิดว่าควรใส่ให้มาเต็มๆไปเลยฉากแอคชั่นต่อสู้ ร่ายเวทสู้กัน คนคงต้องการดูแค่นั้นแหละ เพราะมันเป็นหัวใจของเวทมนต์อ่าเนอะ มันถึงจะให้ความบันเทิงได้แบบสุด แต่นี้ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วในระดับนึง ถ้าใส่มาหมดแล้วอีก 2 ภาคที่เหลือคงต้องเล่นใหญ่แล้วเพราะเซ็ตแสตนดาดไว้สูงไปนะคิดว่า แล้วที่เคลมว่าฉากการประลองกันตอนจบระหว่างดัมเบิลดอร์กับกรินเดลวัลด์จะสู้ฉากในกระทรวงกับโวลเดอมอร์ของแฮร์รี่ภาค5 ได้ นี่คิดว่ายังไม่ได้นะ ฉากนกไฟเพลิงฟ้าตอนจบภาค2 ที่จะเผาปารีสยังอลังมากกว่าอีก
เนื้อหาแกนหลักในภาคนี้จะเป็นการเมืองแบบฉ่ำๆเลยสะส่วนใหญ่ ทำให้โทนหนังดูทึมๆหม่นๆ ตามสไตล์ผู้กำกับเดวิดเย็ตส์ จากแฮร์รี่ภาค5-7 และมาแฟรนไชน์สัตว์วิเศษทั้ง3ภาคนี้ ส่วนการกระทำของดัมเบิลดอร์ต่างๆ ก็มีทั้งเหตุและผล และคลายปมจากภาคที่แล้วทั้งหมด และเราจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วความลับของดัมเบิลดอร์คืออะไร แต่จะเป็นดัมเบิลดอร์คนไหนต้องลองไปดูกันเอาเอง
เรื่องนักแสดงนำหลักอย่างตัวเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ที่มีการเปลี่ยนนักแสดงจากจอห์นนี่ เดปป์ มาเป็นแมดส์ มิคเคลสัน ตอนมีข่าวออกมาแรกๆ อาจจะมีกระแสแอนตี้หรืออะไรมาบ้าง แต่พอได้มาดูในหนังจริงๆ เรากับคิดว่าแมดส์นั้นทำได้ดีเลยทีเดียว ดูจะตรงบทบาทและคาแลคเตอร์ดูเหมาะตามบุคลิคของกรินเดวัลด์สะมากกว่า ดูน่าเกรงขามมากกว่า บางตอนเรายังจินตนาการเอาหน้าเดปป์มาแปะแทนแมดส์ในบทนั้นมันอาจจะให้ความรู้สึกคนละฟีลไปเลยก็ได้ เพราะป๋าเดปป์จะคาแลคเตอร์กวนๆ อาจจะร้ายไม่พอกับบทบาทในภาคนี้ ส่วนตัวละครหลักในภาคที่แล้วอย่างทีน่าโดนตัดบทหายไปเลยทั้งเรื่อง โผล่ตอนต้นเรื่องและมาโผล่อีกทีตอนจบ ไม่รู้มีปัญหาเรื่องสัญญาอะไรกันรึป่าว ส่วนนากินี หายไปเลย5555
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยากให้มาดูด้วยตาตัวเอง คำวิจารณ์นี้แค่อยากให้เป็นการเตรียมใจก่อนมาดูกันสะมากกว่า ว่าอย่าคาดหวังกันมาก ถ้าใครชอบหนังฟีลการเมือง ฟีลวางแผนเชื่อมโยงหลอกล่อและทำให้คิดตามก็จะชอบมาก แต่ถ้าใครชอบแนวต่อสู้บู๊ระห่ำ สาดพลังใส่กันแบบมาเวลก็อาจจะไม่ถูกมากนัก… 8/10 (ให้คะแนนพิศวาสวิซาดดิ้งเวิลด์เพื่อเป็นเกียรติ) 😂
มิสเตอร์มูฟวี่
#รีวิวหนังแบบสั้นๆ #มิสเตอร์มูฟวี่
– Fantastic Beasts 2: The Crimes of Grindelwald (2018) = 7/10
**บอกก่อนว่าเราไม่ใช่แฟน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตัวยงนะ
เราดูจบแล้วคือ… รู้เลยว่าหนังเอาใจแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์ มาก คือถ้าคุณเป็นแฟนตัวยงของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เรื่องนี้คุณไม่ผิดหวังแน่นอน แต่สำหรับเรามันรู้สึกอึดอัดพอสมควร มีแอบง่วงด้วย หนังดำเนินเรื่องค่อยข้างเนิบๆปูไปเรื่อยๆแบบใจเย็นๆ ตัวละครอัดแน่นมากและเนื้อเรื่องละเอียดจนไม่น่าใช่บทภาพยนตร์ แต่อย่างว่าละเจเคเป็นนักเขียนนวนิยายไม่ใช่นักเขียนบทภาพยนตร์อะเนอะ เรื่องราวก็ไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไร แถมยังทิ้งปริศนาไว้เพียบเลยอีกมุมหนึ่งก็ชวนให้ติดตาม หนังเลือกที่จะใส่บรรดาสัตว์มหัศจรรย์น้อยกว่าภาคแรกมาก และมุ่งเน้นไปที่เรื่องของอาชญากรรมตามชื่อภาค ก็คงจะผิดหวังสำหรับคนที่อยากดูบรรดาสัตว์มหัศจรรย์แหละ สุดท้ายจอห์นนี่ เด็ปป์ สร้างตัวร้ายกรินเดลวอลด์ออกมาได้น่าเกรงขามและมีเสนห์มาก
ปล.ขอภาค 3 ไวๆได้ไหม ^ ^
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Pirates of the Caribbean 5 (2017) สงครามแค้นโจรสลัดไร้ชีพ
Thor Love and Thunder (2022) ธอร์ ด้วยรักและอัสนี
Mission Impossible Dead Reckoning Part One (2023) มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง
John Wick Chapter 4 (2023) จอห์น วิค แรงกว่านรก 4
Mission Impossible 6 (2018) มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล 6 ฟอลล์เอาท์
6.8