Dawn of the Planet of the Apes (2014) รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร
เรื่องย่อ
ดูหนัง ออนไลน์ “ประชากรลิงที่ได้รับการพัฒนายีนซึ่งนำโดย ซีซาร์ ที่เพิ่มจำนวนขึ้น ต่างถูกคุกคามจากกลุ่มมนุษย์ผู้รอดชีวิตจากไวรัสทำลายล้างที่มีการปล่อยออกมาเมื่อ 10 ปีก่อน สงครามพร้อมปะทุขึ้นทุกเมื่อ แต่นั่นคือการพิสูจน์ให้เห็นถึงอายุขัยระยะสั้น ทั้งสองฝ่ายต่างพร้อมทำสงครามที่จะเป็นการตัดสินว่าสายพันธุ์ใดจะเป็นผู้ครองโลก”
ผู้กำกับ
Matt Reeves
บริษัท ค่ายหนัง
- Chernin Entertainment
- TSG Entertainment
นักแสดง
- Andy Serkis
- Jason Clarke
- Gary Oldman
- Keri Russell
- Toby Kebbell
- โคดี สมิท-แม็คฟี
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
Nirodha Ruencharoen
Earth Oscar’s Mini Review
Dawn of the Planet of the Apes (2014) รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร
คะแนน 8/10
หากใน Rise of the Planet of the Apes ซีซาร์ เปรียบเสมือนกับ โมเสส ผู้ปลดแอก เหล่าวานร จากการเป็นทาสของมนุษย์ ภาคต่อที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าอย่าง Dawn of the Planet of the Apes ซีซาร์ ก็คือ อับบราฮัม ลินคอล์น นักการปกครอง และนักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่ ที่พยายามต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมโดยปราศจากศัตราวุธ หากแต่ใช้ วาทะ สติปัญญา และอุดมการณ์ เพื่อรวมสองเผ่าพันธุ์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ นี่คือบทสรุปสั้นๆ ที่น่าจะเห็นเป็นรูปธรรมที่สุดของหนัง รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร ที่ทีมผู้สร้างมีความตั้งอกตั้งใจยกระดับหนังไซไฟเรื่องดังในอดีต ให้กลายเป็นหนังการเมืองสุดเข้มข้น และสมจริงสมจัง แต่ยังคงไว้ซึ่งความบันเทิงเต็มรูปแบบ ทั้งหมดนี้สำเร็จอย่างงดงามด้วยพลังแห่งความสร้างสรรค์ของผู้เขียนบท ผู้กำกับ นักแสดง และเทคพิเศษอันไร้ที่ติ คู่ควรกับตำแหน่ง The Best Film of The Summer 2014 อย่างแท้จริง
หนังโปรดของข้าพเจ้า
Dawn of the Planet of the Apes (2014)
ปกติแล้วผมค่อนข้างหวาดระแวงหนังแฟรนไชส์ที่เปลี่ยนผู้กำกับภาคต่อ เพราะมันให้ความรู้สึกว่าหนังกำลังเปลี่ยนวิสัยทัศน์ไปเลย แต่การเปลี่ยนตัวจาก Rupert Wyatt ผู้กำกับภาคแรกมาเป็น Matt Reeves มันกลับยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ผมว่าหนังจะต้องไปได้สวยแน่นอน และบอกได้เลยว่า “ไม่ผิดหวังที่ไว้ใจ”
ก่อนหน้านี้ผมเคยดูผลงานของแมทท์ รีฟส์ก็คือ Cloverfield ซึ่งเป็นหนังที่มีวิสัยทัศน์ดีมาก หนังมีมุมมองในการเล่นใหญ่ด้วยพล็อตสัตว์ประหลาดถล่มโลก แต่ทำตัวเล็กด้วยการโฟกัสอยู่แค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพยายามเอาตัวรอดจากหายนะ และอีกเรื่องก็คือ Let Me In ซึ่งเขาไม่พยายามเดินตามรอยเดิมของต้นฉบับ แต่เลือกจะเพิ่มปมปัญหาที่โรงเรียน และโดยส่วนตัวผมว่ามันให้ความรู้สึกเหงาอ้างว้างมากกว่าต้นฉบับที่มีความสยองขวัญเยือกเย็นสูงกว่า จะเห็นว่าทั้งสองเรื่องเขามีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม
หนังเปิดเรื่องด้วยการเล่าถึงช่วงล่มสลายของมนุษย์ เหลือมนุษย์เพียงหยิบมือที่มีชีวิตอยู่รอดเพราะภูมิคุ้มกัน พวกเขาต้องการพลังงานจากเขื่อนเพื่อใช้สร้างไฟฟ้าต่ออายุการใช้ชีวิต แต่ว่าเขื่อนนั้นเป็นบ้านของเหล่าวานรที่นำโดย ‘ซีซ่าร์’ (Andy Serkis)
ความเจ๋งของหนังมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ฉากเปิดหนังเหล่าฝูงวานรออกล่าสัตว์แล้วครับ มุมกล้องจากพื้นดินเหมือนคนแหงนมองฟ้า พร้อมฝูงวานรห้อยโหนเต็มป่าไปหมด ฉากนี้เท่เป็นบ้าเลยครับ เปิดหนังแค่นี้ก็รู้ชะตากรรมหนังแล้วว่าสดใสแน่นอน
ธีมหนังคือเรื่องของความขัดแย้งเกี่ยวกับทัศนคติ
• ซีซ่าร์หัวหน้าฝูงวานรเชื่อว่าการยอมให้มนุษย์มาซ่อมเขื่อนให้ใช้งานได้อีกครั้งคือการสร้างสันติ เพราะถ้าบีบให้มนุษย์ไม่มีทางเลือกก็จะเกิดสงคราม เมื่อเกิดสงครามแม้วานรอาจชนะแต่ก็อาจต้องสูญเสียวานรไปหลายตัว ทางเลือกคือการสร้างสันติย่อมเหมาะสมกว่า
• ขณะเดียวกัน ‘โคบา’ มือขวาผู้นำวานรมีอคติในใจว่าไม่สามารถไว้ใจมนุษย์ได้ ยิ่งเมื่อสะกดรอยไปเจอมนุษย์กำลังซ้อมใช้งานอาวุธก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อของตัวเองว่าควรปราบมนุษย์ให้สิ้นซากเพื่อคงเหลือเผ่าพันธุ์เดียว เขาจึงมีความเห็นแตกต่างจากซีซ่าร์จนกลายเป็นความขัดแย้งที่นำมาซึ่งสงครามระหว่างวานร vs. มนุษย์
เมื่อคุณได้ธีมหนังที่แข็งแรงแล้วทีนี้ก็นำไปเดินเรื่องต่อได้สบายแล้วครับ ลำดับการเล่าเรื่องได้เยี่ยมมาก แรงจูงใจของแต่ละตัวละครที่น่าเชื่อถือทำให้เราเชื่อในการตัดสินใจและความเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง ทั้งหมดบอกเล่าผ่านการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าโดยไม่ต้องใช้บทสนทนาใด ๆ เข้าช่วยด้วยซ้ำ
ที่ผมชอบอีกอย่างคือวานรพูดน้อยมาก ซึ่งมันก็ควรเป็นแบบนี้แหละคือพูดเท่าที่จำเป็น แล้ววิธีพูดก็จะผิดแกรมม่าผิดไวยากรณ์ แล้วเวลาพูดแต่ละฉากนี่มันมีพลังมากกกกกกก (ชอบภาคต้นฉบับ 1968 และ 2011 ก็ตอนฉากพูดครั้งแรกเหมือนกัน) อาจจะเพราะมันเล่นกับความเงียบเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยปากพูดก็ได้ ฮ่าๆๆ
ฉากแอ็คชั่นถือว่าเด็ดมาก เด็ดทั้งตอนวานรสู้กันเองและตอนวานรทำสงครามกับมนุษย์ ตอนวานรสู้กันเองนี่มันให้ความรู้สึกของสัตว์ป่ากำลังห้ำหั่นกัน ชอบเหมือนที่เคยชอบ Godzilla ว่าท่วงท่าการต่อสู้มันจำลองมาจากสัตว์ป่าปะทะกัน ขณะเดียวกันตอนที่สู้กับมนุษย์นี่ก็ถือว่ามีทีเด็ดในความอลังการเหมือนหนังสงครามเรื่องอื่น เพียงแต่ว่านี่เป็นสงครามระหว่างฝูงวานรกับมนุษย์ติดอาวุธเพียงหยิบมือ
ที่น่าทึ่งคือหนังเรื่องนี้ไม่ใช้ visual effects วานรเลยครับ แต่เขาเอาวานรมาเล่นจริง ๆ แล้วพากย์เสียงพูดทับเท่านั้นเอง โหย เทพมากเลยครับแหม่ คิดว่ายังไงก็คงได้เข้าชิงออสการ์สาขา visual effects แบบนอนมาอยู่ละ แต่จะไปถึงฝั่งฝันไหมแค่นั้นเอง
ขอยกให้เป็นหนัง blockbuster ที่เยี่ยมที่สุดของปี 2014
ขอยกให้เป็นหนึ่งในหนัง sci-fi ชั้นดี และเป็นการคืนชีพให้ Planet Apes กลับมาโลดแล่นน่าจดจำอีกครั้งครับ
เอ๋ วิ่งดิเอ๋ หนังโปรดการันตีว่าควรเสียเงินดูอย่างยิ่งครับ
Director: Matt Reeves
Novel “La Planete des Singes”: Pierre Boulle
Screenplay: Rick Jaffa, Amanda Silver, Mark Bomback
characters: Rick Jaffa, Amanda Silver
Genre: Action, Drama, Sci-fi, Thriller
9/10
สมาชิกหมายเลข 1492526
[CR] รีวิว !!! Dawn of the Planet of the Apes : เพราะพวกมันเป็นมากกว่าวานร [ Review XI ]
[ Review XI ]
Dawn of the Planet of the Apes : รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร
การกลับมาของราชาวานรผู้ยิ่งใหญ่ซีซาร์กับภาคต่อของหนังกึ่งรีเมคอย่าง “Rise of the Planet of the Apes” และการลงเนื้อหาให้เข้มข้นขึ้น และปูทางไปสู่ภาค 3 อย่างสวยงาม
อยากจะบอกความเห็นหลังชมว่า #โดนสัดๆ ซีจีนี่เนียนโคตรๆ ทั้งคนทั้งลิงนี่แสดงดีพอกันเลย เผลอๆคนจะลำบากใจกว่าด้วยซ้ำ เพราะถ้าเล่นไม่ดี จะถูกลิงแย่งซีนเอา 555 เฉพาะโปสเตอร์ลิงมันก็เด่นอยู่แล้ว – – ยอมรับว่ามีบางฉากในเรื่องนี้ที่ดูในตัวอย่างแล้วซึ้ง แต่พอดูในหนังมันกลับเฉยๆอะ T-T
ด้วยเหตุที่ภาคนี้ “รูเพิร์ท ไวแอ็ตต์” ไม่ได้กลับมากำกับ แต่เป็น “แม็ตต์ รีฟส์” ที่มานั่งแทนผู้กำกับแทนก็เลยส่งผลให้ทาง “เจมส์ ฟรังโก้” แกไม่ได้มาแสดงนำในภาคนี้ด้วย คิดซะว่าพี่แกติดเชื้อโรคห่าลิงตายละกัน เพราะหาวิธีแก้โรคนี้ไม่ได้ก็เลยตายห่าไป(ถึงเหตุผลมันจะฟังไม่ขึ้นก็เหอะ เพราะพี่แกก็เป็คนคิดค้นยาเองแท้ๆ)
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่แกจะถูกตัดออกซะหมด เพราะก็ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างพี่แกและซีซาร์ในภาคที่แล้วมาอยู่ในภาคนี้ ให้คนดูได้ซึ้งและน้ำตกกันบ้าง ส่วน “เจสัน คลาร์ค” ที่มารับบทเป็น “มัลคอล์ม” กับบทมนุษย์ที่เข้าใจลิงมากที่สุดในเรื่องนี้ ซึ่งทางเจสันแกก็เล่นออกมาได้ดี ไม่มีตกหล่นเลย #สามผ่านคับ อิอิ
อย่างที่บอกว่าคราวนี้มันมาในเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้น ต่อจากภาคที่แล้วที่มีคนที่ติดโรคจากนักวิทยาศาสตร์จากห้องแลปที่ทดลองลิง โดยที่ไอ้หมอนี่มันไม่รู้ตัวเลยว่าเป็น จะเห็นได้จากเอ็นเครดิตของภาคที่แล้วที่ไอ้หมอนี่มันไอเป็นเลือด(ภาคนี้ไม่มีเอ็นเครดิต นะจ๊ะ) และมันก็ตายและกลายเป็นโรคระบาดที่ต่อกันมาเป็นทอดๆและคร่าชีวิตมนุษย์ไปเป็นจำนวนมาก โดยโรคนี้มีชื่อว่า “โรคซีเมียน” (ถ้าผิดขออภัยเน้อ อิอิ) โดยผู้ที่ติดโรคนี้ไม่สามารถรักษาหายได้ และเมื่อเวลาผ่านไปทำให้มนุษย์มีจำนวนน้อยลง(มาก) จึงทำให้ขาดทรัพยากรและพลังงานไฟฟ้าเป็นเหตุให้กลุ่มของ “มัลคอล์ม” ต้องเข้าไปในป่าเพื่อซ่อมเขื่อน เพื่อที่จะทำให้พลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ได้อีกครั้งและจะได้ติดต่อกับคนที่ยังเหลือรอดจากโรคนี้ในทุกมุมโลก เป็นเหตุให้คนในกลุ่มของ “มัลคอล์ม” ได้พบกับซีซาร์และพวกวานรในป่า ทำให้กลุ่มพวกวานรได้รู้ว่าพวกมนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งวานรบางตัวกลัวที่จะถูกมนุษย์กวาดล้าง จึงคิดที่จะโจมตีก่อน มันเลยเป็นต้นเหตุของการเกิดสงครามระหว่างมนุษย์และวานรในภาคนี้
ส่วนตัวและชอบภาคนี้ตรงที่การโล๊ะโลกปัจจุบันออกทั้งหมดเหลือไว้เพียงแต่โลกอนาคตที่แทบจะไม่มีพวกมนุษย์อยู่แล้ว เหลือไว้เพียงหญ้ารกรุงรังที่ขึ้นในหลายๆที่ตามตึกราม บ้านซ่อง เอ้ย!! ช่อง
มันทำให้ฉากในหนังดูดาร์คและจริงจังขึ้นไปอีกขั้น (ส่วนตัวแล้ว ชอบแนวนี้อะ ฉากประมาณแบบ ”I Am Legend” ไรงี้)
และเมื่อมันเป็นหนังภาคต่อจึงทำให้หลายๆบทบาทของหนังเรื่องนี้ถูกพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นบทซีซาร์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ด้วยความที่เป็นทั้งพ่อและจ่าฝูง แต่ความเป็นผู้ใหญ่นี้ก็ไม่ได้ทำให้ซีซาร์ดูแก่เลย กลับกันเรากลับได้เห็นมุมเท่ๆของซีซาร์มากกว่าภาคที่ผ่านมา และในหลายๆมุมที่เรายังไม่เคยได้เห็นกัน ไม่ว่าจะในแง่ความเป็นผู้นำหรือความโหดและดิบเถื่อนเมื่อซีซาร์ของแกขึ้น ส่วนวานรที่เหลือรอดในภาคที่แล้วอย่าง “โคบา” วานรที่โดนมนุษย์จับทดลอง เลยทำให้ไอนี่มันเกลียดมนุษย์เข้ากระดูกดำ ซึ่งในภาคนี้เราจะได้เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นของพี่แก เพราะภาคนี้พี่แกแทบจะเป็นหัวโจกหรือตัวตั้งตัวตี ที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นๆในภาคนี้เลยก็ว่าได้
ส่วนดราม่าในเรื่องนี้จะเทไปทางพวกวานรซะส่วนใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลให้ดราม่าในทางของมนุษย์กลายเป็นจุดด้อยของหนังเรื่องนี้ กลับกันซะอีกมันกลับดีและกลมกล่อมกับบทของลิงที่เข้ากัน และพาไปสู่จุดที่คนดูเรียกว่า “สุดยอด” ในหนังเรื่องนี้
ขอพูดถึงการแสดงของพวกลิงและกัน ไม่ว่าจะเป็น “แอนดี้ เซอร์คิส” หรือ “โทบี้ คีบเบล” ที่สวมบทเป็นซีซาร์และโคบาในเรื่องนี้ อยากจะบอกว่าการแสดงของทั้งสองและลิงทุกตัวในชุดโม-แคป ยิ้มสุดยอดมาก เพราะมันไม่ใช่แค่แอคติ้งและอารมณ์ของลิงอย่างเดียวที่ส่งถึง แต่มันยังรวมถึงท่าทางของลิงที่แสดงได้เหมือนจริงสุดๆ เอาใจไปเลย !!
ส่วนจุดด้อยของหนังในภาคนี้คือ เนื้อเรื่องที่ดูดาร์คและจริงจังมากขึ้นเนี่ยแหละ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคนี้คือจุดเปลี่ยนของหนังเรื่องนี้ และปูทางไปสู่ภาคต่อไป มันเลยส่งผลให้หนังมันยืดและยาว ซึ่งถ้าคนที่ไม่ได้ชอบเรื่องนี้มากๆก็ควรเตรียมหมอนไปดูเลยหละ หรือไม่ก็ต้องตั้งใจดูและมีสมาธิให้มาก อย่าหลุดละ #เดี๋ยวหลับ 5555
สรุปเอาเป็นว่า นี่เป็นหนังอีปิคแห่งปีที่ไม่ควรพลาดกัน นับว่าเป็นหนังที่มาเป็นม้ามืดของปีนี้เลยก็ว่าได้ #จริงๆมันก็ตั้งแต่ภาคที่แล้วแล้วหละ เอาตรงๆตอนแรกไม่เคยดูหนังนี้ แค่เคยเห็นผ่านๆตามาบ้าง เพราะโปสเตอร์ในภาคแรกมันเหมือนหนังเกรดบีอะ ประมาณพวกไอเข้กินคน ซีจีแบบกลางๆอะไรประมาณนี้
แต่พอหลวมตัวไปดูเท่านั้นแหละ โอ้วแม่เจ้า !! ติดเลย รีบหาเวอร์ชั่นเก่าๆมาดูอย่างไวเลยฮะ #พอๆเลิกโม้
สรุปก็ไม่อยากให้พลาดกันจริงๆ กับหนังเรื่องนี้ อันที่จริงควรดูภาค “Rise of the Planet of the Apes” มาก่อนก็ดีนะ เพราะจะได้อินและเข้าใจกับภาคนี้มากขึ้น
คำเตือน !!!! อย่านอนดึกก่อนดูหนังเรื่องนี้เพราะจะง่วงเอา หรือไม่ก็ซัด M-150 ซักขวดก่อนไปดู ถ้าไม่มี ก็เอาหมอนไปเถอะ เดี๋ยวจะง่วงเอา 5555 #ล้อเล่นๆ แต่เค้าไม่หลับนะขอบอก อิอิ
คะแนน : 9/10 คับ #Woc
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Escape from the Planet of the Apes (1971) หนีนรกพิภพวานร
Conquest of the Planet of the Apes (1972) มนุษย์วานรตลุยพิภพ
BENEATH THE PLANET OF THE APES (1970) ผจญภัยพิภพวานร