Dressed to Kill (1980) แต่งตัวไปฆ่า
เรื่องย่อ
Dressed to Kill เคท มิลเลอร์ (Angie Dickinson) เป็นแม่บ้านธรรมดาที่ใฝ่ฝันอยากจะลองมีชีวิตโลดโผนดู บ้าง แล้ววันหนึ่งเธอก็พบชายหนุ่มรูปงาม เธอจึงทำในสิ่งที่เธอต้องการ แต่นั่นอาจเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเธอ…
ผู้กำกับ
- Brian De Palma
บริษัท ค่ายหนัง
- Filmways Pictures
นักแสดง
- Michael Caine
- Angie Dickinson
- Nancy Allen
- Keith Gordon
- Dennis Franz
- David Margulies
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
“สนุก มีสไตล์ Dressed to Kill ได้อารมณ์และกลิ่นอายความเป็นอัลเฟรด ฮิตซ์ค็อกสุดๆ” เนื่องจากที่ตอนนี้ไม่มีอะไรดูซะหน่อย เลยอยากหาหนังมาดูคั่นเวลาไปงั้นๆ ก็เลยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดู ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอยากดูนัก เพียงเพราะว่าไปอ่านรีวิวของท่านหนึ่งมา เขาบอกว่าเป็นหนังฆาตกรรมที่ใช้ได้ จึงทำให้ไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แอดมินก็เลยอาบน้ำอาบท่า เปิดดูเรื่องนี้ด้วยความที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะคะแนนใน Imdb ก็ให้พอดีๆตั้ง 7.1 เลยก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะคิดแน่ๆว่ามันต้องสนุกแบบกึ่งๆไม่ได้เรื่องแน่ๆ สุดท้ายก็ตัเสินใจดูคั่นเวลาก่อนนอนซะเลย
พอได้ดูจนจบแล้ว ก็ถึงกับใจเต้นเลย เพราะว่าเรื่องนี้มีดีมากๆ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ แม่ม่ายสาว เคท มิลเลอร์ที่อยากมีชีวิตที่โลดโผน อยากจะมีหนุ่มๆมาครอบครองเธอเสมอๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเธอเองมีอะไรกันกับชายคนนั้น จนกระทั่งเธอตื่นมาและกำลังเดินทางกลับบ้าน โดยขณะใช้ลิฟท์นั้น เธอเองก็โดนหญิงสาวแปลกหน้าใช้มีดโกนฆ่าเธออย่างอำมหิต ซึ่งทำให้ตำรวจหาคนต้องสงสัยในคดีนี้ ซึ่งคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีมีจิตแพทย์ของมิลเลอร์ โรเบิร์ต อีเลียต, โสเภณีที่ดันไปเห็นเหตุการณ์ ลิซ เบลค, ลูกชายคนเดียวของเธอ ปีเตอร์ มิลเลอร์ ซึ่งทั้งสามเองก็ต้องมาสืบสวนกันเองว่า ใครเป็นฆ่า และฆ่าเพื่ออะไรกันแน่…
สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะคลี่คลายยังไง โปรดติดตามครับ !!!! เอาจริงๆนะ หนังเรื่องนี้ในตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังกับอะไรมาก เพราะไม่มีคนพูดถึงมาก แต่พอได้ดูจริงๆแล้วถึงกับร้องเลยว่า “โอ้แม่เจ้า แมร่งสนุกจริงๆ” แบบว่าผมเองไม่ได้คาดหวังเลยนะ สุดท้ายถึงกับอิ่มเอมไปเลยกับความระทึกของ Brain De Palma ซึ่งจริงๆแล้วผมเองยังไม่เคยดูหนังของเขาซักเรื่องเลย (ว่าจะลองหา Blow out มาดู เขาว่าสนุกดี) แบบว่าตัวหนังเองมีการวางเรื่องที่ฉลาดมากๆ ถึงแม้ว่าบางช่วงจะมีจุดที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่ด้วยพลังดาราและความระทึกของเรื่องทำให้ ตัวหนังยังดูสนุกไปบ้าง เพราะการดำเนินเรื่องได้ดี มีการวางหมากให้หลอกคนดูเล่น เหมือนสไตล์ของใครหนา….. อ๋อ ลุงอัลเฟรด พ่อบ้านแบทแมน เห้ย ลุงอัลเฟรด ฮิตซ์ค็อก ผกก.สุดระทึกแห่งปรมาจารย์หนังระทึกขวัญ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูเป็นฮิตซ์คอก คือการดำเนินเรื่องที่ฉลาด Dressed to Kill วางหมาดหลอกล่อคนดู หักมุมเอียงซ้ายหงายหลัง และการให้ตำรวจในเรื่อง เป็นคนที่ไม่ค่อยจะฉลาด และมักจะไม่ใช่คนที่คลี่คลายคดีได้สำเร็จ (ส่วนหนึ่งเพราะฮิตซ์ค็อกมีปูมหลังกับตำรวจในวัยเด็กครับ) ทำให้หนังเรื่องนี้ดูเป็นการคารวะหนังของลุงอยู่ไม่ใช่น้อย (ขนาดฆาตกรของเรื่อง ดันไปคล้ายกับฆาตกรในหนังเรื่องหนึ่งของฮตซ์ค็อกเลย)
นอกจากนี้ หนังเองยังมีองค์ประกอบที่ดูผวาและระทึกได้ดีทีเดียวเลยครับ ตั้งแต่การใช้มุมกล้อง (ถ้าใครอยากทำหนังฆาตกรรม ต้องไปศึกษาเรื่องนี้ดูครับ) ที่ดูลุ้นระทึกดี โดยใช้เฉพาะฉากไอฆาตกรรมลิฟท์ฺที่บอกได้เลยว่า เจ๋งมากๆ การลำดับภาพ การตัดต่อที่เข้าขั้นสุดยอด ดนตรีประกอบก็เร้าใจดีนะ ฉากบางฉากก็มีเพลงที่ฟังรื่นหูพอฟังไปเรื่อยๆก็เริ่มหนักหน่วงมากขึ้นจนผวาได้เลย ฉากโหดก็มีให้เห็นนะ ถึงแม้ว่าจะไม่โหดแบบในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูน่ากลัวและโหด คือการใช้มีดโกนเฃือดนิ่มๆ ไม่ใช่เชือดรวดเดียวจบ (เทคนิคนี้ Friday the 13th ก็เอาไปใช้นะ) เพราะไม่รู้ิสิ เพราะอยู่ที่มุมกล้องหรืออะไรที่การเชือดช้าๆดูน่ากลัวมากที่สุด (อย่างฉากในลิฟท์เป็นต้น) ส่วนหนึ่งต้องยกให้ผกก.เองที่วางจังหวะการฆาตกรรรมได้อย่างเหมาะสม สรุปแล้ว ถ้าใครอยากหาหนังแนวฆาตกรรมสุดตื่นเต้น, หนังสืบสวนลึกลับ, การวางโครงเรื่องหรือองค์ประกอบอื่นๆ หรืออื่นๆอีกมากมาย ก็เชิญแนะนำเรื่องนี้ รับรองว่าไม่ผิดหวังเลย
ข้อดี
+ ตัวหนังดำเนินเรื่องได้สนุก และลุ้นระทึกมากๆ
+ องค์ประกอบต่างๆของหนัง อย่างมุมกล้อง ดนตรีประกอบ หรือการลำดับภาพ แสงสีก็เข้าท่า การวางหมากตัวละคร ดำเนินเรื่องฉลาดๆ
+ นักแสดงที่แสดงได้ดีทุกคนครับ
+ นี่คือหนังคารวะ ลุงอัลเฟรด ฮิตซ์ค็อกที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง
ข้อเสีย
– ตัวหนังยังมีบางช่วงที่ดูน่าเบื่อไปหน่อย Dressed to Kill
สรุปคะแนนกันครับ ผมให้ไปเลยสำหรับหนังฆาตกรรมชั้นเยี่ยม 8.5/10 ครับ ปล. ใครที่หวังว่าจะมีฉากวับๆแวมๆไหม มีแน่นอนครับ ตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องเลย ฮ่าๆ
ว่าจะให้ 7.5 น่ะแหละแต่พอเจอตอนจบที่ยืดออกมาเพื่อโชว์ nude scene เลยลดเหลือ 7 หนังหยิบยืมตัวละครสองบุคลิกที่เพศสภาพชาย-หญิงข่มกันอยู่จาก Psycho มาใช้สร้างฆาตกรใน Dressed to Kill โดยยังหยิบยืมเทคนิคการเล่าเรื่องที่ให้ตัวเอกตายตั้งแต่ 30 นาทีแรกและฉากเฉลยที่ดูยังไงก็คล้าย Psycho เหลือเกิน แต่ตัวหนังโดยรวมแล้วจัดเป็น psychological thriller ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งตรงที่ว่าหนังเฉลยเป็นนัยว่าฆาตกรคือคนสองบุคลิก แต่คำถามที่คนดูต้องการคำตอบก็คือแล้วจะจับคนร้ายได้อย่างไร
เกิดเหตุสาวผมบลอนด์ลึกลับลงมือฆาตกรรมหนึ่งในคนไข้ของ ‘จิตแพทย์เอลเลียต’ (Michael Caine) โดยพยานที่เห็นเหตุการณ์ก็คือ ‘ลิซ’ (Nancy Allen) โสเภณีชั้นสูงที่บังเอิญกดลิฟต์เวลานั้นพอดี แต่เธอกลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจแทนเสียอย่างนั้น จริง ๆ มีหลายอย่างใน Dressed to Kill ที่ค่อนข้างประดักประเดิด เช่นเทคนิคการแบ่งสองจอที่เจ้าตัวน่าจะติดใจมาจากตอนทำหนังเรื่อง Phantom of the Paradise (ฉาก long take เล่าสองจอพร้อมกันอันนั้นยอดเยี่ยมจริง แต่ใช่ว่าเอามาใช้กับฉากธรรมดาแล้วจะเจ๋ง), ฉากจบที่ขายความระทึกขวัญพ่วงด้วยฉากโป๊เปลือยขายเรือนร่างของแนนซี่ อัลเลนโดยไม่จำเป็น
**** สปอยล์คนร้าย ****
แต่อย่างไรก็ตามหลายอย่างก็จัดอยู่ในขั้นดีเยี่ยม เช่นฉากแนนซี่ อัลเลนยั่วยวนจิตแพทย์ที่เซ็กซี่เกรด A+++++ ซึ่งฉากนี้มันมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องตรงที่ว่ามันเป็นการกระตุ้นสถานะเพศชายในตัวจิตแพทย์(อวัยวะเพศแข็ง) ทำให้อีกด้านที่เป็นเพศหญิงต้องหาทางกำจัดตัวกระตุ้นด้านความเป็นชายทิ้งไปซะ นั่นก็คือการฆาตกรรมเหยื่อคนแรกที่ถามคำถามให้หมอครุ่นคิดเรื่อง sex กับเพศหญิง และฆาตกรรมโสเภณีที่จงใจถอดเสื้อยั่วยวนเขา Dressed to Kill อีกจุดหนึ่งที่ดีเยี่ยมไม่แพ้กันคือการเล่าเรื่องหลังเกิดเหตุฆาตกรรม ช่วงนี้เป็นช่วงที่หนังหลอกคนดูให้เขวไปว่าคนร้ายเป็นหนึ่งในคนไข้ของหมอผู้จงใจปกปิดข้อมูลต่อตำรวจด้วยเหตุผลเรื่องจรรยาบรรณแพทย์
คนดูถูกชี้นำว่าคนไข้ที่ป่วยทางจิตเป็นคนสองบุคลิกน่าจะเป็นผู้ก่อเหตุ ด้วยบันทึกเสียงฝากข้อความในโทรศัพท์และคำพูดที่ชัดเจนว่าเขาขโมยใบมีดโกนของหมอไปจึงทำให้คนดูตั้งคำถามว่าลิซและลูกชายของเหยื่อฆาตกรรมจะค้นหาคนไข้คนนี้ด้วยวิธีไหน โดยคนดูหารู้ไม่ว่ากำลังตกหลุมพรางของผู้กำกับเพราะแท้จริงแล้วคนร้ายก็คือหมอนั่นเอง นอกจากนี้เทคนิคการจัดแสงเพื่อสร้างความเขย่าขวัญจากมุมมืด, มุมกล้องที่จงใจปกปิดใบหน้าของฆาตกร รวมถึงการเล่นกับภาพสะท้อนของกระจกเงาก็ล้วนทำออกมาได้ดี เมื่อบวกกับเข้าบทหนังที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Psycho จึงทำให้ Dressed to Kill จัดเป็นอีกหนึ่งหนังจิตวิทยาระทึกขวัญที่น่าสนใจ อีกทั้งยังมีความเซ็กซี่ยั่วยวนขับเน้นกามารมณ์ได้ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าหากท่านป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ โซนหนังฆาตกรรมนะครับ ก็น่าจะคุ้นชื่อของผู้กำกับ Brian De Palma เป็นอย่างดี เพราะผมขยันโพสต์หนังของแกนั่นเอง แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว พี่แกก็เป็นหนึ่งในตองอูอยู่นะครับสำหรับหนังแนวนี้น่ะ เพราะทำได้ถึง น่าติดตาม ให้อารมณ์ผวาได้ และนี่คือผลงานชิ้นสำคัญในยุคแรกๆ ของเขาครับ จะว่าแจ้งเกิดก็ไม่เชิง เพราะตอนนั้นพี่แกดังไปกับ Carrie อยู่แล้วน่ะ มาเรื่องนี้ก็เรียกว่าเป็นหนังตอกย้ำความสำเร็จแล้วกันน่ะครับ เคท มิลเลอร์ (Angie Dickinson) คือแม่บ้านธรรมดาที่ใฝ่ฝันอยากจะลองมีชีวิตโลดโผนดูบ้าง แล้ววันหนึ่งเธอก็พบชายหนุ่มรูปงาม เธอจึงทำในสิ่งที่เธอต้องการ แต่ นั่น อาจเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเธอ !
สมทบด้วย Michael Caine ในบท ดร.โรเบิร์ต เอลเลียต จิตแพทย์ประจำตัวของเคท, Nancy Allen ในบท ลิซ เบลค โสเภณีสาวนางหนึ่งที่มาพัวพันกับเรื่องนี้อย่างไม่ตั้งใจ, Keith Gordon มาเป็น ปีเตอร์ มิลเลอร์ ลูกชายคนเดียวของเคท และ Dennis Franz ดาราเจ้าประจำอีกคนในยุคนั้นของผู้กำกับ De Palma มาแสดงเป็น นักสืบมาริโน ตำรวจที่ต้องมาตามหาความจริง จะว่าไป หนังก็มีกลิ่นอายของ Psycho อยู่มากเลยครับ ส่วนเรื่องมุมกล้อง ความตื่นเต้น น่ากลัว อันนี้ผมยอมรับเลยว่าหนังทำได้ดีในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการวางเรื่อง และการเปิดตัวคนร้าย ซึ่งก็มีแง่มุมที่น่าสนใจทางจิตวิทยาแทรกเข้ามาด้วย คือไม่ใช่แค่ไอ้บ้าไล่ฆ่าคนเท่านั้น มันมีที่มาที่ไปครับ
ดาราต้อง เรียกว่าดีหมดทุกคน โดยเฉพาะ Caine ที่มีฝีมือมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในเรื่องเขาดูดีมากๆ ครับ แสดงได้ถึงจริงๆ ดาราคนอื่นก็ดีหมดครับ Dickinson เธอก็ดูเหมาะกับบทดีครับ ตอนแรก De Palma อยากจะให้ Liv Ullmann มาแสดงครับ Dressed to Kill แต่เธอปฏิเสธไป ทว่าสำหรับผมแล้ว Dickinson ดูเข้ากว่ามากครับ แววตาตอนมองหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้ลึกลับนั่น บ่งบอกชัดๆ ว่าอยากจะเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วยจริงๆ เอาเป็นว่านี่เป็นหนัง ฆาตกรรมที่ทำได้ถึงขีดมากเรื่องหนึ่ง คอหนังแนวนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงคับ ทุกส่วนลงตัวดีจริงๆ และเรื่องมุมกล้องนี่ต้องเรียกว่าเป็นความเด่นอีกประการของผู้กำกับ De Palma เลยล่ะครับ ถ้าใครอยากทำหนังแนวฆาตกรรม เรื่องนี้ไม่เลวที่จะดูซักครั้งครับ ลองเอาเรื่องการถ่ายภาพไปศึกษาดู ว่าทำอย่างไรมันถึงได้อารมณ์ไรเงี้ยนะครับ เกือบๆ สามดาวครับ (7.5/10)
7.1