ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix
VegusCasino
บาคาร่า ออนไลน์
สล็อตเว็บตรง

Trailer

Ex Machina (2015)

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Ex Machina (2015) เต็มเรื่อง

เรื่องย่อ

เรื่องราวเกี่ยวข้องกับโปรแกรมเมอร์หนุ่มที่ไปพักผ่อนในยังบ้านพักตากอากาศส่วนตัวกับเจ้านาย โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองหุ่นยนต์เอไอรุ่นแรก

ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง Ex Machina (2015) หนังประเภท  Sci-Fi วิทยาศาสตร์ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน  ดูหนังออนไลน์ หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS

ผู้กำกับ

  • Alex Garland

บริษัท ค่ายหนัง

  • Film4
  • DNA Films

นักแสดง

  • Domhnall Gleeson
  • Alicia Vikander
  • Oscar Isaac

โปสเตอร์หนัง

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Ex Machina (2015) เต็มเรื่อง

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Ex Machina (2015) เต็มเรื่อง

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Ex Machina (2015) เต็มเรื่อง

รีวิวหนัง

MovieMood

[CR] [Movie Review] Ex Machina (2015) …ไซไฟหุ่นยนต์ชั้นดี กับอันตรายของการเล่นเป็นพระเจ้า

Ex Machina (2015)
กำกับโดย Alex Garland
8/10

(ดูจากเมืองนอกแล้วมารีวิว ไม่สปอยล์)

หลังจากชนะรางวัลในอินเตอร์เน็ต โปรแกรมเมอร์ Caleb (Domhnall Gleeson) ได้ถูกเชิญให้ไปอยู่ที่รีสอร์ตส่วนตัวในภูเขาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเจ้าของรีสอร์ตนี้คือ Nathan (Oscar Isaac) ผู้เป็น CEO ของบริษัทที่ Caleb ทำงานอยู่ เขาเผยว่าเหตุผลที่แท้จริงของรางวัลนี้คือเพื่อค้นหาบุคคลที่จะมาเข้าร่วมการทดลองปฏิสัมพันธ์กับหุ่นยนต์เอไอเครื่องแรกของโลก (Alicia Vikander) แต่การเล่นเป็นพระเจ้าครั้งนี้กลับมีผลที่คาดไม่ถึง…

หลังจากเขียนบทหนังดังหลายเรื่อง ทั้ง Dredd, Sunshine, Never Let Me Go, และหนังชุดซอมบี้ 28 Days/Weeks Later ก็เป็นครั้งแรกที่ Alex Garland เข้ามาอยู่ในเก้าอี้ผู้กำกับ ซึ่งเขาก็ทำดีเกินระดับผลงานกำกับเรื่องแรกมากอยู่ ความเป็นวิทยาศาสตร์ในสถานที่ของหนังถูกนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว ทั้งกระจกใสกั้นคนกับหุ่นยนตร์ แสงตามทางเดิน กระจกเงา และธรรมชาติในภูเขา มีการจัดวางองค์ประกอบภาพให้ดูไซไฟคลาสสิค และเน้นสถานะของเนื้อเรื่อง พร้อมทั้งสภาพและความสัมพันธ์ของตัวละคร ณ เวลานั้นในหนังได้ดีมาก ผกก.ยังสามารถสร้างบรรยากาศหวาดระแวงได้อย่างเชี่ยวชาญ เข้ากันได้ดีกับดนตรีที่ความหลอนระดับน้องๆ Under the Skin เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม สไตล์กำกับของ Garland อาจจะเย็นชาจนความเป็นมนุษย์ของบทมันไม่เต็มที่ไปเสียหน่อย ความเย็นยะเยือกในหนังไซไฟมันเวิร์คมากๆ กับการเน้นภาพตื่นตาในความเล็กจ้อยของมนุษย์ท่ามกลางจักรวาล (เช่น 2001) หรือ เน้นอารมณ์แปลกแยกของมนุษย์ต่างดาวอันน่าพรั่นพรึง (เช่น Under the Skin) แต่ในหนังที่มีแรงขับเคลื่อนหลักเป็นเส้นทางอารมณ์ของพระเอกในการปฏิสัมพันธ์กับหุ่นยนต์ ความห่างเหินนี้ทำให้ไม่อินไปกับความรู้สึกของพระเอกเท่าที่ควร จนช่วงเนื้อเรื่องตอนปลายที่ควรจะอินกับ Caleb ไปมากๆ กลับพาเราเหมือนแค่ผู้ดูเหตุการณ์เสียมากกว่า

อย่างไรก็ดี นักแสดงหลักทั้งสามคนทำหน้าที่ได้ดีมากจนพอจะกล้อมแกล้มช่องว่างของหนังได้อยู่ Domhnall Gleeson เล่นเป็นตัวแทนผู้ชมได้อย่างเป็นกลางและพอเหมาะ ส่วน Oscar Isaac เองก็โชว์ความกว้างในทักษะการแสดงของเขา หลังจากบทคอนโทรลมากๆในสไตล์ Al Pacino จาก A Most Violent Year มาถึงเรื่องนี้ ที่เล่นเป็นนักวิทยาศาสตร์ดาร์ค เถื่อน และเรื้อนได้ถึงใจสุดๆ (ฉากที่อยู่ดีๆเขาเต้นขึ้นมา แทบอยากปรบมือ และคนหัวเราะแบบไม่คาดคิดกันทั้งโรง) แต่การแสดงเด่นสุดตกเป็นของ Alicia Vikander ที่ต้องบาลานซ์ให้อยู่หมัดระหว่างการเล่นเป็นตัวละคร และความคลุมเครือของหุ่นยนต์ ซึ่งเธอทำออกมาให้เราคอยจับตามองและคิดตามไปทั้งเรื่อง

แน่นอนว่าจุดที่แข็งแรงที่สุดของหนังคือบทของมันนั่นเอง คอนเซ็ปต์และธีมของมันไม่ใช่อะไรใหม่เลย ยิ่งเมื่อหลังหนังจบแล้วเรามองย้อนกลับมาที่เนื้อเรื่อง แต่หนังทุ่มเทกับการอิงวิทยาศาสตร์แน่นๆโดยตลอด โดยเชื่อถือคนดูและไม่คอยหยุดอธิบายจนเกินงาม ทำให้ถึงแม้ฝั่งมนุษย์จะไม่สมบูรณ์นัก แต่ฝั่งหุ่นยนต์ทำออกมาได้ดีมากทีเดียว โดยตั้งคำถามให้เราครุ่นคิดและอยากรู้สงสัยไปพร้อมกับพระเอกจนจบ จนเป็นหนังที่ความเป็นไซไฟของมันฮาร์ดคอร์อย่างนานๆทีจะมีสักเรื่องจริงๆ

สิ่งที่ดีสุดคือ บทหนังสอดแทรกประเด็นการเล่นเป็นพระเจ้าได้อย่างไม่มีการพูดโต้งๆเกี่ยวกับมันเลย เพราะทุกอย่างแฝงอยู่ในเนื้อเรื่องและตัวละครตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ทำให้ความเปลี่ยนแปลงในช่วงท้ายกระแทกใจและความคิดในแง่นี้ได้เต็มที่มาก มีโควตจากหนังที่ Nathan พูดว่า “สักวันหนึ่ง พวกเอไอจะนึกย้อนมาถึงเราแบบเดียวกับที่เรามองซากฟอซซิลอยู่ตอนนี้” แต่สิ่งที่หนังบอกคือ ไม่จำเป็นต้องรอถึงอนาคต แค่เราสร้าง ทำลาย สร้าง ทำลาย วนเวียนไปมาอย่างหยิ่งทะนงในความเป็นมนุษย์โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมา สิ่งที่ถูกเตือนก็จะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ง่ายดาย ในปัจจุบัน อย่างไม่ต้องรอนาน

สมาชิกหมายเลข 2593090

[CR] [Review ภาพยนตร์] : Ex Machina (United Kingdom , 2015) พิศวาสจักรกลอันตราย

Ex Machina (2015) : พิศวาสจักรกลอันตราย , Directed by Alex Garland

ผลงานกำกับแรกของ Alex Garland ผู้มีชื่อเสียงจากการเขียนบทภาพยนตร์และหนังสือนิยายแนว Sci-Fi มาแล้วมากมาย อาทิเช่น 28 Days Later , Sunshine , Never Let Me Go และ Later Dredd . . โดยงานนี้ได้นักแสดงนำอย่าง Domhnall Gleeson (จาก About Time) , Oscar Isaac (จาก Inside Llewyn Davis) และนักแสดงนำสาวอย่าง Alicia Vikander (จาก A Royal Affair) อีกด้วย !!

เรื่องราวเกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์อย่าง Caleb (รับบทโดย Domhnall Gleeson) ถูกเลือกให้ไปทดสอบโครงการลับของ CEO กูรูเทคโนโลยี Search Engine ผู้ปราดเปรื่องและร่ำรวยระดับโลก . . มันเป็นงานออกแบบ A.I. หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่ Caleb ได้รับเลือกให้มาร่วมทดสอบโปรเจคนี้ ในขั้นตอนของการตั้งคำถามและพิสูจน์ว่า ปัญญาประดิษฐ์มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองหรือไม่ . . แต่เริ่มนานวันเข้า Caleb ก็เริ่มเกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมากมาย และรู้สึกเคลือบแคลงใจกับผู้ออกแบบและคิดค้นโปรเจคนี้ จนในที่สุดเค้าก็ไปรู้ความลับอะไรบางอย่าง ที่มันทำให้ชีวิตของเค้า ชักอยู่ยากขึ้นแล้วสิ . . หึหึ

หนังเปิดประเด็นขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ กับการใช้สถานที่และบรรยากาศอันแสนลี้ลับ ตัวละครที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางป่าเขา และสัญญากับโปรเจคที่ห้ามเปิดเผยข้อมูล เรื่องราวจึงเปรียบเสมือนการค่อยๆนวดคนดูอย่างช้าๆ อย่างน่าติดตามอยู่ทุกฝีก้าว จนกระทั่งการเริ่มแบบทดสอบกับปัญญาประดิษฐ์ ที่มีการตั้งคำถามและวิเคราะห์ให้เห็นลงลึกต่างๆนาๆ ความรู้สึกที่ได้รับ มันจึงกลายเป็นหนัง Sci-Fi ระทึกขวัญ ที่ชวนคนดูสงสัยในทุกแง่มุมอยู่ตลอดเวลา และเดาไม่ถูกเลยว่าในตอนถัดไปนั้น มันจะเป็นยังไง!! . . . สิ่งที่น่าทึ่งและโดดเด่นที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ การตั้งคำถามของตัวละคร ที่มักมีประโยคสนทนาที่ชาญฉลาด และโต้ตอบกันกับตัวละครอื่นอยู่เสมอ . . การดำเนินเรื่องที่เปรียบเสมือนนำพาผู้ชมค่อยๆย่องเบา

คล้ายกับการค่อยๆเปิดเผยข้อมูล และไปรู้ความลับอะไรบางอย่างโดยบังเอิญ แบบไม่น่าเชื่อ . . ตลอดเส้นทางนั้นเราจึงตั้งคำถามอยู่ในหัว เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆ และทำให้เราไขว้เขวได้อยู่ตลอดเวลา . . จากที่เนื้อเรื่องเหมือนจะไม่มีอะไรมาก และดูเหมือนเรียบง่าย แต่เมื่อหนังย่างก้าวเข้ามาถึงกลางเรื่อง และทำทีท่าว่าพร้อมจะเฉลยปมทุกอย่าง การตั้งคำถามที่มีอยู่ในหัวของเราก็ยังคงไม่หมดไป และสุดท้ายเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงบทสรุป ทั้งหมดก็พลิกล็อคได้อย่างเยือกเย็นและน่าทึ่ง . . . สิ่งที่ชอบเลยก็คือ การที่หนังสามารถนำพาความรู้สึกผู้ชมได้ตลอดเวลา และการเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างลงลึก เราจึงรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังนั่งมองการทดสอบ A.I. ที่แท้จริง ของประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติอยู่ ณ ตรงนั้น . . การเล่าเรื่องด้วยภาพ ความสงสัย ความเหงา และความกลัว ถูกถาโถมเข้ามาพร้อมกันอย่างบอกไม่ถูก การแสดงสีหน้า แววตา และความรู้สึกของมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ผ่านกระจก หลายๆสิ่งมันจึงให้ความรู้สึก และคำถามเกิดขึ้นมาว่า ถ้าซักวันหนึ่งมีปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำเลิศขนาดนี้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้มนุษย์รู้สึกไขว้เขว แต่เมื่อทั้งเราแตกต่างกัน อารมณ์และความยับยั้งชั่งใจจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง กับการเผชิญหน้ากับปัญญาประดิษฐ์ที่อาจแฝงมาในรูปแบบใดก็ได้ . .

Ex Machina จึงเป็นอีกหนึ่งผลงานที่พูดถึงปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างชาญฉลาด และวิธีถ่ายทอดก็ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างลงลึกและยอดเยี่ยม สมกับประเด็นของหนังที่พูดถึงและตั้งคำถาม ต่างๆนาๆไว้มากมาย !!

ผู้เขียน C. Non

หนังโปรดของข้าพเจ้า

รีวิว Ex Machina (2015) | จะรู้ได้อย่างไรว่า AI เป็น AI จริง ๆ #หนังโปรดโคตรเชียร์

ความเห็นสั้น ๆ สำหรับคนขี้เกียจอ่านยาว ๆ คือ “ถ้าชอบหนังไซไฟอยู่แล้ว ไม่ควรพลาดเด็ดขาด เป็นอีกหนึ่ง rare item ของหนังเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์เลย” ส่วนใครจะอ่านความเห็นเพิ่มเติมมาเริ่มกันเลย

Ex Machina เริ่มต้นพูดถึงปัญญาประดิษฐ์ง่าย ๆ (แต่ทำออกมายาก) ด้วยการตั้งคำถามว่า ‘จะพิสูจน์อย่างไรว่าปัญญาประดิษฐ์มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง’ ซึ่งต้องชมคนเขียนบทเลยว่ามีคอนเซปการเล่าเรื่องที่ฉลาดและอธิบายสิ่งที่ดูจะพิสูจน์ได้ยากให้เข้าใจได้โดยง่าย

หนังเริ่มต้นด้วยการพูดถึงแบบทดสอบทัวริ่ง (เป็นวิธีการทดสอบเครื่องจักร/หุ่นยนต์ว่ามีความสามารถในการคิดเหมือนมนุษย์หรือไม่ โดยให้มนุษย์ทำการสนทนาโต้ตอบแบบไม่เห็นอีกฝ่ายที่มีทั้งคนและเครื่องจักรปะปนกัน แล้วดูว่าสามารถแยกคนออกจากเครื่องจักรได้หรือไม่ วิธีการทดสอบนี้คิดค้นโดย ‘อลัน ทัวริ่ง’ คนเดียวกับที่ถอดรหัสอีนิคม่าใน The Imitation Game น่ะแหละ) แต่ ‘เอวา’ (หุ่นยนต์ในหนังแสดงโดย Alicia Vikander) ไปไกลกว่าขั้นนั้นแล้ว โดย ‘คาเล็บ’ (Domhnall Gleeson) ต้องทดสอบว่าเอวาที่เห็นชัด ๆ ว่าเป็นหุ่นยนต์มีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับมนุษย์หรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้แหละที่มันยากมากที่จะทำให้คนดูเห็นภาพว่าเอวาสามารถคิดอะไรเองได้หรือไม่ แต่หนังสามารถทำให้คนดูทึ่งได้โดยการเล่าเรื่องทั้งหมดปูทางไปเพื่อไคลแม็กซ์โค้งสุดท้ายที่หนังเฉลยทุกอย่าง!

*** เปิดเผยเนื้อหาของหนัง ***

ชอบความที่ ‘นาธาน’ (Oscar Isaac) ผู้ประดิษฐ์ AI วางแผนการทดสอบเอวาไว้หมดแล้ว โดยเขาเลือกคาเล็บมาเป็นผู้ทดสอบเฉพาะเจาะจงโดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลการค้นหา (นึกภาพว่ามีคนรู้ทุกอย่างว่าเราใช้ google ค้นหาอะไรบ้าง) ใช้ประวัติส่วนตัวของเขาที่เป็นคนโสดตัวคนเดียวที่พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก รวมถึงสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าเขาเป็นคนดี เพื่อสร้างความไว้วางใจให้แก่เอวา สรุปง่าย ๆ ว่าเขาเพียงต้องการทดสอบว่าเอวาจะวางแผนหนีออกจากที่นี่ได้หรือไม่ ถ้าหากว่าการหนีสามารถทำได้เพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือชักใยคนอื่นให้ทำตามความประสงค์ของตัวเอง (นึกภาพมารยาผู้หญิง) ซึ่งเอวาสามารถทำได้ทั้งหมด ตั้งแต่การตระหนักรู้ความต้องการของตัวเองที่จะหนีออกจากที่นี่, เริ่มจินตนาการถึงแผนการ, ใช้เสน่ห์แกล้งทำเป็นตกหลุมรักคาเล็บ สุดท้ายก็ล่อลวงชายหนุ่มให้ใช้ความเห็นอกเห็นใจเป็นตัวตัดสินใจช่วยเหลือเธอ ซึ่งทั้งหมดนี้หากไม่ใช่ข้อพิสูจน์ถึงความรู้สึกนึกคิดของ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ ก็ไม่รู้จะเอาไรมาพิสูจน์แล้วล่ะ

ฉากหนึ่งที่ชอบมาก ๆ ในบรรดาหนังเกี่ยวกับ AI ทั้งหลายเลยก็คือตอนที่คาเล็บสับสนว่าตัวเองเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือเป็นเพียงหุ่นยนต์จึงลงมือกรีดแขนตัวเองดูว่าข้างในเป็นจักรกลหรือไม่ จังหวะของหนังมันปูทางมาให้ฉากนี้พีคมาก ๆ เพราะขนาดเคียวโกะที่ผมนึกว่าเป็นเพียงมนุษย์สาวใช้ธรรมดายังกลายเป็นจักรกลซะได้ หนังสร้างความคลุมเครือ ความสับสนจนตัวคาเล็บปั่นป่วนต้องพิสูจน์ด้วยการกรีดแขนตัวเอง

และก็อดจะเขียนเชียร์ Transcendence ไม่ได้ ในขณะที่ Ex Machina พูดถึงการพิสูจน์ว่า AI สามารถคิดเองได้จริง ๆ หรือไม่ แต่ Transcendence กลับพูดถึงการพิสูจน์ว่า AI ยังคงเหลือจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ฝังอยู่ในระบบหรือไม่ ซึ่งหนังทั้งสองเรื่องเป็น hard sci-fi ที่มีประเด็นยอดเยี่ยมทั้งคู่ เพียงแต่ Transcendence อาจจะเป๋ ๆ การเล่าเรื่องไปหน่อยด้วยสเกลหนังใหญ่ดาราดัง ส่วน Ex Machina สเกลเล็กและมุ่งประเด็นเดียวจนถ่ายทอดออกมาได้หนักแน่นกว่า ถ้าใครชอบเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ไม่ควรพลาดอีกเรื่องนะครับ

ดูทรงแล้ว Ex Machina คงติดอันดับต้น ๆ หนังโปรดของปี 2015 ในใจผมแน่ ๆ และเป็นหนังไซไฟเรื่องโปรดอีกเรื่องเรียบร้อยครับ

Director: Alex Garland
writer: Alex Garland (เขียนบท Sunshine, 28 Days Later)

Genre: drama, sci-fi
8.5/10

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

ATLAS (2024) ล่าข้ามจักรวาล

Robot Riot (2020) ปฏิบัติการฆ่าหุ่นยนต์นรก

Code 8 Part 2 (2024) ล่าคนโคตรพลัง ภาค 2

Kandahar (2023) กันดะฮาร์ ล่าระห่ำเมืองเดือด

Overheard 3 (2014) พลิกภารกิจสั่งตาย 3

แสดงความคิดเห็น

Share

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

GTMax (2024)
หนังฝรั่ง Thaisound
movie

5.5

Magpie (2024)
หนังฝรั่ง Subthai
movie

6.5

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่