Death Wish (1974) ล้างบัญชียมบาล
เรื่องย่อ
เมื่อตำรวจไม่สามารถปราบปรามเหล่าร้ายได้ Death Wish เขาจึงลุกขึ้นมาเป็นคนจัดการเหล่าร้ายแทน ประชาชน จึงให้ฉายาเขาว่า “ผู้พิทักษ์ประชาชน” สุดยอดความมันของ ชาร์ล บรอนสัน ฉายาไอ้หนวดหิน รับบทบาทต่อสู้กับเหล่าวายร้าย หนังต้นตำรับว่าด้วยการล้างแค้นสไตล์พระเอกหนวดหิน Charles Bronson กับบท พอล เคอร์ซีย์ วิศวกรหนุ่ม ที่ต้องสูญเสียภรรยา (Hope Lange) ไปเพราะพวกชั่ว 3 คนบุกเข้ามาปล้นถึงในบ้าน แล้วมันยังข่มขืนลูกสาว จนเธอแทบเสียสติไม่เป็นผู้เป็นคน ครั้น พอล จะพยายามหาความเป็นธรรมด้วยกฎหมาย ก็พบว่ากฎหมายนั้น ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้แต่ทำตาปริบๆ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เพื่อล้างบางพวกชั่วนั่นให้หมดไปจากเมือง
ผู้กำกับ
- Michael Winner
บริษัท ค่ายหนัง
- Dino De Laurentiis
นักแสดง
- Charles Bronson
- Hope Lange
- Vincent Gardenia
- Steven Keats
- William Redfield
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
หนังต้นตำรับว่าด้วยการล้างแค้นสไตล์พระเอกหนวดหิน Charles Bronson กับบท พอล เคอร์ซีย์ วิศวกรหนุ่มที่ต้องสูญเสียภรรยา (Hope Lange) Death Wish ไปเพราะพวกชั่ว 3 คนบุกเข้ามาปล้นถึงในบ้าน แล้วมันยังข่มขืนลูกสาวจนเธอแทบเสียสติไม่เป็นผู้เป็นคน ครั้นพอลจะพยายามหาความเป็นธรรมด้วยกฎหมาย ก็พบว่ากฎหมายนั้นไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้แต่ทำตาปริบๆ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่อล้างบางพวกชั่วนั่นให้หมดไปจากเมือง ผมชอบนะครับ หนังแนวคนดีท้าชนโจรแบบสะใจ ซึ่งแม้หน้าหนังจะเหมือนพะยี่ห้อ “แอ็กชันไล่ล่าแบบจองเวร” แต่หากดูจริงๆ แล้วจะรู้สึกว่ามันคือหนังที่ตัวเอกของเรื่องประสบเคราะห์กรรมเลวร้าย และหลังจากนั้นเขาก็ยังเจอเคราะห์คล้ายๆ กันนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเขาทนไม่ได้ที่จะลงมือจัดการกับพวกมันแบบแรงมาแรงไป
พอล ตัวเอกของเรื่องนั้น จริงๆ เขาก็พยายามใช้ชีวิตตามปกติให้ได้มากที่สุดแล้วล่ะครับ พยายามไม่คิด ไม่เศร้า และเดินหน้าต่อไป แต่ภาพภรรยาโดนฆ่าก็ยังตามมาวนเวียน แล้วที่หนักคือลูกสาวเขายังอยู่ครับ เขาต้องทนเห็นเธอในสภาพตายทั้งเป็นทุกครั้งที่พบกัน… คนเป็นสามีและพ่อเช่นเขา ย่อมเกิดความรู้สึกแค้นแบบฝังแน่นในอกอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนั้นแล้ว การที่พอลได้เห็นพวกชั่วทำตัวเย้ยกฎหมาย โดยไม่มีใครช่วยกวาดล้างพวกเดนสังคมนี่เลย เขาก็ยิ่งหมดหวังและระเบิดอารมณ์ออกมา ซึ่งจะว่าไปแล้ว หนังค่อยๆ ไล่ระดับความโกรธของพอลให้ระอุทีละน้อยได้อย่างน่าเชื่อครับ
ผมชอบฉากที่พอลต้องจัดการกับพวกผู้ร้ายเป็นครั้งแรก Death Wish โดยไม่ทันตั้งตัว มันบอกอะไรได้หลายอย่าง อย่างแรกคือ “เขาไม่ได้มีเจตนาจะเล่นงานพวกมัน” แต่พอดีตอนนั้นเขาโดนโจรมาหาเรื่องอีก ในที่สุดเขาเลยตัดสินใจต่อกรกับพวกชั่วดูสักตั้ง เรียกว่ายอมมาเยอะ ครั้งนี้ไม่ยอมแล้วนะเฟ้ย ผมว่าฉากนี้สื่อถึงตัวพอลได้ชัดมากครับ ว่าเขาไม่อยากฆ่าใคร เขาคือคนที่อยากจะศรัทธาในกฎหมายขื่อแป แต่มันก็เห็นตำตาว่าโจรมันไม่มีวันสูญพันธุ์และไม่กลับใจง่ายๆ จนใจเขาไม่อยากปรานีพวกนี้อีกต่อไป เพราะแม้วันนี้เจ้าโจรไม่ฆ่าเขาก็เถอะ แต่แล้ววันหน้าล่ะ อะไรจะรับประกันว่าเหตุที่เคยเกิดกับครอบครัวเขาจะไม่ไปเกิดที่อื่นอีก
พอลคงอยากย้อนเวลาไปหยุดยั้งเรื่องนี้ หรือไม่ก็ขอให้ใครสักคนช่วยจัดการเจ้าพวกเจ้า 3 ตัวนั่นก่อนพวกมันจะยกโขยงมาฆ่าภรรยาของเขา… แต่ในเมื่อเขาย้อนอดีตไม่ได้ เขาก็ยังพอกำหนดอนาคตโดยการลดจำนวนประชากรของพวกเหล่าร้ายได้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนดีได้อยู่รอดปลอดภัย แมัสักคนสองคนก็ยังดี แล้วหนังยังเสนอมุมมองน่าขันอีกนิดว่า ตำรวจปล่อยให้มีอันธพาลมากมายโดยไม่ไปตามจับให้หมดๆ แต่พอพอลเริ่มลงมือบ้าง พวกตำรวจก็ตั้งเป้าจับเขาเป็นวายร้ายที่ทางการต้องการตัวเป็นหมายเลข 1 เลย ถ้าตำรวจกระตือรือร้นแบบนี้ตั้งแต่แรก พอลก็อาจไม่ต้องมาฆ่าใคร และครอบครัวเขาก็อาจจะยังมีความชีวิตและชีวาอยูก็ได้
บางครั้งก็ตลกนะครับ พอลไปไหนก็ตาม เจอแต่พวกชั่วมากมาย แต่ไหงตำรวจถึงหาพวกมันเจอได้แบบยากเย็น แต่หากมองอีกแง่ให้เป็นธรรมก็น่าเห็นใจตำรวจล่ะครับ เพราะกำลังพลพวกเขาไม่ได้มีมากมายเพียงพอจะดูแลคนได้หมดซะเมื่อไร ดังนั้นการดับพันธุ์โจรแบบที่พอลทำก็ถือเป็นทางหนึ่งในการดับปัญหา แต่คงย่อมดีกว่าหากเราจะมีวิธีป้องกันก่อนมันจะเกิด และหาทางลดมิจฉาชีพลง โดยไม่ต้องมีใครตาย ผมว่าหนังเล่าสื่อประเด็นได้ครบองค์ดีครับ มีทั้งด้านดีและด้านลบในการกระทำของพอล เรียกว่าไม่ได้เชียร์ไม่ได้บอกว่าพอลคือฮีโร่ อย่างการที่พอลลงมือจัดการเหล่าร้ายก็ทำให้คนอยากหันมาป้องกันตัวเองบ้าง แต่สำหรับบางคนก็กลายเป็นการกระตุ้นความรุนแรงในตัว ส่งผลให้พวกเขาเลือกที่จะใช้กำลังเป็นทางออกง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย
ถือเป็นหนังที่มันส์ทีเดียวล่ะครับ ไม่น่าแปลกที่ Bronson จะดังอมตะไปกับหนังชุดนี้ เพราะเขาเล่นดีจริงๆ ครับ แววตาท่าทางดูไร้พิษภัยแต่ก็แฝงไว้ซึ่งอันตราย ประมาณว่า “อย่าแหย่เสือหลับ” นั่นแหละครับ กล่าวกันว่าก่อนที่ Bronson จะได้รับบทนี้ หนังเรื่องนี้ก็มีการเตรียมงานสร้างมานานครับ แล้วก็เปลี่ยนทีมไปหลายครั้งทั้งตัวผู้สร้าง ผู้กำกับ และนักแสดง รวมถึงแนวทางของเรื่องด้วย แรกเริ่มเดิมทีหนังจะกำกับโดย Sidney Lumet ครับ ส่วนคนมารับบทพอลก็คือ Jack Lemmon ซึ่งท่าทางซื่อๆ ไร้พิษภัยของ Lemmon นั้นจัดว่าตรงกับคาแรคเตอร์ของตัวละครในนิยาย (หนังสร้างจากนิยายชื่อเดียวกันนี้ของ Brian Garfield) แล้วก็วางตัวให้ Henry Fonda Death Wish มาแสดงเป็นฝ่ายตำรวจที่มีหน้าที่ตามจับพอล และยังมีความตั้งใจว่าจะถ่ายทำหนังออกมาเป็นขาวดำด้วย
แต่แล้วผู้สร้างคนเก่าก็ตัดสินใจไม่สานงานต่อ บทเลยตกมาอยู่กับ Dino De Laurentiis แล้วพล็อตเรื่องก็ค่อยๆ มีการปรับให้แนวหนังมีความเป็นตลาดมากขึ้นอย่างที่เห็นครับ ก็มีดาราหลายคนที่ได้รับการทาบทามในบทพอลนะครับ เริ่มจาก Steve McQueen ตามด้วย Frank Sinatra ซึ่งทั้งสองก็บอกปัดไป จากนั้นชื่อของ Clint Eastwood ก็ได้รับการจับตาเพราะตอนนั้นเขาเพิ่งดังไปแบบสุดๆ จากบทจ่าปืนโหด Dirty Harry แต่ Eastwood เองก็มองว่าตนนั้นไม่เหมาะกับบทนี้ พร้อมเสนอให้ทีมงานลองไปทาบทาม Gregory Peck มาแสดงน่าจะเหมาะกว่า แต่ Peck ก็ไม่ได้มาแสดง) ว่าง่ายๆ คือจนแล้วจนรอด De Laurentiis ก็ยังไม่สามารถหาคนมาแสดงนำได้สักที
ระหว่างนั้นเลยมีการคัดตัวผู้กำกับไปก่อน ซึ่งคนที่ De Laurentiis หมายตามาแต่แรกก็คือ Michael Winner ที่ทำหนังเข้าตา De Laurentiis มาโดยตลอดในช่วงยุค 70 ทั้งยังเคยได้ร่วมงานแล้วถูกชะตากันอีกต่างหาก เขาเลยส่งบทไปพร้อมทาบทามให้ Winner มากำกับ พอดีว่าตอนนั้น Winner เพิ่งเสร็จงานจากกองถ่ายหนังเรื่อง The Stone Killer ที่มีดารานำคือ Bronson นั่นเอง (และ De Laurentiis ก็มีส่วนช่วยสร้างหนังเรื่องนี้เหมือนกัน) ซึ่งเขากับ Bronson ที่สนิทกันมากก็กำลังคุยกันอยู่เลยครับว่าอยากทำหนังด้วยกันอีกสักเรื่อง แล้วก็ประจวบเหมาะมากๆ ที่บท Death Wish มาถึงมือ Winner พอดี เมื่อ Winner อ่านบทแล้วรู้สึกชอบ เลยนำมาบอกต่อให้ Bronson ได้รู้ โดย Winner บอก Bronson ว่า “ผมเพิ่งได้บทหนังเยี่ยมๆ มาเรื่องหนึ่งนะ ชื่อว่า Death Wish เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ลูกเมียถูกพวกเดนคนรุมทำร้าย เขาเลยออกไปไล่ยิงพวกมัน”
ผลงานของผู้กำกับรุ่นใหม่ฝีมือเยี่ยมอีกคนของวงการอย่าง Eli Roth เดิมทีนิยายเรื่อง Death Wish (1972) เคยถูกดัดแปลงเป็นหนังแอ็กชันแนวศาลเตี้ยชื่อดังออกฉายปี 1974 (ชื่อไทย ล้างบัญชียมบาล) และส่งให้ชื่อ Charles Bronson ดาราหนุ่มเคราเฟิ้มมาดนิ่งโด่งดังเป็นพลุแต่กจนมีแฟรนไชส์หนังของตัวเองถึง 4 ภาค สิ่งที่น่าสนใจคือการดัดแปลงแต่ละครั้งตัวละครหลักอย่าง Paul Kersey มีอาชีพไม่ตรงกับหนังสือสักเรื่อง โดยในหนังสือ Paul มีอาชีพเป็นนักบัญชี แต่หนังฉบับชาร์ล บรอนสัน มีอาชีพเป็น วิศวกร ส่วนฉบับล่าสุดของ Bruce Willis กลับกลายเป็นหมอ Death Wish ซึ่งก็ทำให้เกิดธีมบางอย่างที่น่าสนใจขึ้นกับ ฉบับปี 2018 ไม่น้อยเลยทีเดียว เรื่องราวของ เวอร์ชันนี้ยังคงอ้างอิงตามโครงเดิม ว่าด้วยคุณหมอดวงซวยอย่าง Paul Kersey ที่ถูกโจรบุกบ้านในคืนที่เขาติดงานด่วน พวกโจรใจเหี้ยมฆ่า Lucy ภรรยาของเขา และทำร้าย Jordan ลูกสาวของเขาจนโคม่า ด้วยความคับแค้นใจที่นักสืบ Kevin Raines ไม่สามารถตามตัวคนร้ายได้ เขาจึงเริ่มออกไล่ล่าคนชั่วจนตัวเองเสพติดความรุนแรง ในขณะเดียวกันสังคมก็เริ่มตั้งคำถามถึงการเป็นศาลเตี้ยของเขาว่าเป็นสิทธิ์ในการทวงความยุติธรรมหรือเป็นการลดความน่าเชื่อถือของกฎหมายกันแน่
สถาปนิกชาวนิวยอร์ก (Charles Bronson) กลายเป็นหน่วยพิทักษ์สันติคนเดียวหลังจากภรรยาของเขา (Hope Lange) ถูกฆ่าโดยพวกอันธพาลข้างถนน ซึ่งเขาออกไปฆ่าคนร้ายบนถนนที่โหดร้ายในตอนกลางคืน นี่ไม่เพียงเป็นการเปิดตัวภาพยนตร์ของทั้ง Jeff Goldblum และ Denzel Washington เท่านั้น แต่ยังอาจเป็นภาพยนตร์แก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอีกด้วย ทหารผ่านศึกผู้มีกิริยามารยาทดี – ตอนนี้ทำงานเป็นสถาปนิก – กลายเป็นคนบ้าระห่ำ? เยี่ยมมาก! ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรอดูหนังเรื่องนี้นานมาก… มันยอดเยี่ยมมาก และนำเสนอภาพยนตร์ที่น่าสนใจมากซึ่งไร้ศีลธรรม ไม่ผิดศีลธรรม แต่ก็ผิดศีลธรรม คุณจะเชียร์เขาหรือหวังว่าเขาจะถูกจับ? เป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้น
ภาพยนตร์ที่ท้าทายของ Michael Winner นั้นฉลาดกว่าเล็กน้อยและร้ายกาจกว่า ‘Mr.Majestyk’ ของ Richard Fleisher มาก Charles Bronson เป็นสถาปนิกวัยกลางคนในแมนฮัตตันที่วันหนึ่งเขาอยู่ที่ทำงาน เมื่อคนร้ายสามคนบุกเข้ามาในอพาร์ตเมนต์ของเขาที่ Riverside Drive และทำร้ายภรรยาที่รักของเขาและแต่งงานกับลูกสาวอย่างมีความสุข ภรรยาถูกตีจนตาย และลูกสาวถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างโหดร้าย ส่งผลให้เขาอยู่ในสภาพที่แทบจะเป็นผัก เพื่อหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมในเมืองที่กดดัน Bronson ไปที่ทูซอน รัฐแอริโซนา เพื่อทำธุรกิจ และได้จดจำรหัสปืนของยุคตะวันตกเก่าไว้ในใจ เขาได้รับปืนพกขนาด .32 เป็นของขวัญอำลาจากเศรษฐีผู้รักปืน
ในคืนหนึ่ง Bronson ถือของขวัญของเขาไปด้วย และฆ่าคนร้ายคนแรกที่ลวนลามเขา คนแรกนั้นยากที่สุด! จากนั้นเขาก็ค้นพบว่าเขาชอบมัน เขาเริ่มจงใจล่อลวงผู้ร้ายไม่ว่าจะในตรอก ในรถไฟใต้ดิน หรือในสวนสาธารณะ และเขาใช้ปืนยิงพวกเขาโดยอัตโนมัติ ตำรวจไม่สามารถระบุตัวเขาได้ ทำให้เขากลายเป็น ‘นางฟ้าผู้ล้างแค้น’ ‘นักรบผู้กล้าหาญ’ ตัวจริง ในสายตาของสาธารณชน บรอนสันกลายเป็นบุคคลสำคัญระดับชาติ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เจ้าหน้าที่ต่างวิตกกังวลกับตัวอย่างที่เขากำลังสร้าง Death Wish การกระทำของเขาทำให้คนอื่นๆ มีทัศนคติใหม่ๆ ต่ออาชญากรรมบนท้องถนน
เมื่อสารวัตรโอโชอา (วินเซนต์ การ์เดนเนีย) ระบุตัวผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้ลึกลับได้ เขาได้รับคำสั่งทันทีให้ขู่เขาออกไป ผู้บัญชาการตำรวจขอให้เขาลาออก เลิกทำ ไปให้พ้น หยุด!
หากคุณไม่เคยเห็นบรอนสันแสดงฝีมือในยามพระอาทิตย์ตกดิน ‘Death Wish’ คือหนังที่ควรดู ความคิดเห็นสุดท้าย: ฉันแทบไม่เคยพบว่าตัวเองติดอยู่กับปฏิกิริยาตอบสนองภายในใจและความสงวนตัวทางปัญญาของตัวเอง ฉันหวังว่าจะ (เช่นเดียวกับหลายๆ คนที่นี่) กระตุ้นความรู้สึกที่เปิดเผยในเม็กซิโกที่หวาดกลัว โดยเฉพาะพวกปล้นทรัพย์ อันธพาล ผู้ลักพาตัว และข่มขืน ซึ่ง (เช่นเดียวกับในหนังเรื่องนี้) สามารถกำจัดพวกเขาได้อย่างง่ายดายหากพลเมืองชนชั้นกลางวัยกลางคนที่ซื่อสัตย์ทุกคนมีอาวุธและใช้มันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง… เราเบื่อหน่ายกับการถูกทำให้หวาดกลัว ตกอยู่ในอันตราย และถูกฉ้อโกงทุกวัน หากกฎหมายกำลังต่อสู้กับกลุ่มอาชญากรอย่างไม่ประสบความสำเร็จ และไม่สามารถปกป้องผู้บริสุทธิ์ได้ บางทีอาจมีคนอื่นที่ควร สิ่งสำคัญมากคือเราต้องรู้วิธีปกป้องตัวเองภายใต้กฎหมาย
ตลอดอาชีพการงานที่ยาวนานเกือบห้าสิบปี ชาร์ลส์ บรอนสัน นักแสดงแอ็คชั่นได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์หลายสิบเรื่อง หนึ่งในนั้น เรื่องที่เขาจำได้ดีที่สุดคือเรื่อง “Death Wish” ภาพยนตร์ดราม่าในเมืองที่แทบจะกำหนดอาชีพการงานของเขาได้เลย เขารับบทเป็นพอล เคอร์ซีย์ สถาปนิกผู้มีความคิดเสรีนิยมและสุภาพอ่อนโยน ซึ่งครอบครัวของเขาตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมรุนแรง ในบ่ายวันหนึ่งอันเป็นชะตากรรม เขาต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวร้าย ภรรยาของเขาถูกฆาตกรรม ลูกสาวของเขาถูกข่มขืนอย่างโหดร้าย ยิ่งไปกว่านั้น ตำรวจไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ เคอร์ซีย์รู้สึกตกตะลึงและหมดหนทาง จึงตัดสินใจใช้อำนาจตามกฎหมายด้วยตัวเอง และชื่อเสียงที่ตามมาก็ทำให้เมืองนิวยอร์กคึกคักขึ้น ไม่นานตำรวจก็ไล่ตามเขาทัน ผลที่ตามมามีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมาก
Death Wish เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความขัดแย้งอย่างมากเมื่อเข้าฉายครั้งแรก ในเวลานั้น เมืองใหญ่ๆ เผชิญกับปัญหาอาชญากรรมร้ายแรง และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สะท้อนความกลัวและความปรารถนาที่ไม่อาจเอ่ยออกมาของผู้ชมจำนวนมาก ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ใช้ชีวิตตามจินตนาการที่เป็นความลับ นักวิจารณ์ฝ่ายซ้ายวิพากษ์วิจารณ์การเมืองเกี่ยวกับอาชญากรรม และแม้แต่ฝ่ายขวาบางส่วนก็รู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไปไกลเกินไป เราอาจพบสิ่งที่น่าตำหนิมากมายจากมุมมองทางอุดมการณ์ อาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีเล่ห์เหลี่ยมและรุนแรงเกินไป (การโจมตีครอบครัวของเคอร์ซีย์เกิดขึ้นทันทีหลังจากเพื่อนร่วมงานของเขาบอกว่าเขาเป็น “พวกเสรีนิยมใจอ่อน”)
อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ทำให้คุณสงสัยว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉัน” เมื่อพิจารณาจากภาคต่อที่ด้อยกว่าในภายหลัง เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะเห็นว่าตัวละครนี้มาเป็นอย่างไร เขาเปลี่ยนผ่านจากคนเคารพกฎหมายไปเป็นผู้พิทักษ์กฎหมายที่เลือดเย็นได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะหลังจากฆ่าครั้งแรก เขาก็เสียใจและอาเจียนทันทีที่ถึงบ้าน อย่างไรก็ตาม เมื่อการฆ่าของเขา (แต่ละครั้งมีการจัดการอย่างตื่นเต้นมาก) เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น เราก็รู้สึกแย่ที่รู้ว่าเขามาถึงจุดที่ไม่มีทางกลับแล้ว จริงอยู่ เขารอดจากการจับกุมมาได้อย่างหวุดหวิดอย่างน้อยสองครั้ง และแน่นอนว่าเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่กฎหมายจะตามจับเขาได้
ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Auron Mein Kahan Dum Tha (2024)
7.7