ดูหนัง ออนไลน์ Bumblebee (2018) เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ
เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นแนวไซไฟที่น่าตื่นเต้น ซึ่งถือเป็นการรีบูตแฟรนไชส์ Transformers ยอดนิยมอีกครั้ง กำกับโดยทราวิส ไนท์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละครมากขึ้น มอบประสบการณ์ที่จริงใจและหวนคิดถึงให้กับแฟน ๆ ของซีรีส์เรื่องนี้ ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้ชมในวงกว้างด้วย
Bumblebee (2018) บัมเบิ้ลบี บนดาว ไซเบอร์ตรอน พวกบอทส์นำโดยออพติมัสไพร์มกำลังใกล้จะสูญเสียสงครามไซเบอร์ตรอนครั้งใหญ่ให้กับศัตรูของพวกเขาพวก Decepticons ได้เริ่มเตรียมการที่จะออกจากโลกนี้ Decepticons นำโดย Shockwave, Soundwave และ Starscream ซุ่มโจมตีพวกเขาในระหว่างการอพยพและ Optimus ส่งหน่วยสอดแนมรุ่นเยาว์ B-127 ไปยังโลกเพื่อตั้งฐานปฏิบัติการที่ Autobots สามารถรวมกลุ่มใหม่ได้ B-127 มาถึงโลกเพียงลำพังในปี 2530 การลงจอดในแคลิฟอร์เนียและขัดขวางการฝึกซ้อมที่ดำเนินการโดย Sector 7 ซึ่งเป็นหน่วยงานลับของรัฐบาลที่ตรวจสอบกิจกรรมนอกโลกบนโลก ผู้พันแจ็คเบิร์นส์ตัวแทนภาค 7 สันนิษฐานว่า B-127 เป็นศัตรูผู้รุกรานและโจมตีขับรถ B-127 เข้าไปในป่าที่ซึ่งเขาถูกดักซุ่มโจมตีโดย Decepticon Blitzwing เมื่อ B-127 ปฏิเสธที่จะเปิดเผยที่อยู่ของออพติมัส Blitzwing จึงฉีกกล่องเสียงออกมาอย่างรุนแรงและทำให้แกนความจำเสียหาย B-127 จัดการทำลาย Blitzwing ก่อนที่จะพังทลายจากบาดแผลของเขา ก่อนเข้าสู่ภาวะชะงักงัน
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง Bumblebee (2018) บัมเบิ้ลบี หนังประเภท Adventure ผจญภัย ดูหนัง ออนไลน์ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
Travis Knight
บริษัท ค่ายหนัง
- Allspark Pictures
- Di Bonaventura Pictures
- Tencent Pictures
นักแสดง
- Hailee Steinfeld
- John Cena
- Jorge Lendeborg Jr.
- John Ortiz
- Jason Drucker
- Pamela Adlon
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
หนังโปรดของข้าพเจ้า
Bumblebee (2018) เข้าฉายแล้ววันนี้
คาดหวังเยอะไปหน่อยว่าจะเป็น The Iron Giant ของพ.ศ.นี้ แล้วก็ไม่รู้จะมองเป็นจุดดีหรือจุดด้อยตรงที่ถึงแม้ Bumblebee จะเป็น prequel ของ Transformers แต่อุตส่าห์เปลี่ยนผู้กำกับทั้งทีไหงยังคงกลิ่นอายไมเคิล เบย์ อยู่เยอะพอสมควร การเล่าเรื่องและบทหนังก็ยังธรรมดาเอามาก ๆ คือดีกว่าสมัยเบย์ทำแน่อยู่ละ แต่ก็คาดหวังว่าการเปลี่ยนคนกำกับจะได้ทิศทางใหม่ ๆ มากกว่านี้สักหน่อย
สิ่งที่ดูจะโดดเด่นออกมาคงมีเพียงแค่ลักษณะของหุ่นยนต์บัมเบิลบีที่มีหัวใจใกล้เคียงจะเป็นมนุษย์มากกว่าจะเป็นแค่หุ่นกระป๋อง (แต่ตัวอื่น ๆ ก็ยังดูแห้งเหมือนเดิม), สามารถสร้างปมให้ตัวละครน่าเอาใจช่วยแม้จะยังเล่าไม่ค่อยลงตัวเท่าไร, ดูจะเป็นงานหินเหมือนกันที่ต้องให้นางเอกพูดคนเดียวค่อนข้างเยอะ แบกหนังพอไปรอดอยู่ บัมเบิลบีเองยังสื่อสารเป็นท่อนเพลงอยู่เลย แต่ที่สงสัยอยู่อย่างหนึ่งคือนางเอกเป็นเด็กอายุ 18 แน่นะ ใจกล้าใจสู้ไม่กลัวตายผิดมนุษย์มาก จากที่หนังมันควรจะโฟกัสเป็นเรื่องมิตรภาพระหว่างคนธรรมดากับหุ่นยนต์หัวใจมนุษย์ เลยแทบจะกลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่อยู่แล้ว
จะบอกว่าเป็น coming of age สไตล์ Transformers ก็ไม่น่าผิดอะไร ตัวละคร ‘ชาลีย์’ (Hailee Steinfeld) ถ้าไปอยู่ในหนังวัยรุ่นปกติก็คงเป็นหนังก้าวพ้นวัยได้ไม่ยาก ทั้งความเศร้าหลังการสูญเสียพ่อที่เธอต้องพยายามผ่านมันให้ได้ด้วยตัวเอง, การเปิดใจให้ครอบครัวเดิมเพิ่มเติมคือพ่อเลี้ยง, การเป็นวัยรุ่นที่ไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวฐานะดีอะไร ต้องทำงานหลายอย่างเพื่อเก็บเงิน, แน่นอนว่าหนังสไตล์นี้ย่อมมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ด้วยความเป็นหนังตระกูล Transformers
จึงมีเพิ่มเติมเรื่องราวมิตรภาพระหว่างคนกับหุ่นยนต์เข้าไปสักหน่อย แถมช่วงท้าย ๆ ยังถูกใช้เป็นตัวคลี่คลายปมในใจตัวละครด้วย ในทางหนึ่งของหนังมันพูดเรื่องการพบแล้วต้องลาจาก ไม่มีอะไรจะคงอยู่กับเราไปได้ตลอดกาล เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ซึ่งในความเป็นจริงก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับเรื่องนี้กันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเกิดความผูกพันกันมาก ๆ เพียงแต่การเล่าของ Bumblebee นั้นมีปัญหาตอนคลี่คลายง่ายไปหน่อย อาจจะด้วยช่วงแรกปูพื้นมาค่อนข้างโอเคเพราะหนังให้เวลาสำรวจตัวละครและสร้างดราม่าขึ้นมา แต่ช่วงท้ายหนังต้องเปลี่ยนไปขายแอ็คชั่นด้วยเลยถือโอกาสเอาช่วงแอ็คชั่นมาใช้คลี่คลายปมในใจตัวละครไปด้วยเสียเลย ทั้งฉากทหารขับรถไล่ล่าแล้วครอบครัวมาช่วยขัดขวางและการช่วยเหลือบัมเบิลบี
.
ส่วนแอ็คชั่นในหนังหุ่นยนต์ไซส์ยักษ์แบบตระกูล Transformers มันหมดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปแล้วแฮะ อาจจะด้วยความสร้างสรรค์ของคนสร้างก็เริ่มจำกัด แล้วมันก็แพทเทิร์นเดิม ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร คืออย่างภาคแรกที่ฉายปี 2007 มันสดใหม่เลยยังรู้สึกว้าว หรือภาคสองตอนฉากเปิดเรื่องก็ยังว้าวอยู่ แต่หลังจากนั้นมันไม่เหลืออะไรให้รู้สึกทึ่งอีกแล้ว ดังนั้นด้วยสเกลหนัง Bumblebee ที่เล็กลงเหลือแค่หุ่นยักษ์ไม่กี่ตัวสู้กันในพื้นที่จำกัด การลดทอนแอ็คชั่นและความตูมตามลงเพื่อไปเพิ่มเวลาให้มิตรภาพของคนกับหุ่นยนต์จึงอาจจะเป็นเรื่องดีของหนังไปเลยก็ได้
Director: Travis Knight (ผู้กำกับ Kubo and the Two Strings)
story: Christina Hodson
screenplay: Christina Hodson
Genre: action, adventure, sci-fi
7/10
Wasant Tong Suthanyaphruet
Bumblebee (2018)
[คะแนน B ]
การทำภาพยนตร์เพื่อสนองความบันเทิง(ที่ดี)นั้นว่ายากแล้ว การทำให้กลมกล่อมลงตัวและคลาสสิค แบบว่าจะผ่านไปกี่เดือนกี่ปีก็ไม่ตกยุคตกสมัย สามารถรับชมซ้ำๆก็ยังรุ้สึกอย่างที่ต้องการ ถือเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่ามากจริงๆ เพราะไม่ได้ขายสนุกสนานแค่เพียงรอบเดียว Bumblebee ถือว่านำสิ่งที่หายไปนับจาก Transformers (2007) ภาคแรกที่ยังมีความเป็นหนังเล่าเรื่อง นำเสนอเกี่ยวกับครอบครัว ความรัก และการข้ามผ่านวัย ของตัวละครเอกกลับมาได้สำเร็จอีกครั้ง.. ทั้งยังให้ความสำคัญตลอดต้นจนจบได้ดีกว่าของหนุ่ม Sam ที่จะมีความโฉ่งฉ่างและโลดโผน ช่วงท้ายก็เน้นแอ็กชั่นจนกลบเนื้อหาไปสักหน่อย ภาคที่เหลือก็คงไม่ต้องสาธยายว่าเลวลงชนิดกู่ไม่กลับแค่ไหน Paramount จึงตัดสินใจปลุกชีพแฟรนไชล์นี้ด้วยภาคแยกที่ได้ Travis Knight ผุ้กำกับแอนิเมชั่นระดับรางวัลอย่าง Kubo and the Two Strings (2016) เข้ามาปั้นให้
โดยเวอร์ชั่นของ Bumblebee เลือกใช้เด็กสาว Charlie ที่กำลังเผชิญวิกฤติวัยรุ่นในช่วงปลายยุค 80s ที่นอกจากงานเซ็ตอัพต่างๆจะท่ายากมากขึ้นแล้ว ตัวหนังยังใช้ปัญหาพื้นฐานภายในครอบครัวที่จับต้องได้ เพื่อสื่อว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ไม่เกินรับมือ ถ้าเรากล้าเปิดประตูให้คนอื่นเข้ามาหา เพราะความสุขก็สามารถเริ่มต้นสร้างขึ้นได้เสมอ ตอนที่เธอได้รับหรือจากลา Bumblebee มันก็ส่งผลต่อชีวิตเดิมและชีวิตใหม่แบบชัดเจน.. ซึ่งธีมส่วนนี้แอบส่งผ่านมาถึงคนดูได้หนักแน่นแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องบีบเค้นดราม่าในฉากสำคัญต่างๆ แม้ว่าจะทำได้ง่ายดายเนื่องปูพื้นมาค่อนข้างดี เหตุผลก็อย่างที่เขียนถึงไปข้างต้นคือสตูดิโอ/ผุ้กำกับ มีโจทย์เดียวกันคือตั้งใจให้ภาคแยก Bumblebee มีคุณภาพและคลาสในทุกส่วน ถึงจะเป็นหนังคนแสดงเรื่องแรก Travis Knight และนางเอก Hailee Steinfeld ก็ถ่ายทอดได้ดีในหน้าที่ของแต่ละฝ่ายไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะพาร์ท Action, Drama, Comedy ก็ล้วนมอบอรรถรสและตรึงความรุ้สึกผุ้ชมในระดับที่น่าพอใจ ^ ^
Chekie
Bumblebee (2018) บัมเบิ้ลบี ”ทรานฟอร์เมอร์แนวทางใหม่”
แม้ผมไม่ได้เป็นแฟนคลับทรานฟอร์เมอร์ แต่ผมก็ตามดูมาทุกภาค และส่วนตัวก็ชอบเกือบทุกภาคด้วย (ยกเว้นภาคล่าสุด The Last Knight อันนี้ไม่ไหวจริงๆ) เรียกได้ว่าหนังหุ่นตีกันเรื่องนี้ค่อนข้างจะถูกโฉลกกับผม ว่างๆชอบเอาภาค 1-2 มาเปิดดูเพลิน เอาบันเทิงเรื่อยๆได้
และสิ่งที่ผมชอบในตัวหนัง ”ทรานฟอร์เมอร์” ก็คือ แม้จะมีทั้งระเบิด หุ่นตีกันมั่วๆ ตัวละครแปลกๆ แต่หนังก็ยังมี ”เพลงประกอบ” ที่ใส่มาแล้วมันลงตัว (แม้จะยัดๆมาก็เถอะ) ผมชอบเกือบทุกอัลบั้มของทราพฟอร์เมอร์เลยนะ ทั้งพวก Linkin Park หรือ Green Day อะไรพวกนี้ เรียกว่าเพลงในเรื่องทรานฟอร์เมอร์ มักฮิตมักปังแทบทุกเพลงและใน Bumblebee มันยังคงรักษาสิ่งเหล่านี้อยู่ แถมยังเพิ่มเติมมาเพียบ คือหนังดำเนินเรื่องในยุค 80 ทำให้เพลงยุคนั้นมาเพียบ ทั้งพวก Take on Me อะไรพวกนี้แหละครับ คือแค่ดูหนังเพื่อเสพเพลงประกอบ มันก็เกินคุ้มแล้วล่ะครับ
มาว่ากันที่ตัวหนังบ้างครับ Bumblebee ค่อนข้างจะมีแนวทางการเหล่าเรื่องที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ คือภาคก่อนๆ จะเน้นแอ็คชั่น หุ่นตีกัน สเกลหนังใหญ่ระดับจักรวาล แอ็คชั่นระเบิดมาเต็ม แต่ภาคนี้ลดสิ่งเหล่านั้นลงมาเยอะ
ต้องคาดหวังให้ถูก!!! หนังลดแอ็ดชั่น ลดสเกลเรื่องราว ลดระเบิด แล้วมาเพิ่มความ Coming of Age เล่าเรื่องราวจากสเกลระดับโลก ระดับจักรวาล มาเหลือแค่ระดับครอบครัว ชีวิตเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง นี่แหละครับคือหนังเรื่องนี้
แม้ผมจะชอบแนวแบบนี้ การก้าวผ่านวัย การเติบโตขึ้นของตัวละคร แต่ต้องยอมรับว่าบางจุดมันยังไม่ลื่นเท่าไหร่ คล้ายกับกาแฟที่ใส่นมมากเกินไป จนบางครั้งก็แอบฝืดคอไปบ้าง แอบเลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังพอดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟได้
หนังเปลี่ยนผู้กำกับจาก Michael Bay เป็น Travis Knight (จาก Kubo and the Two Strings) และได้ น้อง Hailee Steinfeld กับ เฮีย Cena มาแสดงนำ ซึ่งก็ทำหน้าที่ของตนเองได้ดีทั้งคู่ โดยรวมผมชอบนะ เหมือนดูทรานฟอร์เมอร์ในมุมที่เราไม่เคยเห็น และผมชอบความสัมพันธ์ของ ‘ชาร์ลีกับบี’ มากกว่าฝั่ง ‘บีกับแซมหรือเยเกอร์’ ด้วย เหนือสิ่งอื่นใดมีเพลงเพราะๆมาประกอบหนังนี่มันดีจริงแท้ ปล. ด้านฉากแอ็คชั่นก็ดูรู้เรื่องขึ้น แต่มีน้อยไปนิด
คะแนนความชอบส่วนตัว 7.5/10
Movies Delight Club
Bumblebee (Travis Knight, 2018)
คะแนน B
” Bumblebee ทรานส์ฟอร์มเมอร์สที่มีหัวใจ” พอดูจบแล้วต้องเข้าไปค้นว่า ‘ทราวิส ไนท์’ เคยกำกับภาพยนตร์อะไรมาก่อน แล้วก็พบว่าคือผู้กำกับแอนนิเมชัน ‘Kubo and the Two Strings’ เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ตัวหนังมีชีวิตชีวา และเข้าถึงความเป็นครอบครัวได้ขนาดนี้ ‘Bumblebee’ ในเรื่องกลายเป็น ทรานส์ฟอร์มเมอร์สที่มีหัวจิตหัวใจมากที่สุดตั้งแต่เคยดูมา ทำให้ได้ดูแค่นี้ก็ถือเป็นความน่ายินดีมากแล้ว หลังจากที่ได้ดูแต่ฉากระเบิดตูมตามไร้สาระมากมายมาตลอด แม้ว่าหนังก็ยังมีฉากตูมตามอยู่เหมือนเดิม แต่พล็อตเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสาวน้อยกับหุ่นยนต์ สร้างรอยยิ้มและส่งมอบความสบายใจ ‘Bumblebee’ กับความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวที่กำลังก้าวผ่านพ้นวัย คือโจทย์ที่ตัวหนังทำได้สำเร็จอย่างไม่มีข้อสงสัย
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดนอกจากความน่ารักน่าชังของ ‘Bumblebee’ การแสดงของ ‘เฮลีย์ สไตน์เฟลด์’ คือส่วนช่วยแบกหนังทั้งเรื่องและทำให้ตัวหนังมีความประนีประนอมเข้าถึงง่าย อารมณ์ต่างๆจากตัวละครตัวนี้ส่งถึงเราและทำให้เราคล้อยตามไปกับความสัมพันธ์ทั้งหมด แบบที่หนังทรานส์ฟอร์มเมอร์สไม่เคยมี เพราะปกติจะมีแต่สาวนมโตมาให้ดูอย่างเดียว ไม่มีความเป็นมนุษย์มีจิตใจอะไร แต่สำหรับ ‘Bumblebee’ การมีตัวละครเด็กสาวที่กำลังจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและปรับตัวอยู่กับคนรอบข้าง คือหัวใจที่ทำให้เรารู้สึกชอบงานนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหนังเลือกใช้ดนตรีประกอบและจังหวะเล่นมุขตลกที่พอเหมาะพอดี
ท้ายสุด ‘Bumblebee’ แม้ว่าจะยังมีความเลอะเทอะของการต่อสู้ระหว่างทรานส์ฟอร์มเมอร์สด้วยกันแบบที่เคยๆเห็นมาจนเบื่อ แต่ตัวหนังกลับมีอารมณ์ชวนสบายๆดูได้เพลินๆ และคล้อยตามไปกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร มีเค้าโครงและพล็อตเรื่องที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ดี มีนักแสดงสาวน้อย ‘เฮลีย์ สไตน์เฟลด์’ ที่ให้การแสดงที่ดีมากๆ ทั้งหมด คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส’ ได้เวลาเปลี่ยนมือและถึงเวลา(นาน)แล้วที่ ‘ไมเคิล เบย์’ จะไปกำกับและสร้างอะไรที่ระเบิดตูมตามเรื่องอื่นเสียที…
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ 🙂
Shuckmovie
Bumblebee (2018)
Director: Travis Knight
หนัง Spinn-off เรื่องแรกของ Transformer ที่ได้หยิบเอาตัวละครที่แฟนหนังหลายคนหลงรักอย่าง Bumblebee มานำเสนอ โดยหนังจะเล่าเรื่องราวย้อนกลับไปยังช่วงปี 1987 เมื่อสงครามระหว่าง ออโต้บอท และ ดีเซ้ปติค่อน กำลังคุกกรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ อ้อพติมัส ไพรม์ จึงได้ส่งบั้มเบิ้ลบี ให้เดินทางมายังโลก เพื่อสร้างฐานทัพกองกำลังของออโต้บอท และเตรียมทำสงครามกับ ดีเซ้ปตีค่อน โดย บั้มเบิ้ลบี ได้ปลอมตัวเป็นรถเต่าสีเหลือง เพื่ออำพรางร่างไว้ จนกระทั่งรถเต่านี้ได้กลายเป็นของขวัญชิ้นสำคัญของ ชาร์ลี (ฮาร์ลี่ สแตนฟิลด์) วัยรุ่นสาวที่พึ่งจะมีอายุครบ 18 ปี เธอได้ไปปลุกพลังของ บั้มเบิ้ลบี ให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งคู่ก็กลายเป็นคู่หูคู่ซี้กัน แต่ชาร์ลี ก็หารู้ไม่ว่าพวกเขาได้ล่อให้เหล่าหุ่นยนต์ฝั่งศัตรูมุ่งตรงมาหาเพื่อโจมตีพวกเขา การผจญภัยของสองคู่หูของคนและ ออโต้บอทก็ได้เริ่มต้นขึ้น
BumbleBee เป็นหนังที่มีความต่างจาก Transformer ภาคหลักอย่างชัดเจน ด้วยการที่หนังได้ปรับเปลี่ยนแนวจากเดิม เป็นแอคชั่น ไซไฟ ให้กลายเป็นหนัง คัมมิ่ง ออฟ เอจ ที่ว่าด้วยเรื่องราวการก้าวผ่านพ้นวัยของสาวน้อยที่ ที่ใช้ชีวิตปลีกตัวจากครอบครัว เพื่อนฝูง จนกระทั่งการพบกับ บัมเบิ้ลบี ก็ได้ทำให้เธอได้เปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตของเธอไปโดยปริยาย หนังมาพร้อมกับพลอตเรื่องสูตรสำเร็จสไตล์เพื่อนรักต่างดาว แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของหนัง Transformer ต้นฉบับอยู่บ้าง ทั้งบรรดาฉากแอคชั่น ระเบิดภูเขาเผากระท่อม การแปลงร่างของเหล่าหุ่นยนต์ ที่ยังคงทำมาเอาใจแฟนๆ หนังชุดดั้งเดิมแบบจัดเต็ม
แต่ด้วยความที่หนังเน้นพูดถึงการก้าวผ่านพ้นวัย ทำให้หนังไม่ได้เน้นที่ฉากแอคชั่นไล่ล่าแบบหนัง Transformer ที่คุ้นเคย หนังใช้ช่วงเวลาเกือบตลอดขององก์สอง ในการนำเสนอความสัมพันธ์ของ ชาร์ลี และ บัมเบิ้ลบี แต่ถึงกระนั้นหนังก็สามารถถ่ายทอดความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวละครออกได้ดี เราจะได้เห็นความเป็นลูซเซอร์ของทั้งชาร์ลี และบั้มเบิ้ลบี ที่ชวนให้เราอยากเอาใจช่วยทั้งสองตัวละครในการฝ่าฟันเอาชนะอุปสรรคต่างๆ นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยฉากที่ชวนให้อมยิ้ม กับความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวละคร ที่สามารถทำให้เราหลงรักตัวละครนำของเรื่องได้ไม่ยากนัก
อีกหนึ่งความน่าสนใจของหนังคือการเล่นกับยุค 80 ออกมาได้คุ้มค่า เราจะได้เห็นวัฒนธรรม แฟชั่น ดนตรี ศิลปะต่างๆ แฝงอยู่ในหนัง หนังจัดเต็มไปด้วยเพลงประกอบเพราะๆ ในยุคนั้น โดยเฉพาะบทเพลงจากวง The Smith อันเป็นวงโปรดของชาร์ลี นอกจากนี้หนังก็ยังมีแฝงหนังที่มีอิทธิพลต่อยุคนั้น อย่าง Breakfast Club และ The Thing แฝงไว้เป็นอีสเตอร์เอ้กในหนังอีกด้วย ฉะนั้นหากใครที่ชื่นชอบหนังอารมณ์ยุค 70 – 80 น่าจะชื่นชอบไม่น้อย
ในขณะที่ด้านความเป็นดราม่า ก้าวผ่านพ้นวัยที่หนังทำออกมาได้ดี แต่น่าเสียดายที่ในด้านความเป็นหนังแอคชั่น หนังยังมาสไตล์เดิมๆ ของ Transformer ที่มีตัวละครฝั่งตัวร้ายที่ค่อนข้างจืดชืดขาดมิติ การดำเนินเรื่องแบบสูตรสำเร็จที่คนดูสามารถเดาทิศทางของหนังได้ตลอดทั้งเรื่อง หนังยังมีจุดบอดหลายๆ อย่างที่เป็นบาดแผลมาจากหนังชุดหลักยังมีให้เห็นในเรื่องนี้อยู่พอควร
ในด้านการแสดงต้องขอชื่นชมการแสดงของ ฮาลี่ย์ สแตนฟิลด์ ที่สามารถถ่ายทอดบท ชาร์ลีออกมาได้มีเสน่ห์ชวนให้เราหลงรัก และสามารถเอาคนดูอยู่หมัดตลอดทั้งเรื่อง เคมีการแสดงของเธอในการรับส่งบทกับตัว บั้มเบิ้ลบี สามารถทำให้เราเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ของทั้งสอง ในขณะที่ด้าน จอห์น ซีน่า ในบทนายทหารฝั่งศัตรู ที่จากการปูบทในช่วงต้นเรื่องน่าจะสามารถทำให้ตัวละครของเขาดูมีมิติ มีปมที่น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่บทบาทของแกกลับออกมาเป็นสูตรสำเร็จ และดูจืดเกินไปอย่างน่าเสียดาย
โดยภาพรวม BumbleBee ถือว่าเป็นหนังที่สามารถสร้างมิติ และรสชาติใหม่ๆ ให้กับหนังชุด Transformer ออกมาได้อย่างน่าชื่นชม หนังมีพาร์ทดราม่าที่แข็งแรง จนสามารถเป็นหนัง คัมมิ่ง ออฟ เอจ อีกเรื่องที่น่าชื่นชมในปีนี้ แม้ว่าในด้านหนังแอคชั่นหนังจะออกมาเป็นสูตรสำเร็จ ที่เดาทางง่ายไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความหวังที่ต่อลมหายใจของหนังชุดนี้ ให้มีอนาคตที่สดใสอีกครั้ง
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Big Typhoon (2022) โคตรไต้ฝุ่น
6