ดูหนังออนไลน์ใหม่ 2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนังใหม่ ดูหนังฟรี HD Netflix
บาคาร่า ออนไลน์
สล็อตเว็บตรง

Diamonds Are Forever (1971) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 7: เพชรพยัคฆราช

1 คะแนน

ตัวอย่าง

Diamonds Are Forever (1971) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 7: เพชรพยัคฆราช

Diamonds Are Forever (1971) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 7: เพชรพยัคฆราช

เรื่องย่อ

เจมส์ บอนด์ (Sean Connery) ต้องมารับภารกิจตามล่าแก๊งลักลอบค้าเพชรเถื่อน บอนด์ก็ได้สืบเงื่อนงำไปจนถึงลาส เวกัส ก็ได้พบกับ ทิฟฟานี่ เคส (Jill St. John) สาวบอนด์ของเรื่อง และได้พบวายร้ายที่อยู่เบื้องหลังแผนร้ายครั้งนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ได้แก่ เอิร์นส์ สตาฟโร โบลเฟลด์ (Charles Gray) ศัตรูคู่แค้นดั้งเดิมของบอนด์มาตลอด การไล่ตามเอิร์นส์ สตาฟโร โบลเฟลด์เจมส์ บอนด์ – เจ้าหน้าที่ 007 – พบเขาในสถานที่ซึ่งมีการสร้างคนหน้าเหมือนโบลเฟลด์ผ่านการทำศัลยกรรมพลาสติก บอนด์สังหารผู้ทดสอบและต่อมาคือโบลเฟลด์ “ตัวจริง” โดยการทำให้เขาจมลงในแอ่งโคลนที่ร้อนยวดยิ่ง

ในขณะที่มือสังหารMr. Wint และ Mr. Kiddสังหารผู้คนไปหลายคนในห่วงโซ่การลักลอบขนเพชรMสงสัยว่า เพชร ของแอฟริกาใต้กำลังถูกกักตุนไว้เพื่อกดดันราคาด้วยการทิ้งและมอบหมายให้บอนด์ค้นพบวงแหวนลักลอบขนเพชร บอนด์สวมรอยเป็น ปีเตอร์ แฟรงค์ผู้ลักลอบขนของเถื่อน เดินทางไปอัมสเตอร์ดัมเพื่อพบกับผู้ติดต่อทิฟฟานี เคส แฟรงค์ตัวจริงปรากฏตัวขึ้นระหว่างทาง แต่บอนด์สกัดกั้นและฆ่าเขา จากนั้นจึงเปลี่ยน ID เพื่อให้ดูเหมือนว่าแฟรงค์คือบอนด์ ทิฟฟานี่และบอนด์ไปที่ลอสแองเจลิสโดยลักลอบนำเพชรที่อยู่ในศพของแฟรงค์

ที่สนามบิน บอนด์ได้พบกับเฟลิกซ์ ไลเตอร์ พันธมิตรของซีไอเอของเขา Diamonds Are Forever  ซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ตรวจการศุลกากร จากนั้นจึงเดินทางไปลาสเวกัส ที่บ้านงานศพที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบขนของเถื่อน ศพของแฟรงค์ถูกเผาและเพชรถูกส่งต่อไปยังผู้ลักลอบขนของเถื่อนอีกรายหนึ่ง นั่นคือเชดี้ ทรี เจ้าหน้าที่ดูแลงานศพบังเอิญข้ามบอนด์ไปสองครั้ง ส่วนวินต์และคิดด์พยายามฆ่าบอนด์ อย่างไรก็ตาม ทรีหยุดกระบวนการนี้หลังจากพบว่าเพชรในร่างกายของแฟรงค์เป็นของปลอม ซึ่งบอนด์และซีไอเอปลูกไว้ บอนด์บอกให้ไลเตอร์ไปส่งเพชรแท้ ที่ไวท์เฮาส์ โรงแรมคาสิโนของวิลลาร์ด ไวท์ มหาเศรษฐีผู้สันโดษ ทรีทำงานเป็นสแตนด์อัพคอมเมดี้ ที่นั่น Tree ถูก Wint และ Kidd ฆ่า ซึ่งไม่รู้ว่าเพชรนั้นเป็นของปลอม

ผู้กำกับ

  • Guy Hamilton

บริษัท ค่ายหนัง

  • Eon Productions

นักแสดง

  • Sean Connery
  • Jill St. John
  • Charles Gray
  • Lana Wood
  • Jimmy Dean
  • Bruce Cabot
  • Putter Smith
  • Bruce Glover

โปสเตอร์หนัง

Diamonds Are Forever (1971) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 7: เพชรพยัคฆราช

Diamonds Are Forever (1971) เจมส์ บอนด์ 007 ภาค 7: เพชรพยัคฆราช

Diamonds Are Forever

รีวิว

หมื่นทิพ

เมื่อ George Lazenby โบกมืออำลาบทเจมส์ บอนด์ หลังจากแสดงไปได้เพียงภาคเดียว ทำให้ Albert R. Broccoli กับ Harry Saltzman 2 ผู้สร้างหนังชุดนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ Sean Connery กลับมาแสดงเป็นบอนด์อีกสักภาค เพื่อกระชากเรตติ้ง พวกเขาเลยเสนอค่าตัว $1.2 ล้าน (บางกระแสก็บอกว่าเสนอไปถึง $2 ล้าน หากเทียบตามค่าเงินปัจจุบันก็ $20 ล้านน่ะครับ) ตามด้วยเงินอีกส่วนหนึ่งเพื่อมอบเข้ากองทุนสก็อตติช เอ็ดดูเรชั่น ทรัสต์ที่ Connery ก่อตั้งขึ้น ตามด้วยเงินเปอร์เซ็นต์จากหนังอีกต่างหาก

แต่ถึงที่สุดแล้ว Connery ก็ยังยืนกรานว่าจะไม่ขอกลับมารับบทบอนด์อีกอย่างแน่นอน ทางผู้สร้างก็งานเข้าสิครับ เลยต้องหันไปหาคนอื่นมาสวมวิญญาณสายลับ 007 คนแรกที่พวกเขาหมายตาก็คือ Roger Moore ครับ แต่พอดีว่าตอนนั้น Moore ติดงานหนังเรื่องอื่นไม่สามารถมาแสดงได้ ทีมงานเลยมองไปที่ Timothy Dalton นักแสดงเจ้าบทบาทอีกคน แต่ติดปัญหาตรงที่เขาดูเด็กเกินไปสำหรับบทนี้ Dalton เลยยังไม่ได้เป็นบอนด์ในตอนนั้น

รายต่อมาที่ทีมงานทาบทามคือ Michael Gambon (คนเดียวกับที่แสดงเป็นดัมเบิลดอร์ใน Harry Potter ตั้งแต่ภาค 3 เป็นต้นไปนั่นแหละครับ) แต่แล้ว Gambon เองกลับเป็นฝ่ายปฏิเสธพร้อมบอกเหตุผลกับ Broccoli ว่า “ผมน่ะหุ่นไม่เหมาะกับบทหรอก” การค้นหายังคงดำเนินต่อไป จนผู้สร้างไปเจอนักแสดงอเมริกันท่าทางทะมัดทะแมงนามว่า John Gavin ที่เคยแสดงใน Psycho (1960) ของ Alfred Hitchcock มาก่อน เรียกว่าหน่วยก้านท่าทางนั้นเหมาะมาก

แต่ตอนที่ Gavin ตกลงจะเซ็นต์สัญญานั้นเอง Connery เกิดเปลี่ยนใจ Diamonds Are Forever  ติดต่อมาบอกว่า เขาพร้อมจะกลับมาเล่นหากทาง United Artist (บริษัทออกทุน) เพิ่มข้อเสนอที่จะออกทุนสร้างหนังให้เขาอีกสองเรื่อง ได้แก่เรื่อง The Offence (1972) กำกับโดย Sidney Lumet ส่วนอีกเรื่องคือ Macbeth ที่ Connery ตั้งใจแสดงนำด้วยตนเอง (แต่จนแล้วจนรอด Macbeth ฉบับนี้ก็ไม่ได้ทำ เนื่องจากมีโปรเจคท์ The Tragedy of Macbeth ของ Roman Polanski เปิดกล้องไปแล้ว งานสร้างฉบับของ Connery เลยถอยทัพไป) จากข้อเสนอนี้ ถ้า UA ตกลง เขาก็ยอมกลับมาอย่างแน่นอน ซึ่งทางสตูดิโอผู้สร้างก็ยินดีรับทันทีครับ กี่ข้อเสนอก็ได้ ขอให้ Connery กลับมาแสดงก็พอ

Connery เลยได้กลับมาเป็นเจมส์ บอนด์อีกรอบ ทีนี้ก็ได้เวลาหาผู้กำกับมารับงานต่อ ซึ่งตอนแรกนั้นทีมงานยังคงมอบเก้าอี้นี้ให้กับ Peter R. Hunt ผู้กำกับบอนด์ภาคที่แล้วอยู่ แต่ Hunt เองกลับไม่ว่างครับ เคลียร์คิวไม่ลงตัว เลยขอให้ผู้สร้างช่วยเลื่อนเวลาการถ่ายทำบอนด์ภาคนี้ออกไปก่อนได้ไหม แน่นอนว่าผู้สร้างปฏฺิเสธครับ ทำให้ Hunt ไม่ได้มากำกับบอนด์ต่อ ระหว่างการตามหาคนกำกับคนใหม่ ทีมงานก็ปรึกษากันถึงแนวทางว่าอยากจะให้บอนด์ภาคนี้ออกแนวบันเทิง สนุกสนาน เปี่ยมอารมณ์ขันแบบที่ตอน Goldfinger ทำได้และสร้างความสำเร็จมากมายมาแล้ว และพอคิดถึงประเด็นนี้ ทีมงานก็ไม่นึกถึงใครนอกจากผู้กำกับ Guy Hamilton จากบอนด์ภาค Goldfinger นั่นเอง ซึ่งเขาก็ตบปากรับคำยินดีกลับมาครับ ด้านคนเขียนบทก็ได้ Richard Maibaum กลับมาจัดแจงร่างบทดัดแปลงจากนิยายให้ ก่อนทีมงานจะไปตาม Tom Mankiewicz ให้มาช่วยปรับบทต่ออีกทอดหนึ่ง

เนื้อเรื่องตอนแรกหมายมั่นจะให้น้องชายฝาแฝดของออริก โกลด์ฟิงเกอร์กลับมาล้างแค้น แต่พอคิดไปคิดมา ถ้าจะให้เข้ากับตอนจบภาคที่แล้ว ก็ต้องตามโบลเฟลด์กลับมาเป็นหัวหน้าตัวร้ายอีกรอบ (เนื่องจากตอนจบภาคที่แล้ว โบลเฟลด์ได้ฝังแค้นไว้กับบอนด์ชนิดที่บอนด์ต้องฆ่ามันให้ได้) เรื่องราวภาคนี้เลยมีตัวร้ายเป็นโบลเฟลด์ (Charles Gray) ปฏิบัติการของบอนด์คือตามสืบหาขบวนการขโมยเพชร ที่เหมือนจะเป็นแค่ขโมยธรรมดา แต่ที่ไหนได้ก็เป็นแผนร้ายอันเป็นอันตรายต่อโลกของโบลเฟลด์อีกตามเคย

และตอนนี้จะมีการกล่าวถึงตัวละครสำคัญอีกหนึ่งคนในเรื่อง เขาคือมหาเศรษฐีที่ชื่อวิลลาร์ด ไวท์ (Jimmy Dean) ซึ่งถูกจับตัวแล้วก็โดนโบลเฟลด์สวมรอยสั่งการลูกน้องของไวท์ผ่านทางระบบเสียง ซึ่งบุคลิกของไวท์นั้นก็เอามาจาก เฮาเวิร์ด ฮิวจ์ Diamonds Are Forever  (ที่ประวัติของเขาถูกสร้างเป็น The Aviator ไงครับ) เพื่อนมหาเศรษฐีของ Broccoli ที่มีอาการหวาดระแวงจนต้องเก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์สั่งการผ่านทางอินเตอร์คอม

เหตุผลที่มีตัวละครนี้ใส่เข้ามาก็เพราะมีอยู่คืนหนึ่ง Broccoli ฝันเป็นตุเป็นตะว่า ฮิวจ์เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน ทำอะไรก็เอาแต่สั่งผ่านอินเตอร์คอมอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วฮิวจ์นั้นถูกจับตัวไปซ่อนไว้ ส่วนคนที่สั่งนั้นคือผู้ร้ายที่ปลอมตัวเป็นฮิวจ์ และใช้อินเตอร์คอมสั่งลูกน้องของฮิวจ์ทำสิ่งเลวร้ายต่างๆ พอฝันถึงตรงนี้ Broccoli ก็ตื่นขึ้นครับ พอได้สติก็เลยจับเอาไอเดียในฝันมาใส่ลงในหนังซะเลย ส่วนสาวบอนด์ที่มีชื่อว่า ทิฟฟานี่ เคส ก็มีการคัดอยู่พักใหญ่ครับ ดาราที่มาเข้ากล้องทดสอบก็ได้แก่ Raquel Welch, Jane Fonda และ Faye Dunaway แต่ไปๆ มาๆ Hamilton กลับเตะตา Jill St. John ที่มาเพื่อคัดตัวเป็น เพลนตี้ โอทูล (สาวบอนด์คนรอง) ทำให้เธอได้รับบทนี้และยังถือว่าเธอเป็นสาวบอนด์สัญชาติอเมริกันคนแรกอีกด้วย

ครับ สำหรับภาคนี้ จะว่าไปแล้วความเข้มข้นอาจไม่มากเท่าภาคก่อนๆ จนบางจังหวะเนื้อหาออกแนวเบาสาระเลยก็มี แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นบอนด์ตอนที่ให้ความบันเทิงและดูเอาสนุก มีคำพูดสองแง่สองง่ามชวนขำชวนคิดเยอะดี แม้พล็อตจะไม่ค่อยกลมกล่อมเต็มที่ แต่ยังดีที่ได้การแสดงของ Connery, Gray มาช่วยไว้เยอะ สีสันอีกอย่างของหนัง ต้องยกให้มือขวาของโบลเฟลด์ในภาคนี้ที่มาพร้อมความน่าสนใจครับ นั่นคือบท มิสเตอร์วินน์ (Bruce Glover) และมิสเตอร์คิดด์ (Putter Smith) นักฆ่าที่คอยสังหารคนตามคำสั่งของโบลเฟลด์ ซึ่งทั้งคู่ดูจะเป็นคู่เกย์กันน่ะครับ วิธีการฆ่าของสองคนนี้ก็ถือว่ามีทั้งชั้นเชิง อารมณ์ขัน และความอำมหิตผสมกัน จนทำให้บทนี้เด่นทุกรอบตอนโผล่ขึ้นจอมา

หนังติดมัน

เป็นหนังเจมส์ บอนด์ตอนที่ 7 แต่เป็นตอนที่ 6 ที่ฌอน คอนเนอรี่สวมบท 007 ให้กับอิออน โปรดักชั่นส์ของอัลเบิร์ต อาร์ บล็อกโคลี่ และถือว่าเป็นเจมส์ บอนด์ตอนที่ผมชื่นชอบน้อยที่สุดใน 007 ยุคฌอน คอนเนอรี่ก็ว่าได้ ในเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยาย 007 เล่มที่ 4 ชื่อเดียวกันกับชื่อหนังเพียงแต่ว่าตัวหนังดัดแปลงมาอย่างหลวมๆ ไม่ได้ยึดตามนิยายอย่างเคร่งครัดเหมือนกับ On Her Majesty’s Secret Service (1969) ซึ่งเป็นตอนก่อนหน้าแต่ก็มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อฉากสุดท้ายของ On Her Majesty’s Secret Service ปิดเรื่องด้วยเทรซี่ บอนด์ ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานถูกศัตรูตัวสำคัญอย่างโบลเฟลด์สังหาร ใน  Diamonds Are Forever จึงเปิดเรื่องด้วยการที่ 007 ลาพักร้อนแล้วไล่ล่าโบลเฟลด์อย่างเอาเป็นเอาตายก่อนจะมารับงานใหม่ เมื่อเกิดเหตุการณ์กักตุนเพชรในตลาดเชรและเพชรจากเหมืองในแอฟริกาถูกขโมย 007 ได้รับคำสั่งให้มาสืบหาความจริงเบื้องหลัง โดยมีนักขนเพชรผิดกฎหมายชาวอเมริกันเป็นเป้าหมายในการติดตาม จนทำให้ได้พบกับทิฟฟานี่ เคส สาวบอนด์ประจำตอนนี้ที่มีทั้งดีและร้ายในตัวเดียวกัน

การสืบคดีกักตุนเพชรขนเพชรเถื่อนข้ามประเทศทำให้ 007 เ ดินทางไปปฏิบัติการไกลถึงลาสเวกัส สหรัฐอเมริกาและได้ร่วมงานกับคู่หู CIA คนเดิมคือ ฟีลิกซ์ ไลเตอร์ แล้วก็พบว่าเบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นยังคงเป็นฝีมือของสเปคเตอร์ โดยมีโบลเฟลด์ซึ่ง 007 คิดว่าได้สังหารไปเรียบร้อยแล้วนั้นอยู่เบื้องหลัง โบลเฟลด์ต้องการรวบรวมเพชรเพื่อมาทำเป็นแหล่งรวมแสงในการสร้างเลเซอร์ที่ยิงจากยานอวกาศลงมาทำลายเป้าหมายอาวุธไปทั่วโลก เพื่อหวังผลในการกรรโชกทรัพย์ตามเดิม หนังเจมส์ บอนด์ตอนนี้มีความแตกต่างจากหนังสืออยู่พอสมควร ตัวร้ายในหนังสือเป็นสองพี่น้องสแปงตระกูลมาเฟีย แต่ผู้สร้างเปลี่ยนมาเป็นโบลเฟลด์ศัตรูคู่อาฆาตและเปลี่ยนรายละเอียดในเรื่องหลายๆอย่าง

โดยเฉพาะอาวุธมหาประลัยที่เป็นดาวเทียมจากอวกาศสามารถยิงลำแสงเลเซอร์ได้นั้นก็มาจากในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ทั่วทั้งโลกให้ความสนใจกับโครงการอวกาศของนาซ่า โดยเฉพาะการปล่อยกระสวยอวกาศและนักบินอวกาศสามารถไปลงจอดที่ดวงจันทร์ได้สำเร็จ ทำให้ความรู้สึกในเรื่องอวกาศมีสูงและตัวหนังก็ได้ใช้ประโยชน์จากช่วงนี้โดยเฉพาะ และในช่วงกลางเรื่องที่เจมส์ บอนด์แอบเข้าไปในฐานลับกลางทะเลทรายของโบลเฟลด์ ได้เห็นปฏิบัติการทดสอบกระสวยอวกาศและรถที่ใช้ขับเคลื่อนบนดวงจันทร์ เหล่าร้ายพบเห็น 007 และไล่ล่าเขาหนีออกจากพื้นที่โดยอาศัยรถขับเคลื่อนบนดวงจันทร์หนีออกมา ซึ่งในฉบับนิยายนั้นจะแตกต่างกันออกไป พื้นที่ตามนิยายจะเป็นลักษณะคล้ายกับโลกตะวันตก แล้ว 007 หนีออกมาด้วยรถไฟแบบคาวบอย ยิ่งในช่วงท้ายเรื่องที่เกิดขึ้นบนฐานปฏิบัติการขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลเป็นสิ่งที่ตัวหนังสร้างขึ้นมาแตกต่างไปจากนิยาย เหมือนกัยให้เป็นสูตรที่หนังบอนด์จำเป็นต้องปิดเรื่องด้วยฉากใหญ่

การดัดแปลงเรื่องออกมาโดยอาศัยพื้นหลังนิยายแบบหลวมๆ นั้น โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเนื้อหาในตอนนี้ยังทำออกมาไม่แนบเนียน ไม่เหมือนหนังสายลับ 007 แต่เป็นเหมือนหนังนักสืบคลี่คลายคดีธรรมดามากกว่า จริงๆแล้วทางผู้สร้างต้องการที่จะทำ  Diamonds Are Forever  ให้ออกมามีความรู้สึกเหมือนกับตอน Goldfinger ซึ่งเป็นเจมส์บอนด์ตอนที่ 3 ถึงกับในบทแรกๆ นั้นกำหนดให้ Goldfinger กลับคืนมาอีกครั้งด้วยการที่เขามีน้องชายฝาแฝด และน้องชายเป็นพวกบ้าเพชรไม่เหมือนพี่ชายที่บ้านทอง แต่ความคิดนี้ก็ตกไป

บล็อกโคลี่ยังหวังว่า ยอร์จ ลาเซนบี้จะกลับมาเป็น 007 อีกครั้ง เขาถึงกับเสนอบท 007 ให้แต่ลาเซนบี้ที่ที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะเล่นเป็นเจมส์ บอนด์เพียงครั้งเดียวไม่รับข้อเสนอ ทำให้ผู้สร้างต้องเฟ้นหาเจมส์ บอนด์คนใหม่ มีรายชื่อนักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูดหลายคนเข้ามาพัวพัน เช่น คลิ้นท์ อีสต์วูด โดยเฉพาะเบิร์ต เรย์โนลด์ ซึ่งผมนึกภาพไม่ออกว่าถ้าเบิร์ตมาเล่นเป็นบอนด์แล้วจะเป็นอย่างไร

จะมีหนวดเหนือริมฝีปากเหมือนเล็กเซียวหงส์หรือไม่ รวมไปถึงอดัม เวสต์ แต่อดัมตอบปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่าบทสายลับ 007 ควรจะเป็นนักแสดงจากอังกฤษมากกว่า สุดท้ายทาง UA เจ้าของเงินทุนระบุว่าคนที่จะมารับบทเจมส์ บอนด์ได้นั้นต้องเป็นฌอน คอนเนอรี่เท่านั้น จึงมีการประสานงานกับฌอน คอนเนอรี่อีกครั้งด้วยข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธนั่นคือรายได้ค่าตัวมากกว่า 1.25 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นสถิติของยุคสมัย เป็นดารานักแสดงคนแรกของโลกที่ได้รับค่าตัวในการแสดงหนังต่อเรื่องสูงขนาดนี้ และในเงื่อนไขการคุยนั้นได้คิดเผื่อไว้ว่าจะให้ฌอน คอนเนอรี่กลับมาอีก 2 ครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว Diamonds Are Forever ก็ได้เป็น 007

ครั้งสุดท้ายในจักรวาลหนังเจมส์ บอนด์ที่สร้างโดยอิออนโปรดักชั่นส์ ยังคงประสบความสำเร็จอย่างสูงหนังทำเงินในทั่วโลกได้มากกว่า 111 ล้านดอลลาร์จากทุนสร้าง 7.5 ล้าน ทำให้เห็นว่า 007 ในสไตล์ของฌอน คอนเนอรี่นั้นยากที่ใครจะมาสวมบทแทนจริงๆ จน 007 ในยุคโรเจอร์ มัว ต้องปรับเปลี่ยนบุคลิคของตัวละครให้แตกต่างออกไป และ Diamonds Are Forever เป็นการปิดตำนานเจมส์ บอนด์ 007 ในยุคฌอน คอนเนอรี่ ให้จากไปในสภาพที่เหมาะสมควรแก่เวลา ดีกว่าจากไปในสภาพที่ร่างกายไม่ไหวแล้ว

ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

Cleaner (2025)

Armand (2024)

Inheritance (2025)

Wolf Man (2025) มนุษย์หมาป่า

Werewolves (2024) คนหอนกลายพันธุ์

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Fateh (2025)
หนังเอเชีย ซับไทย
หนัง

8.2

Mura (2024)
หนังเอเชีย ซับไทย
หนัง

7.8

Following (2024)
หนังเกาหลี ซับไทย พากย์ไทย
หนัง

6.7

ดูหนังออนไลน์ 2024

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่