KUBHD ดูหนังออนไลน์ Avengers Infinity War (2018)
เรื่องย่อ
Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่บล็อกบัสเตอร์ประจำปี 2018 ที่โดดเด่นในฐานะหนึ่งในผลงานที่มีความทะเยอทะยานและยิ่งใหญ่ที่สุดใน Marvel Cinematic Universe (MCU) กำกับโดยแอนโทนี่และโจ รุสโซ และอำนวยการสร้างโดยมาร์เวล สตูดิโอส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นสุดยอดของการเล่าเรื่องที่มีคุณค่าในรอบทศวรรษและเป็นภาคที่ 19 ใน MCU
Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล เรื่องย่อ: ภาพยนตร์เรื่องนี้รวบรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel มากมาย รวมถึง Avengers, Guardians of the Galaxy และตัวละครอื่นๆ จาก MCU ศัตรูตัวฉกาจคือธานอสผู้น่าเกรงขาม รับบทโดยจอช โบรลิน ผู้พยายามรวบรวมหินอินฟินิตี้สโตนทั้ง 6 ชิ้น ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์จากจักรวาลที่ทรงพลังมหาศาล ในภารกิจของเขาเพื่อสร้างสมดุลให้กับจักรวาลด้วยการทำลายล้างครึ่งหนึ่งของชีวิต
ในขณะที่ธานอสเริ่มต้นภารกิจ เหล่าอเวนเจอร์สซึ่งนำโดยไอรอนแมน (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์), กัปตันอเมริกา (คริส อีแวนส์), ธอร์ (คริส เฮมส์เวิร์ธ) และเดอะฮัลค์ (มาร์ค รัฟฟาโล) พร้อมด้วยพันธมิตรอย่างแบล็ค แพนเธอร์ (แชดวิค โบสแมน) ) และด็อกเตอร์ สเตรนจ์ (เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) ร่วมมือกันเพื่อหยุดเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาเผชิญกับความท้าทายที่ดูเหมือนจะผ่านไม่ได้ ในขณะที่พวกเขาพยายามป้องกันธานอสจากการประกอบ Infinity Gauntlet ซึ่งจะมอบพลังที่ไม่อาจจินตนาการให้เขาได้
ภาพยนตร์ Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล เรื่องนี้เป็นรถไฟเหาะแห่งแอ็คชั่น ดราม่า และอารมณ์ความรู้สึก ขณะที่ตัวละครอันเป็นที่รักถูกผลักดันจนถึงขีดจำกัด และชะตากรรมของจักรวาลก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย เป็นเรื่องราวแห่งความเสียสละ ความกล้าหาญ และจิตวิญญาณอันยืนยงของเหล่าฮีโร่จาก Marvel
ผู้กำกับ
- แอนโทนี รุสโซ
- โจ รุสโซ
บริษัท ค่ายหนัง
มาร์เวลสตูดิโอส์
นักแสดง
- รอเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์
- คริส เฮมส์เวิร์ท
- มาร์ก รัฟฟาโล
- คริส อีแวนส์
- สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน
- เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
- ดอน ชีเดิล
- ทอม ฮอลแลนด์
- แชดวิก โบสแมน
- พอล เบ็ตตานีย์
- อลิซาเบธ โอลเซน
- แอนโทนี แมกกี
- เซบาสเตียน สแตน
- ดาไน กูริรา
- เลทิเทีย ไรท์
- เดฟ บอทิสตา
- โซอี ซัลดานา
- จอช โบรลิน
- คริส แพร็ตต์
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
Chekie
Avengers: Infinity War (2018) มหาสงครามล้างจักรวาล
”สมกับการรอคอย!!”
(ไม่มีสปอย)
ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนนะครับที่ผมหายจากเพจไปสักพักเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ไปเยือน(เที่ยว) สปป.ลาว ก็เลยไม่มีเวลาได้เเวะเข้ามาในเพจ ต้องขออภัยตรงนี้ก่อนนะครับ
ก่อนที่จะมีโอกาสได้ดูเรื่องนี้ ตัวผมก็หลีกเลี่ยงโลกโซเซี่ยลเพื่อหลบสปอยอยู่พอสมควร พวก Facebook Pantip นี่แทบไม่เข้าเลย เลี่ยงจริงๆ จนได้มีโอกาสได้ดูก็ต้องยอมรับครับว่า ”สมกับการรอคอยครับ!!”
จริงๆแล้วตัวผมค่อนข้างจะเฉยๆกับหนัง Marvel นะครับ คือเรื่องที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีเรื่องไหนของค่ายนี้ที่โดนใจแบบสุดๆเลย มีเพียง Cap2 กับ Avengers 1 เท่านั้นที่ผมชอบ นอกนั้นจะค่อนข้างเฉยๆ (แต่ผมกลับถูกจริตกับฝั่ง DC มากกว่า พวก The Dark Knight,Man of Steel อะไรประมาณนี้ อันนี้ก็แล้วแต่คนนะครับ) แต่ Avengers ภาคนี้ผมต้องยอมรับเลยว่าไม่ได้รู้สึก ”ว้าวว!!!” กับหนังในโรงแบบนี้มานานแล้ว คือเรื่องนี้แบบว่าสุดๆจริงๆ ไม่เสียเวลาที่ ทาง Marvel ปูเนื้อเรื่องมาตลอด 10 ปีเลยครับ
มีการเฉลี่ยบทให้ฮีโร่ทุกตัว
ทุกทีมมีความเด่นพอๆกัน(ในแบบที่สมดุล) แถมทางฝั่งตัวร้ายอย่าง ”ธานอส” ก็โหดมากๆ คือต่อให้รุมยังเอาไม่ลงเลย แถมยังเป็นตัวร้ายที่มีมิติอีกด้วย ซึ่งผมพอใจในส่วนนี้มาก (ดีกว่าจะเอะอะอะไรก็จะครองโลก ครองจักรวาลอย่างเดียว)แม้หนังจะมาในโทนสิ้นหวังแต่ก็ยังแทรกมุกตรงมาอย่างลงตัว และก็แต่ละมุกก็เล่นเอาลั่นเลยเหมือนกันขอสรุปหนังเลยนะครับ(ถ้ามากกว่านี้ก็จะสปอยแล้ว) คือหนังสนุกครับ เวลากว่าสองชั่วโมงครึ่งแทบไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย หนังเล่าเรื่องสนุก กระชับมาก จัดเต็มฉากแอ็คชั่นจริงๆ
เมื่อดูจบต้องขอยกนิ้วให้เลยครับ นี่แหละหนังฮีโร่ที่หลายๆคนรอคอย!!!
#รอภาคต่อแทบไม่ไหวแล้วววว!!!
คะแนนความชอบส่วนตัว 9/10
Movies Delight Club
Avengers: Infinity War (Anthony Russo, Joe Russo, 2018)
#ไม่มีสปอย
คะแนน B
“สิบปีที่ส่งต่อและเปลี่ยนผ่านหลอมรวมกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้” สิบปีแล้วที่ภาพยนตร์ค่ายมาร์เวลสร้างฮีโร่มาให้พวกเราได้รับชมกันอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าเติบโตมาพร้อมกันคงไม่เกินไป ทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ถ้าคิดเป็นระยะทางก็คงหลายหมื่นกิโล ตลอดการเดินทางมีทั้งการส่งต่อและเปลี่ยนผ่านจากตัวละครหนึ่งไปสู่ตัวละครหนึ่ง เพื่อให้เกิดเนื้อเรื่องของภาคนี้ขึ้นมา มันจึงแทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถสร้างเรื่องราวตลอดสิบปีแล้วยัดใส่ลงไปในภาพยนตร์เรื่องเดียวด้วยความยาวขนาด 2 ชั่วโมงครึ่ง เราจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรที่ตัวหนังจะมีช่องว่างที่รู้สึกไม่ชอบในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆที่หนังเองจงใจและพยายามนำเสนอ หรือพยายามเล่าเรื่องโดยสอดแทรกประเด็นต่างๆไว้ให้ขบคิด ด้วยความที่ตัวละครมีเยอะมาก น้ำหนักในการแบ่งบทให้ตัวละครแต่ละตัวที่พยายามทำให้ดูสมดุลจึงเลี่ยงไม่ได้ที่มันจะไปลดทอนบทภาพยนตร์ที่หนักแน่นและน่าสนใจไปโดยปริยาย ทำให้หนังสร้างฉากแอคชั่นที่สวยงามตื่นตาตื่นใจแต่กลับไม่สามารถจดจำได้ตลอดทั้งเรื่อง จะมีเพียงบางฉากเท่านั้นที่เรารู้สึกชอบและประทับใจ ทั้งนี้ ‘Avengers: Infinity War’ ก็ยังคงเสริมสร้างประเด็นของเหล่าตัวละครที่อาจจะดูลดถอยลงไปบ้างเมื่อเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ค่ายมาร์เวลในยุคหลังๆ
ประเด็นที่น่าสนในความคิดเราคือหนังมาร์เวลในยุคหลังๆ มักจะให้น้ำหนักที่ตัวร้ายได้น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวร้ายใน Black Panther, Thor Ragnarok, Spider-Man: Homecoming ล้วนแล้วแต่เป็นตัวร้ายที่มีวิสัยทัศน์ก้าวกระโดดและสุดโต่งจนน่าสนใจและน่าครุ่นคิดต่อการกระทำต่างๆเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าตัวร้ายที่สุดอย่าง ‘ทานอส’ ในส่วนนี้ก็มาพร้อมกับอุดมการณ์ที่มีหลักเหตุ-ผล
พร้อมสติครบถ้วนรู้ผิดรู้ชอบมีสามัญสำนึก มันจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจและสะท้อนให้เห็นว่ามาร์เวลไม่เคยละทิ้งตัวละครฝ่ายร้าย แถมยังให้น้ำหนักที่น่าสนใจมากกว่าตัวฮีโร่ฝ่ายดีเสียด้วยซ้ำในบางแง่มุม ความแยบยลคือแก่นสาระในตัวร้ายที่ถูกสอดแทรกใน ‘Infinity War’ ที่หนังพยายามใส่และแต่งเติมให้เราเข้าใจตัวละครตัวนี้มากขึ้นมุมหนึ่งนั้นดูดี แต่สำหรับเรามันน้อยเกินไปด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ หนังไม่ได้หยิบส่วนนี้มาขยี้ต่อให้ถึงแก่นและให้เราสัมผัสลงลึกไปที่ข้อความส่วนนี้แบบถึงลูกถึงคนอย่างที่คาดหวังตลอดการรับชม เราจึงรู้สึกเสียดายๆอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมในมิติของตัว ‘ทานอส’ เราขอยกให้เป็น ‘พระเอก’ ของเรื่องได้อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม หนังไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมดได้ภายในภาคเดียว จึงไม่มีอะไรต้องติดใจ เพราะส่วนตัวยังคิดว่าภาคนี้มีเวลาเล่าเรื่องที่น้อยเกินไปด้วยซ้ำ ตัวหนังจึงจำเป็นต้องมีภาคต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเพราะปัญหาเรื่องเวลากับความเยอะมากของตัวละคร รวมไปถึงเส้นเรื่องที่ร้อยเรียงซ้อนทับกันไปมา ทั้งหมดจึงทำให้ตัวงานดูไม่ค่อยไหลลื่นในช่วงรอยต่อของการเอาเส้นเรื่องมาบรรจบกันจนรู้สึกได้ว่าเป็นความเร่งรีบ
ทำให้พล็อตเรื่องของตัวเองถูกเล่าและสะท้อนอารมณ์ออกมาได้ไม่หมดครบเสียทีเดียว เรียกว่า ทิ้งเรื่องหลักของตัวเองเพื่อมาผสมโรงกับผองเพื่อนแบบไม่ค่อยรับผิดชอบต่อจังหวะหักเหเท่าไหร่ ฉากที่ควรจะสนุกๆพีคๆจึงไม่ค่อยทรงพลังเท่าที่ควร ท้ายสุด ‘Avengers: Infinity War’ ถ้าตัดตำหนิต่างๆหรือความเล่นท่าง่ายไปสักนิดในบางฉากที่มีพล็อตที่ซ้ำกันเองในเรื่องเดียวออกไป งานนี้ก็ถือเป็นความบันเทิงชั้นดีอีกเรื่องหนึ่ง และเป็นภาพยนตร์ฮีโร่ที่มีครบทุกอารมณ์ที่สุดเท่าที่เคยดูมา แต่คงไม่ถึงกับเป็นภาพยนตร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในทัศนะนี้…
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ 🙂
กะหรี่ซีนีม่า
Avengers: Infinity War (2018)
—– ไม่สปอย —–
ที่มาช้าเพราะไม่รู้ว่าจะรีวิวยังไงดีให้ไม่สปอย
เอาสั้นๆ ละกัน
1. ทบทวนก่อนเข้าไปดูนะครับ
ไม่ทวน โดยที่ไม่มี Basic เข้าไปก่อน คืองงมากๆ แน่นอน
2. โคตรเชี่ย
จบละ
ให้ 4/5 หักคะแนนช่วงแรกๆ ที่มัวแต่ตลกแดกไปเรื่อยๆซึ่งคือถ้าไม่ใช่แฟน Marvel หรือนักแสดงจะมีความเบื่อเบาๆ(นี่ขนาดเป็นแฟนเดนตาย ยังแอบเบื่อเบาๆ เลย) แต่ที่เหลือโอเคหมด
ไปดูซะเถอะ บอกได้แค่นี้
น่าจะเป็น 1 ในภาพยนตร์ Marvel ที่ดีที่สุดแล้วครับ
ขออภัยนะครับ แต่ DC ไม่ต้องพูดถึงเลย เทียบไม่ติดเลยจริงๆ
รีวิวหนัง ต้องที่นี่ที่เดียว Movie A
เรื่อง Avengers: Infinity War (2018)
ช่องทางการรับชม : โรงภาพยนต์
ความยาว : 2 ชั่วโมง 40 นาที
แนว : Sci-Fi ,Fantasy
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Anthony Russo, Joe Russo
รีวิวสั้นๆ : เรื่องนี้เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ไม่เหมือนเรื่องไหนหรือค่ายไหนที่เคยดูมา เพราะค่อนข้างที่จะเต็มไปด้วยความมันส์ในทุกๆตอน บู๊กระจาย เรียกได้ว่าอย่ากระพริบตาเลยทีเดียว เนื้อเรื่องที่เข้มข้น บวกกับมุขตลกที่สดใหม่ มันทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ในทุกๆตัวละคร แม้ว่ามีเยอะแต่ก็ไม่มีตัวละครไหนที่เด่นไปกว่ากันเท่าไหร่ สนุกมากกก ไม่ทำให้ต้องผิดหวังแน่นอน ทานอสตัวร้ายก็มีทั้งมุมที่โหดและมุมเศร้า รอดูภาคต่อไปไม่ไหวแล้วว เรียกได้ว่าครบรส ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ปล. มีหนังต่อท้าย end credit
คะแนน : 10/10
ดูหนังตามคิว
รีวิว Avengers: Infinity War – มหาสงครามล้างจักรวาล (2018)
กำกับโดย Anthony Russo และ Joe Russo
เขียนบทโดย Christopher Markus และ Stephen McFeely
ความยาวภาพยนตร์ 160 นาที (2 ชั่วโมง 40 นาที)
ภาพยนตร์แฟรนไชส์ล้วนเป็นสิ่งในฝันสำหรับสตูดิโอหลายๆแห่ง แต่หากถามถึงแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก คงหนีไม่พ้นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel Studio หนึ่งในค่ายหนังที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้สูงที่สุดในโลกภาพยนตร์ จุดเริ่มต้นของพวกเขาเริ่มต้นด้วย Ironman(2008) มีภาพยนตร์ออกฉายมาอย่างสม่ำเสมอ จนในที่สุดก็มาถึงปี 2018 กับภาพยนตร์ฉลองครบรอบ 10 ปี ที่มาพร้อมกับเรื่องราวเข้าสู่บทสรุปของแฟรนไชส์ Marvel ด้วย Avengers: Infinity War(2018)
ความรู้สึกแรกหลังชมภาพยนตร์จบไปคือ…อีเว้นยิ่งใหญ่ และยอมรับในความกล้าของผู้สร้างหนัง มันเป็นภาพยนตร์ที่ผมคงต้องบอกเลยว่าทำออกมายาก เนื่องจากมีเนื้อเรื่องต้องการเล่าเยอะมาก รวมไปถึงตัวละครกว่า 20 ตัวละครที่ต้องเล่าออกมาให้มีเอกลักษณ์และน่าจดจำไปด้วยกัน หากผู้เขียนบทประสบการณ์น้อยเกินไป หรือความสามารถไม่เพียงพอต่อการควบคุมเรื่องราวให้อยู่หมัดได้ บอกเลยว่านี่จะเป็นภาพยนตร์ที่ล้มเหลวของ Marvel Studio แต่ภาพยนตร์นี้สามารถสอบผ่านมาตรฐานส่วนไหญ่ไปได้อย่างดี สามารถดำเนินไปได้ตามที่แฟนตั้งความหวังไว้ เรียกได้ว่าแฟนๆของ Marvel Studio ยิ้มแก้มปริแน่นอน
ในเรื่องของบทภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกว่าทำการบ้านมาดีมาก เพราะมีการนำเสนอเนื้อหาได้อย่างครบถ้วน เราไม่รู้สึกสงสัยในบางสิ่งที่นำเสนอภายในเรื่อง โดยหนังเลือกใช้การเล่าเรื่องที่ฉลาด การแบ่งเวลา Timing ของตัวละครออกมาได้ดี โดยการนำเสนอของเรื่องราวมีการเล่าผ่านตัวละครธานอส ซึ่งการที่ให้เขาเป็นศูนย์กลางของเรื่อง ทำให้ภาพยนตร์เล่าได้อย่างตรงจุด เพราะเมนหลักของเรื่องราวคือการตามหาอินฟินิตี้สโตนของธานอส การให้ตัวละครนี้เป็นศูนย์กลางการเล่าเรื่องนับเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะเราจะได้ทำความรู้จักตัวละครไปในตัวด้วย ซึ่งเราจะได้เห็นธานอสเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่ง ที่เราเข้าใจว่าเขามีความคิดอย่างไรบ้างในแต่ละช่วงเวลา และรู้ว่าการกระทำของตัวธานอสมีเหตุผลต่อการกระทำสิ่งนั้น นอกจากการดำเนินเรื่องในส่วนของธานอสแล้ว สำหรับในส่วนของตัวละครของกลุ่ม Avengers และ Guardian บอกเลยว่ามันว้าวในหลายๆฉากเลย ว้าวกับการเปิดตัวของแต่ละตัวรวมถึงการโชว์ให้เห็นความสำคัญของตัวละครเหล่านั้น รวมถึงมีช็อตน่าจดจำในหลายๆตัวละคร
หากส่วนดีของภาพยนตร์คือการจัด Timing รวมถึงบทภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวได้อย่างดิบดี แต่ในส่วนข้อเสียของภาพยนตร์ก็คงหนีไม่พ้นบทภาพยนตร์เช่นกัน หลายคนคงสงสัยว่าในเมื่อบทภาพยนตร์คือข้อดี แล้วมันเป็นข้อเสียของภาพยนตร์ได้อย่างไร ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ภาพยนตร์ที่เนื้อหาเยอะขนาดนี้ การที่จะมัดรวมไปอยู่ภาพยนตร์เรื่องเดียวมันเป็นไปได้ยากมาก เรื่องราวมันมากเกินกว่าจะถูกบีบอัดได้หากเวลาน้อยเกินไป หลายๆคนอาจคิดว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที เป็นเวลาที่นานมากแล้วสำหรับภาพยนตร์ ตัวผมเองก็คิดเช่นกันเพราะเวลาภาพยนตร์มันเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว แต่หากเรามามองดูจะเห็นได้ว่ามีหลายฉากที่ดำเนินไปอย่างเร็วมาก หลายๆฉากควรจะเพิ่มรายละเอียดเข้าไป
หรือเพิ่มช่วงเวลาให้ผู้ชมได้คิดตามตัวละคร นั่นแหละครับข้อเสีย การที่บีบอัดภาพยนตร์มากเกินไป ทำให้หลายๆฉากเรารู้สึกไม่อินต่อภาพยนตร์มากเท่าที่ควร บางทีเราแค่รู้สึกเออวะมันทำแบบนี้เพราะแบบนี้นี่เอง เพียงแต่ความตราตรึงมันได้รับกลับมาค่อนข้างน้อย หากเทียบกับภาพยนตร์เรื่องเก่าของค่ายนี้ หลายๆเรื่องเนื้อหาไม่ได้เยอะมาก แต่มันสามารถสร้าง impact ให้แก่เราได้มาก อย่างฉากการทะเลาะของ Tony Stark กับ Steve Rogers ในเรื่อง Captain America Civil War(2016) เราจะรู้สึกถึง impact ค่อนข้างมาก เพราะเราอินกับตัวละครได้อย่างดี เนื่องจากองค์ประกอบเรื่องราวและการดำเนินเรื่อง มันต่อเนื่องจนเราจดจำมันเป็นหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดของจักรวาลภาพยนตร์ Marvel แต่กลับกันในภาพยนตร์เรื่อง Avengers Infinity Wars(2018) นั้นมีเรื่องราวมากเกินไป จนเรารู้สึกไม่อินกับเรื่องราวเท่าที่ควร หากเปรียบเทียบแล้ว Captain America Civil War คืออาหารที่มีรสกลมกล่อม Avengers Inifinity War คืออาหารที่มันมีรสอร่อยครบ เพียงแต่มันไม่กลมกล่อมขนาดที่จะเป็นอาหารจานโปรดของเราได้
ถ้าจะเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่นในโลกภาพยนตร์ คงต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่อง Avengers Infinity War มีองค์ประกอบการเล่าเรื่องราวที่ยากเหมือน The Lord of The Rings เพราะเรื่องราวเยอะมาก เพียงแต่ The Lord of The Rings มีการแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ภาค โดยแต่ละภาคล้วนยาวกว่า 3 ชั่วโมงด้วย ในขณะเดียวกัน Avengers Inifinity War เล่าเรื่องราวสุดยิ่งใหญ่ในเวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที มันเป็นช่วงเวลาที่รู้เลยว่าไม่พอต่อการเล่าเรื่อง หากมีการเพิ่มเวลาเข้าไปอีกสัก 10-15 นาที เชื่อว่าภาพยนตร์จะมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
อีกหนึ่งข้อเสียของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การที่มันไม่ใช่ภาพยนตร์นั่นเอง องค์ประกอบโดยรวมมันทำให้เหมือนเราชมซีรีย์ตอนพิเศษที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะเรื่องราวมันไม่ได้จบจริงในช่วงที่ต้องการจะเล่าเรื่อง หากเราดูถึงตอนจบมันเป็นเพียงการจบตอนเท่านั้น หากภาพยนตร์มีการแบ่งเรื่องราวได้ดีกว่านี้มันจะสร้างความประทับใจได้มากกว่านี้แน่นอน แต่ถ้าจะบอกว่ามันมีภาคต่ออยู่แล้ว มันจบแบบนี้ถูกต้องแล้วละ ผมขอบอกเลยว่าไม่ใช่ครับ เราดูตัวอย่างจาก The Lord of The Rings ก็ได้ ถึงแม้ภาพยนตร์จะมีการบอกเล่าอย่างต่อเนื่อง 3 ภาค แต่ภาพยนตร์ชุดนี้ไม่ได้ทำให้คาใจหรือให้อารมณ์ว่าโดนตัดจบ เพราะภาพยนตร์สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ถึงจุดที่ต้องการจะเล่า แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Avenger Infinity War มันได้เล่าเรื่องราวได้ก้ำกึ่งมาก คือมันก็ถึงจุดมุ่งหมายมัน เพียงแต่มันออกเลยไปอีกเหมือนเรือที่ขับเลยเส้นชัยแล้วหยุดกลางทาง หากเราตัดช่วงท้ายออกแล้วไปในภาคหน้ามันน่าจะออกมาเวิร์คกว่า เพราะมันดูมีการแบ่งเรื่องราวได้ดี หรือไม่ก็เพิ่มเวลาไปอีกหน่อยให้หมดช่วงที่ไปก่อน เพื่อให้ดูเป็นฉากจบของภาคมันน่าจะออกมาดูดีเหมือนกับการตัดช่วงท้ายออกเช่นกัน
คะแนน B+ สมการรอคอยของแฟนๆ ชื่นชมในความกล้าของสตูดิโอ บทภาพยนตร์เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน หากเพิ่มเวลา 10-15 นาที คงดีกว่านี้
โดยสรุปแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Avengers: Infinity War – มหาสงครามล้างจักรวาล (2018) เป็นภาพยนตร์ที่สามารถตอบโจทย์ความบันเทิงให้แก่ผู้ชมได้เป็นอย่างดี หากเป็นแฟนคลับของจักรวาลภาพยนตร์ Marvel คุณจะชอบเรื่องราวของภาพยนตร์แน่นอน ภาพยนตร์มีความกล้าและบ้ามากกับเล่าเรื่องราวจำนวนมากให้อยู่ภายใน 2 ชั่วโมง 40 นาที ซึ่งพวกเขาสามารถทำได้สำเร็จ เพียงแต่ความน่าจดจำยังไม่ได้มากเท่าที่ควร เหมือนอาหารที่มีรสอร่อยมาก แต่ขาดความกลมกล่อมที่จะเป็นอาหารจานโปรดของเราได้
ส่วนเรื่องต่อไปจะเป็นอะไร รอติดตามได้เลยนะครับ จะพยายามเขียนให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้เลยครับ ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามเพจรีวิวหนังช้าที่สุดในบรรดาทุกเพจด้วยนะครับ
เร็วๆนี้เตรียมพบเซอร์ไพรส์จากทางเพจได้เลยนะครับ 😊
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Transformers 2 (2009) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 2 อภิมหาสงครามแค้น
Transformers 3 Dark of the Moon (2011) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 ดาร์ค ออฟ เดอะ มูน
Transformers 4 Age of Extinction (2014) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4 มหาวิบัติยุคสูญพันธ์
Transformers Rise of the Beasts (2023) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส กำเนิดจักรกลอสูร
7.1