Causeway (2022) คอสเวย์
เรื่องย่อ
เป็นภาพยนตร์ดราม่าแนวชีวิตที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการปรับตัวของทหารหญิงชื่อ ลินซีย์ (รับบทโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) Causeway ที่กลับมายังบ้านหลังจากได้รับบาดเจ็บจากสงครามในอัฟกานิสถาน ภาพยนตร์นี้นำเสนอการต่อสู้ของลินซีย์กับอาการบาดเจ็บทางจิตใจและร่างกายที่ได้รับขณะปฏิบัติหน้าที่ในต่างแดน รวมถึงความพยายามในการกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติ โดยได้พบกับมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับ เจมส์ (รับบทโดยไบรอัน ไทรี เฮนรี) ชายที่มีปมชีวิตเช่นเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมเชยอย่างมากในเรื่องการแสดงของนักแสดงนำทั้งสองคน รวมถึงการนำเสนอเรื่องราวที่ลึกซึ้งและสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับความยากลำบากในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ที่ผ่านประสบการณ์จากสงคราม
ผู้กำกับ
- Lila Neugebauer
บริษัท ค่ายหนัง
- A24
- Excellent Cadaver
นักแสดง
- Jennifer Lawrence
- Danny Wolohan
- Jayne Houdyshell
- Neal Huff
- Han Soto
- Natalie Pilie
โปสเตอร์หนัง
รีวิว
เป็นหนังที่ทำให้หวนนึกถึงว่าเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ Causeway เป็นนักแสดงหนังอินดี้สายล่ารางวัลมาก่อน เริ่มเป็นที่รู้จักจาก Winter’s Bone ที่เข้าชิงออสการ์ปี 2011 แต่ชีวิตการแสดงดันขึ้นลิฟต์เร็วมากตอนเปรี้ยงจาก The Hunger Games แล้วยังชนะรางวัลออสการ์จาก Silver Linings Playbook ในปีเดียวกัน แถมมีบทในแฟรนไชส์ใหญ่อย่าง X-Men อีก เลยทำให้ชีวิตการแสดงหลังจากนั้นวนเวียนกับหนังโปรดักชั่นใหญ่มาต่อเนื่อง กลายเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าขึ้นมาทันที คือเล่นบล็อกบัสเตอร์ได้, สายการแสดงชิงรางวัลได้, ชื่อเสียงดึงดูดคนดูวงกว้าง ครบเครื่องมาก จนถึงจุดหนึ่งก็มีพักการแสดงเพื่อตั้งหลักใหม่ ซึ่งหากไม่นับ Don’t Look Up แล้วเราก็บอกเลยว่า Causeway คือการตั้งหลักที่มั่นคงมาก หวนกลับมาล้างภาพจำเก่า ๆ ด้วยโชว์การแสดงในหนังฟอร์มเล็กอีกครั้ง
พล็อตเล่าแค่ว่า ‘ลินซีย์’ (Jennifer Lawrence) ทหารช่างที่ได้รับบาดเจ็บสมองกระทบกระเทือนจากเหตุระเบิดที่อัฟกานิสถาน ต้องกลับมาพักฟื้นที่บ้านเกิด เพื่อหวังจะได้กลับไปทำงานใหม่ ที่นี่เธอได้รู้จัก ‘เจมส์’ (Brian Tyree Henry) ช่างอู่ซ่อมรถที่สูญเสียขาไปข้างหนึ่งจากอุบัติเหตุ เป็นความสัมพันธ์ของคนชีวิตพัง ๆ สองคนช่วยสมานแผลในใจกันไป เฉย ๆ กับตัวหนัง อันที่จริงก็ไม่ได้ถึงขั้นว้าวกับการแสดงของเจนลอว์ด้วย
คือเจนลอว์เป็นนักแสดงเก่งแถวหน้าอยู่แล้วในสายตาเรา เพียงแต่บทใน Causeway มันดูเป็นการตั้งหลักด้วยการมองหาบทที่ได้โชว์การแสดงแบบเล่นนิ่งเล่นลึก ซึ่งเธอก็แสดงได้ดีตามมาตรฐานตัวเอง ความยากคือต้องเล่นเป็นตัวละครที่ดูเก็บกด สะสมความเครียดไว้ข้างในแต่ไม่ระบายออกมา คนมองแล้วต้องรู้สึกว่าปัญหาจากระเบิดในสนามรบมันดูไม่หนักหนาไปกว่าการต้องกลับมาอยู่บ้าน บทหนังก็ส่งมาทางนี้เหมือนกัน เหมือนเป็นคนใจพังที่บังเอิญเจอคนพังเหมือนกันแล้วได้ปรับทุกข์ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ทำให้ปัญหาหนักอกคลี่คลายออกไปคือการได้เปิดใจกับใครสักคน ต้องเปิดใจเต็ม ๆ ไม่ใช่เล่าครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วย
เป็นเรื่องราวของ ลินด์ซีย์ เจ้าหน้าที่ทหารหญิงประจำการอยู่ที่ตะวันออกกลาง แต่เธอได้รับบาดเจ็บระหว่างอยู่ในสมรภูมิ ทำให้ต้องถูกนำตัวส่งรักษาอยู่นานหลายเดือน พร้อมกับได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บทางสมอง ที่ทำให้เธอต้องเริ่มตั้งต้นชีวิตตัวเองด้วยการเริ่มกายภาพบำบัดและหัดเดินและยืนใหม่ทั้งหมด ก่อนจะมุ่งหน้ากลับมายังบ้านที่นิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าสำหรับชีวิตเธอ
นี่คือผลงานการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของผู้กำกับหญิงรุ่นใหญ่ “ไลลา นอยเกเบาเออร์” ที่ถือว่าเป็นงานเดบิวต์ที่จัดจ้านไม่เบา มาพร้อมกับทีมนักเขียนบทเจนใหม่เช่นเดียวกัน ประกอบด้วย “ออตเตสซา มอชเฟก”, “ลุค โกลเบล” และ “อลิซาเบธ แซนเดอร์ส” ที่พวเขาล้วนแต่เพิ่งจะมีประสบการณ์งานบทไม่เยอะเท่าไหร่นัก แต่ก็บ่มกันออกมาเป็นหนังชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผลแห่งความช้ำไปทั้งกายและใจอย่างในหนังเรื่องนี้
ก็อย่างที่เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ข้างต้นว่า Causeway ค่อนข้างจัดได้ว่าเป็นหนังนอกกระแส แต่กระนั้นตัวหนังก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ดูยากเลย นี่คือหนังชีวิตของทหารหญิงคนหนึ่ง หลังจากการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ในสมรภูมิที่ประจำการอยู่ การได้รับบาดเจ็บของเธอทำให้ต้องกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง และการที่หนังเลือกเล่าเรื่องผ่านสายตาของลินด์ซีย์เป็นหลัก ก็ถือว่าเป็นทางการเลือกที่เหมาะสม เพราะชีวิตและแนวคิดภายใต้สภาพกายและภาวะจิตใจที่ยังไม่ 100% ก็ช่างน่าค้นหายิ่งนัก
องค์ประกอบงานสร้างของหนังอาจจะไม่ได้มีอะไรมาก เพราะมันเป็นหนังชีวิตทั่ว ๆ ไป ที่เน้นขายการแสดงและการสื่อสารทางอารมณ์มากกว่า บทของหนังเรื่องนี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบอะไรมากนัก การเล่าเรื่องก็ยังไม่ได้ดึงดูดใจและตราตรึงผู้ชมได้ถึงขนาดนั้น แต่เพราะได้การแสดงและการถ่ายทอดจากนักแสดงระดับมืออาชีพมาก ๆ นั่นเอง เป็นจุดขายที่สามารถกระตุ้นและเพิ่มเลเวลความดีงามให้กับหนังเรื่องนี้ขึ้นได้
ละครแนวสังเกตเกี่ยวกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บที่กลับบ้านที่แตกสลาย กระบวนการฟื้นฟูในเวลาต่อมาผ่านการเป็นมิตรกับวิญญาณที่หายไปอีกดวงหนึ่ง และการชดใช้ความผิดของครอบครัวในละครที่ชวนคิดเรื่องนี้ซึ่งปล่อยให้ผู้ชมเป็นผู้ตัดสินใจเอง… ไม่มีละครดราม่าหรืออาการหงุดหงิดเกี่ยวกับตัวฉันที่น่าสงสารจากเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ในบทลินซีย์ ทำให้บทบาทนี้ดูด้อยลงจนคุณลืมนักแสดงและจมอยู่กับอารมณ์ของตัวละคร และนั่นเป็นผลงานของนักแสดงทั้งหมดที่เล่นตามโทนที่ครุ่นคิดและเงียบสงบของภาพยนตร์ ไม่มีเรื่องราวที่น่าติดตามในเรื่องนี้ มีเพียงการแสดงที่รู้สึกสมจริงโดยไม่ดังเกินไป เป็นผลงานของโรงเรียนภาพยนตร์
ตามคาดสำหรับ A24 หนังเรื่องนี้เป็นหนังเงียบๆ ไม่เน้นดราม่า เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์โดดเด่น Causeway โดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ฉากกับพี่ชายของเธอ นอกจากตัวละครหลักสองคนที่แข็งแกร่งแล้ว เรื่องราวยังมีตัวละครรองที่เขียนออกมาได้อย่างน่าสนใจ เช่น แม่หรือพี่ชาย ซึ่งเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับพวกเขาเพียงบางส่วนเท่านั้น เพลงประกอบดั้งเดิมของอเล็กซ์ ซอมเมอร์สทำได้ดีเป็นพิเศษ โดดเด่นมาก ถ้าไม่ใช่เพลงประกอบที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้ยินในหนังปีนี้ ดนตรีประกอบที่เหลือซึ่งแตกต่างไปจากเพลงประกอบดั้งเดิมนั้นดูไม่เข้ากัน ภาพลักษณ์และการทำงานของกล้องเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ 7/10
แต่ฉันก็สนุกกับมันนะ จังหวะของหนังก็ดูมีชั้นเชิงดี มีความอ่อนโยนในวิธีที่เรื่องราวคลี่คลาย ลอว์เรนซ์เล่นตรงไปตรงมาแม้จะดูเศร้าๆ เล็กน้อยในการพูดของเธอ และฉันคิดว่านี่เป็นการกำหนดโทนตลอดทั้งเรื่อง แทบจะไม่มีการเบี่ยงเบนจากพื้นฐานของการฟื้นตัวของเธอเลย ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ดูเหมือนจะพูดได้ตรงประเด็น แต่เคมีระหว่างเขากับลอว์เรนซ์นั้นเข้ากันได้ดี บทสนทนาค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ เป็นการศึกษาตัวละครที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้ฉันหลงใหลตั้งแต่ต้นเรื่อง ฉันชื่นชมภาพยนตร์แบบนี้ที่ไม่มีการเสแสร้งหรือธีมหลักที่ยอดเยี่ยม เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับมนุษย์ธรรมดาๆ เกี่ยวกับชีวิตที่แตกสลายสองชีวิตที่ค้นพบการปลอบโยนระหว่างพวกเขา ฉันชอบมันเพราะสิ่งนั้น เพราะทุกสิ่งที่มันขาดหายไป สิ่งที่ยังคงอยู่คือเรื่องราวที่สวยงาม
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ดำเนินเรื่องช้าๆ Causeway เศร้าๆ ซึ้งๆ และหวานๆ (ไม่ใช่เรื่องราวจริงๆ) เกี่ยวกับลินซีย์ (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญหลังจากกลับมาจากสงครามในอัฟกานิสถาน (PTSD) เธอติดอยู่กับระเบิดที่นั่นซึ่งทำให้เธอได้รับบาดเจ็บที่สมอง ตอนนี้เธอกำลังพยายามฟื้นฟูตัวเองที่บ้านเกิดของเธอในอเมริกา ผู้กำกับลีลา นอยเกบาวเออร์นำเสนอเรื่องราวตรงไปตรงมาในขณะที่ลินซีย์พยายามฟื้นฟูตัวเอง
ถือเป็นเรื่องน่าชื่นชมที่ผู้กำกับหลีกเลี่ยงฉากดราม่าและสะเทือนอารมณ์ เจนนิเฟอร์เข้ารับการกายภาพบำบัดเพื่อให้เดินได้และแสดงได้ดีเพื่อถ่ายทอดความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด และความเครียดที่ตัวละครของเธอรู้สึก แม้จะประสบเหตุการณ์เลวร้ายในอัฟกานิสถาน แต่เธอก็อยากกลับไปประจำการอีกครั้งเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับแม่ที่บ้าน (เมื่อกลับจากการบำบัด เจนนิเฟอร์ไม่ได้รับแม้แต่กอดหรือคำพูดปลอบโยนจากแม่เลย)
เราพบสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันซึ่งเธอต้องการกลับไปที่เขตสงครามเพราะเธอไม่มีความสุขที่บ้าน ส่วนที่ดีของภาพยนตร์แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพระหว่างเจนนิเฟอร์และไบรอัน ไทรี เฮนรี่ ช่างซ่อมรถยนต์ ทั้งคู่มีชีวิตที่เครียดและมีเรื่องราวเบื้องหลังที่ต้องเล่า และทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นภาพสะท้อนของกันและกันในทางหนึ่ง ทั้งคู่กำลังผ่านกระบวนการเยียวยาจากอดีตที่วุ่นวายของตนเอง มีความรู้สึกสบายใจที่จับต้องได้เมื่อทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันดื่มเบียร์และพูดคุยเรื่องธรรมดาๆ ทั้งคู่แสดงได้น่าประทับใจและอาจได้รับรางวัล เจนนิเฟอร์โดดเด่นในฉากที่เธอโน้มน้าวศัลยแพทย์ประสาทให้ขอการยกเว้นเพื่อที่เธอจะได้กลับไปประจำการอีกครั้ง และฉากที่เธอพูดภาษามือกับพี่ชายของเธอ
ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Full Metal Jacket (1987) เกิดเพื่อฆ่า
The Town (2010) เดอะ ทาวน์ ปล้นสะท้านเมือง
Gangster Squad (2013) หน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์
7.1