ดูหนังออนไลน์ใหม่2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนัง 2023 HDฟรี
8xbet212

Dune (2021)

26 คะแนน

ตัวอย่าง

Dune (2021)

ดูหนัง ออนไลน์ Dune (2021) เต็มเรื่อง

เรื่องย่อ

Dune (2021) ดูน เรื่องราวของ “พอล อาร์เทรดีส” อัจฉริยะหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเข้าใจ เขาต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ที่อันตรายที่สุดในจักรวาลเพื่อความอยู่รอดและอนาคตของครอบครัวรวมถึงผู้คนของเขา หลังถูกรุกรานโดยกองกำลังวายร้ายหน้าเลือดที่หวังแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งสามารถใช้ดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติออกมาได้ และมีเพียงผู้ที่สามารถเอาชนะความกลัวได้เท่านั้นที่จะอยู่รอดในศึกครั้งนี้

ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง Dune (2021) ดูน หนังประเภท Adventure ผจญภัย เว็บดูหนัง ดูหนัง ออนไลน์ KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS

ผู้กำกับ

Dune (2021)

บริษัท ค่ายหนัง

เลเจนดารีพิกเชอส์

นักแสดง

  • ทิโมธี ชาลาเมต์
  • รีเบคกา เฟอร์กูสัน
  • โอสการ์ อิซาอัก
  • จอช โบรลิน
  • สเต็ลลัน สกอชกวด
  • เดฟ บอทิสตา
  • สตีเฟน แมกคินลีย์ เฮนเดอร์สัน
  • เซ็นเดยา
  • จาง เจิ้น
  • ชาร์ลอตต์ แรมพลิง
  • เจสัน โมโมอา
  • ฆาบิเอร์ บาร์เดม

โปสเตอร์หนัง

ดูหนัง ออนไลน์ Dune (2021) เต็มเรื่อง

ดูหนัง ออนไลน์ Dune (2021) เต็มเรื่อง

ดูหนัง ออนไลน์ Dune (2021) เต็มเรื่อง

รีวิวหนัง

Techhangout

[CR] รีวิว DUNE ที่สุดงานภาพ เสียง เน้นการปูเนื้อเรื่อง แต่ไม่น่าเบื่อนะ !

DUNE เป็นอีกเรื่องที่แอดมินเองตั้งตารอดูอย่างมาก เมื่อได้ยินเรื่องนี้ และ กำกับโดย Denis Villeneuve ที่ผลงานระดับตำนานทั้งนั้น เช่น Blade Runner 2049 เป็นอีกงานที่จัดว่าระดับเทพ แต่ก็เป็น ผกก ที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่อาจจะ เบื่อ หรือ หลับได้ง่ายเช่นกัน เพราะหลายๆคนกลัวว่าจะเน้นไปทางการปูเนื้อหาต่างๆมากเกินไปด้วยเช่นกันในเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ดูกลับทำได้ดีและไม่น่าเอื่อยแบบที่คิด และ ไวกว่า Blade Runner 2049 ด้วยเช่นกันครับ เรื่องนี้ย่อยง่ายพอสมควรเลยแหละ ซึ่ง DUNE เองเป็น นิยาย ไซ-ไฟ ระดับตำนานมากๆ เรียกได้ว่า มหากาพย์เลยแหละทั้ง เรื่องราวความยิ่งใหญ่ จนหลายๆเรื่องเช่น Star War ก็มีกลิ่นอายได้รับแรงบันดาลใจมากเยอะเช่นกัน เป็นเรื่องราวที่เล่าไปอนาคตอีกหมื่นๆปี เทคโนโลยี การย้ายดาว เดินทางทุกอย่างล้ำไปอีกขั้นในระดับจักรวาลแล้วนั้นเองครับ และมีการปกครองแบบจักรวรรดิ ต่างๆมากมาย

สำหรับเนื้อหานี้หลายๆคนอาจจะกังวลว่า นิยายมากกว่า 800 กว่าหน้าจะมายัดในเรื่องนี้แล้วคนดูจะต้อง ปูพื้นฐานเยอะไหม ดูยากไหมต้องบอกว่า ง่ายกว่าที่คิดครับเพราะว่าเรื่องนี้จริงๆเป็นเนื้อหาแค่ครึ่งหนึ่งของ นิยายทั้งหมด 800 หน้าเท่านั้นเองครับบอกเลยว่าทำออกมาได้ดี และเรื่องนี้จึงเน้นไปที่การปูพื้นฐานตัวละคร เชื่อมความสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ก็มีการเล่าที่ไม่ได้น่าเบื่อ หรือ เอื่อยแบบที่คิด มีการต่อสู้เข้ามาแทรก การเล่าเรื่องฝั่งอื่นๆเข้ามา ทำให้ทั้งเรื่องสามารถติดตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และเล่าเรื่องเป็น PART 1 เท่านั้นทำให้ตอนจบเองปลายเปิดไปภาคต่อได้ทันทีแบบไม่ต้องสงสัย เป็นหนังที่ เนื้อหาบท อาจจะเน้นปูเรื่องไม่ได้มีจุดพีค หรือหักมุมอะไรมาก แต่ก็เอาคนดูได้อยู่ไม่น่าเบื่อครับอันนี้ถือว่ายาก และทาง Denis Villeneuve ทำได้ดีมาก

นักแสดงเองนั้นระดับเกรด A ทั้งหมดที่เข้ามาร่วมแสดงทั้ง ทิโมธี ชาลาเมต์ , เซนเดยา, เจสัน โมโมอา, เดฟ บอทิสตา, สเตลแลน สการ์สการ์ด และ อีกมากมายทำให้เรื่องการแสดงเราเองไม่ต้องสงสัยในฝีมือการแสดง จนหลายๆคนอยากให้จัดเต็มมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งเนื้อหา ตัวละครต่างๆนั้นเยอะมาก แต่ก็เข้าใจได้ง่ายไม่งงครับจุดนี้แบ่งได้ดี แต่หลายๆคนอาจจะไปเน้นจัดเต็มกัน ภาค 2 เป็นหลักก็ต้องติดตาม ทำให้การแบ่งช่วงที่ออกมา นำเสนอให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายไม่ แน่นเกิน

งานภาพ และ เสียง ส่วนตัวเป็นสาวกเรื่อง งานภาพ และเสียงอยู่แล้วต้องบอกตรงๆว่า คือที่สุดในปีนี้แล้วเท่าที่ดูหนังมา และไว้ใจได้ทั้ง งานเสียงจาก ฮานส์ ซิมเมอร์ และ งานภาพจาก Greig Fraser ทั้งคู่เมื่อรวมกันเรียกได้ว่าระดับเทพมาร่วมงานกันคือที่สุดแล้ว โทนของหนัง ซาวด์ไปด้วยกันแบบไม่มีจุดให้บ่น จนแอบหวังให้ถึง OSCARS เลยนะ งานภาพทำโทนสีได้ดีมาก รวมถึงมุมมอง ดีเทล ความอลังการของฉากที่เน้นใช้งาน CG ให้น้อยที่สุด รวมถึงงานเสียงที่เราคุ้นเคยกันดีในแนวทางแบบนี้จากหนัง BATMAN ตอน NOLAN / INCEPTION / และอีกมากมาย เสียงที่ฟังแล้วขนลุกทุกครั้ง มันมีพลัง ส่งผลต่อหนังและเรื่องนี้ อยากให้ดูใน IMAX เท่านั้นจริงๆครับ

ภาพรวมจึงเป็นหนังที่ระดับเทพมากๆเรื่องนึง ในแง่นิยาย และ มหากาพย์ที่สามารถเล่าเรื่องราวต่อได้อีกหลากหลายภาค แบบเดียวกับ Lord of The Ring แบบนั้นเลยแหละ ความอลังการ คุณภาพจัดว่าโหด และมีอะไรให้เล่า ให้เล่นอีกมากมาย ซึ่งอันนี้จะเน้นไปทางปูเรื่องราว ความสัมพันธ์แต่ละฝ่าย ตัวละครให้เราเข้าใจแน่นๆ และเชื่อเลยว่า ภาค 2 น่าจะลุยเต็มที่มากกว่านี้ ทำให้ภาคแรกอาจจะไม่ได้หวือหวา พีคอะไรมาก เน้นเรียบๆแต่เล่าเรื่องได้ดีก็ถือว่าดีกว่าที่คิด คนดูไม่งง ไม่หลับ ตัวละครแบ่งกันมาได้ดี เล่าเรื่องเข้าใจง่ายแบบนี้ ดีกว่าที่เคยทำในยุคแรกๆมากแล้ว และ ส่วนตัวประทับใจ

BENJI Review

Dune : Part One (2021): มหากาพย์ไซไฟเรื่องเยี่ยมที่ไม่ได้เห็นมานานนับจาก The Lord of the Rings

สวัสดีครับ แฟนเพจทุก ๆ ท่าน… ต้องขออภัยที่ไม่ได้อัพเดทเพจเลย (จนกลายเป็นเพจร้างไปแล้ว 😂)

ล่าสุดภาพยนตร์ Dune (2021) ได้เข้าโรงภาพยนตร์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมมีโอกาสได้เข้าไปชม ต้องขอบอกเลยว่า การชม Dune ในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการดูหนังในโรงภาพยนตร์ของผมเลย

ดังนั้นผมจึงอดไม่ได้ที่จะมารีวิว ใครสนใจก็ลองอ่านดูได้นะครับ (อาจจะยาวนิดนึง)

มาเริ่มกันเลย !

– Dune: Part One (2021) ได้รับการกำกับโดย Denis Villeneuve ที่มีผลงานดังอย่าง Sicario (2015), Arrival (2016), Blade Runner 2049 (2017) (โดยเฉพาะสองเรื่องหลังนี้ ถือเป็นงานปรัชญาไซไฟยุคใหม่ชั้นเยี่ยม

และน่าจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ Denis ได้มากำกับภาพยนตร์ Dune ที่เป็นแนวปรัชญาไซไฟเช่นกัน) / ส่วนด้านดนตรีประกอบภาพยนตร์ ได้ Hans Zimmer มาทำให้กับ Dune เวอร์ชั่นนี้ ซึ่งรับประกันความกระหึ่มแน่นอน

[ ความเป็นมหากาพย์ที่เทียบเท่ากับ The Lord of the Rings ]

– ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์ชุด (Sequel) แนวมหากาพย์แฟนตาซี – ไซไฟ คุณภาพเยี่ยม มีความเป็นปรัชญาและเป็นที่คุ้นเคยกับเหล่าผู้ชม ผมอยากจะขอยกให้กับ 4 เรื่องนี้ที่ผมมองว่าค่อนข้างโดดเด่นกว่าเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ Star Wars Episode IV-VI (1977 – 1983), The Lord of the Rings (2001 – 2003), The Matrix (1999 – 2003) และ Avatar (2009 – ยังมาแค่ภาคเดียว)…

ในสี่เรื่องนี้ ขอยกให้ LOTR เป็นไตรภาคภาพยนตร์ที่ดีที่สุด

– ดังนั้นจะสังเกตเห็นว่าหลังจากปี 2009 เป็นต้นมา ก็ไม่มีภาพยนตร์แนวมหากาพย์ (ผสมปรัชญา) ผ่านมาอีกเลย…
จนกระทั่งในปีนี้ Dune เวอร์ชั่น 2021 ได้เข้าฉาย หลังจากที่ผมได้ดู ก็ต้องขอชมว่า Dune (2021) จัดว่ามี ‘สเกลและคุณภาพหนังอยู่ในระดับเดียวกับ The Lord of the Rings’

– เรียกได้ว่าต้องรอถึง 18 ปี (นับจาก 2003) กว่าที่จะมีภาพยนตร์ในมหากาพย์ระดับเดียวกับ LOTR โลดแล่นเข้ามาในวงการภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง
[ ต้นทุนเรื่องที่ดีจากงานประพันธ์ของ Frank Herbert ]

– จุดเด่นแรกที่ผมอย่างจะพูดถึงสำหรับ Dune คือ ‘ต้นทุนเรื่อง / โครงเรื่องแนวปรัชญาไซไฟ’ ของ Dune ที่ถูกประพันธ์ไว้โดย Frank Herbert ในปี 1965 นั้น ถือเป็นงานประพันธ์ขึ้นหิ้งในระดับเดียวกับงานประพันธ์ The Lord of the Rings ของ J. R. R. Tolkien ซึ่งงานประพันธ์ทั้งสองเรื่องนี้ ต่างเป็นต้นกำเนิดสายธารให้กับนวนิยายหรือภาพยนตร์ยุคหลังอีกมากมาย
(อย่าง Star Wars ของ George Lucas ก็ได้รับอิทธิพลมาจาก Dune เช่นกัน)

– ตัวผู้กำกับ Denis Villeneuve จึงถือได้ว่ามีต้นทุนเรื่องที่ดีมาก เหมือนมีวัตถุดิบเริ่มต้นที่สามารถนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมได้ แต่ในขณะเดียวกันนี่ก็อาจะเป็นงานหินอีกอย่าง เพราะด้วยโครงสร้างเรื่องแนวมหากาพย์ที่ทั้งใหญ่และซับซ้อน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายการพัฒนาไอเดียเพื่อเปลี่ยนสารตั้งต้นจากบทประพันธ์ไปสู่งานภาพยนตร์ขนาดใหญ่…

– ในจุดนี้เอง ต้องขอชื่นชม Denis Villeneuve ในการพัฒนาและใส่วิสัยทัศน์ให้กับ Dune ในเวอร์ชั่นนี้ เพราะตัวเขาเองสามารถสร้าง Dune ในเวอร์ชั่นที่ยังเคารพบทประพันธ์เอาไว้ ซึ่งสะท้อนความเป็นปรัชญาไซไฟ (ผสมการเมือง + ศาสนา) ได้อย่างดีเยี่ยม
[ อรรถรสที่ถูกถ่ายทอดอย่างคุ้มค่า ]

– จุดเด่นที่ผมอย่างจะพูดต่อคือ ‘การถ่ายทอดอรรถรสของความเป็นภาพยนตร์ได้อย่างคุ้มค่า’
– ด้วยความที่หนังมีลักษณะเป็นมหากาพย์ ทีมผู้สร้างก็ใส่ความเป็นมหากาพย์ลงไปในภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ผ่านงานดีไซน์, Cinematography, Soundtrack, Sound Effects.

ต้องชื่นชมที่ทีมผู้สร้างตีโจทย์แตก ทีมผู้สร้างรู้ว่าควรจะฉายภาพอะไรออกไป, จักรวาลในมุมมองของ Dune ที่หนักแน่นสมจริง มีความเป็นเหตุเป็นผลควรเป็นอย่างไร, ตีความอย่างไรให้ Dune มี Balance ระหว่างโครงนิยายเดิมกับการเป็นภาพยนตร์สมัยใหม่ไปด้วยก้น

– พอผู้สร้างเข้าใจในจุดนี้ และถ่ายทอดได้อย่างถูกที่ถูกเวลา หนังจึงสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้… หนังทำให้ผู้ชมสัมผัสจับต้องโลกจินตนาการของ Dune ได้จริงๆ พร้อมที่จะอินไปกับเรื่องราว และถึงแม้ว่าจะอิงเนื้อเรื่องจากบทประพันธ์เดิม ในขณะเดียวกันก็อาศัยวิธีการเล่าเรื่องแบบสมัยใหม่ผสานกับเทคนิคภาพยนตร์ ทำให้งานออกมาดูสดและน่าสนใจมาก

[ ภาพรวมของ Dune: Part One (2021) ]

– โดยภาพรวม Dune ต้องบอกว่าเป็นงานที่ค่อนข้างสมบูรณ์ สำหรับบทภาพยนตร์ถือว่าดีเยี่ยม การดำเนินเรื่องละเมียดละไม (หรือบางคนอาจมองว่าเนิบ) แต่ก็หนักแน่น เข้มข้น น่าติดตาม ช่วงเข้าโหมดกดดัน ก็ทำให้คนดูรู้สึกถึง Pressure ตามบรรยากาศเรื่องได้

– งานภาพ ทั้งมุมกล้องและ CG รวมถึงงานเสียงช่วยสร้างอารมณ์บรรยากาศของเรื่องได้เจ๋งจริง ๆ (แบบอะไรจะอลังการปานนี้ 😂)

– งานเทคนิคดีไซน์มีความโดดเด่น เช่น การดีไซน์และใส่กลิ่นอายทะเลทรายแบบชาวอาหรับ / หนอนยักษ์ / ยานอวกาศ… ต้องบอกว่าอลังการจริง ๆ

– หลาย ๆ ซีนดูแล้ว รู้เลยว่า Star Wars ได้อิทธิพลมาจากใคร 😂

– สำหรับเรื่องนักแสดง ทุกคนแสดงได้สมบทบาท ไม่มีอะไรต้องติเลย

[ ข้อเสีย / คำแนะนำ ]

– แม้ว่า Dune จะไม่ใช่หนังอาร์ต 100% แต่สไตล์หนังของ Denis Villeneuve ก็ไม่ใช่สไตล์ที่จะเหมาะกับทุกคน (หนังแกมักจะซับซ้อน ดำเนินเรื่องเนิบ มีแก่นที่ลึก และมีความอาร์ต) จึงไม่ใช่หนังที่ดูง่าย ผู้ชมต้องใช้พลังงานเยอะในการคิดวิเคราะห์เพื่อติดตามเรื่อง
และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเรื่องนี้ คิดว่าหนังน่าจะดูเอนไปทางสายนักวิจารณ์มากกว่า (เพียงแต่มีความอลังการแบบหนัง Blockbuster / ทุนสร้างสูง)

– ควรอ่านเรื่องย่อไปก่อน เพื่อให้เห็นภาพหนังชัดเจนขึ้น (ในเรื่องมีหลายฉากที่เล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว เราอาจจะตามเรื่องไม่ทัน – แนะนำกระทู้นี้ ช่วยให้เข้าใจเรื่องราวจักรวาลของ Dune
)

– Dune ภาคนี้ สร้างมาเพื่อปูเรื่องไปสู่ภาคต่อไปโดยเฉพาะ เนื้อเรื่องจริงๆ จึงดูไม่ค่อยมีอะไรมาก เหมือนเป็นการอารัมภบทจุดเริ่มต้นการเดินทางของตัวละครเอกมากกว่า โดยเน้นที่ให้ผู้ชมเข้าใจในจักรวาลของ Dune และการเห็นนิมิตของพระเอก (ซึ่งก็ทำได้น่าติดตาม) หากไม่ดูภาคนี้ก็อาจจะดูภาคต่อไปไม่รู้เรื่อง

– ในมุมมองผม ถ้าเทียบ Dune (2021) กับ Lord of the Rings (2001 – 2003): ผมยังรู้สึกประทับใจในตัว LOTR มากกว่านะ ผมรู้สึกว่า มุมมองของ Peter Jackson (ผู้กำกับ LOTR) ในการเล่าเรื่องราวภายใน Middle Earth ของแก ทำให้ผู้ชมเข้าใจได้ง่ายกว่า (อาจจะเรียกได้ว่า Peter Jackson เล่าได้เฟรนลี่กับคนดูมากกว่า)

– ส่วนถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของ Dune กับ Star Wars: เนื่องจาก Dune เป็นงาน Original ดังนั้น Dune จะมีโทนที่ซีเรียส ลึกและสมจริง ไปทั้งทางไซไฟ ปรัชญาการเมือง ผสมกับศาสนาและความเชื่อ ส่วน Star Wars จะมีพล็อตที่เบากว่า เน้นไปทางการเมืองและความขัดแย้งเป็นส่วนใหญ่

[ สรุป ]

Dune: Part One (2021) – ถือเป็นงานที่น่าสนใจ เพราะนับจาก The Lord of the Rings ในวงการภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีผลงาน Scale ระดับนี้มานานแล้ว… ทุกอรรถรสที่ Dune มอบให้กับเหล่าผู้ชม สามารถเรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่โดดเด่นและน่าประทับใจ (แต่ก็ต้องใช้พลังงานในการเสพอย่างมากเช่นกัน) หนังมีกลวิธีการเล่าและความอาร์ตตามสไตล์ผู้กำกับ จึงไม่ใช่หนังดูง่าย แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไป ถ้าตั้งใจดู ค่อยๆ เสพอย่างใจเย็น / ละเมียดละไม ก็จะอินและสนุกไปกับเรื่องได้

ทั้งนี้ Dune เป็นหนังที่เราควรดูในโรงภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งงานภาพและเสียงอลังการจริง ดูในโรงช่วยขับเน้นบรรยากาศได้มาก (เหมือนทำมาสนองกิเลสให้กับคนดูที่ก่อนหน้านี้โรงหนังปิดยาว 😂)

สำหรับเรื่องรางวัล ถ้ามองในแง่โอกาสออสการ์ผมว่า น่าเข้าชิงหลายสาขา ยิ่งถ้าไปทางด้านเทคนิคอย่างเรื่องภาพและเสียงถือว่าน่าคว้าออสการ์มาก และถ้ากระแสนักวิจารณ์มาแรงจริง ก็อาจไปถึงรางวัลหลักอย่าง Best Pictures ได้ด้วย… เราคงต้องรอตามลุ้นกันต่อไป!

สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ไว้มีเรื่องอะไรน่าสนใจเดี๋ยวจะมาแนะนำอีก ขอบคุณครับ 😀

สมาชิกหมายเลข 1361058

รีวิว Dune: มหาสงครามยึดจักรวาล ภาพยนตร์ไซไฟสุดอลังการ

Dune ภาพยนตร์มหากาพย์ไซไฟฟอร์มยักษ์ กำกับโดย Denis Villeneuve ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกัน ผลงานของ Frank Herbert พาเราดำดิ่งสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยเรื่องราวการต่อสู้ แรงจูงใจ และปรัชญาที่น่าค้นหา

ความประทับใจแรก

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Dune คือภาพยนตร์เรื่องนี้สวยงามอลังการ ฉากต่างๆ ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าทึ่ง เทคนิคพิเศษสมจริง ดึงดูดสายตา เสียงประกอบยิ่งใหญ่อลังการ เสริมอรรถรสให้หนังได้อย่างดีเยี่ยม

เนื้อเรื่องและตัวละคร

Dune เล่าเรื่องราวของ Paul Atreides ชายหนุ่มผู้ถูกกำหนดให้เป็นผู้กอบกู้จักรวาล เขาต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ Arrakis ดินแดนรกร้างอันตราย เต็มไปด้วยทรัพยากรล้ำค่า เรื่องราวการผจญภัย การต่อสู้ และการเติบโตของ Paul ช่างน่าติดตาม ตัวละครแต่ละตัวมีมิติ น่าสนใจ โดยเฉพาะ Paul, Lady Jessica และ Duncan Idaho

ประเด็นน่าคิด

Dune ไม่ได้เป็นเพียงหนังไซไฟแอ็คชั่น แต่แฝงไปด้วยประเด็นน่าคิดมากมาย เช่น การเมือง การศาสนา สิ่งแวดล้อม ชนชั้น วัฒนธรรม ภาพยนตร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจ ความศรัทธา และความหวัง ทิ้งไว้ให้ผู้ชมได้ตีความและคิดต่อ

ข้อติ

Dune มีความยาวค่อนข้างมาก เนื้อเรื่องบางส่วนอาจดูซับซ้อน ยากเข้าใจ ตัวละครบางตัวอาจยังไม่ถูกขยายความมากนัก

โดยรวมแล้ว

Dune เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดู ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบประสบการณ์ที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก กระตุ้นความคิด และยังแฝงไปด้วยปรัชญาที่ลึกซึ้ง

คะแนน: 9/10

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

Dune Part Two (2024) ดูน ภาค 2

Dune (1984) ดูน สงครามล้างเผ่าพันธุ์จักรวาล

Dune Drifter (2020)

Moon Knight (2022) อัศวินพระจันทร์ EP.1-6 (จบ)

Eternals (2021)

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ดูหนังออนไลน์ 2023

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่