KUBHD ดูหนังออนไลน์ Aladdin (2019) อะลาดิน
เรื่องย่อ
ภาพยนตรไลฟ์แอ็คชั่นสุดตื่นเต้นและมีสีสันที่ดัดแปลงจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นสุดคลาสสิคของดิสนีย์ “อะลาดิน” คือเรื่องราวแสนมหัศจรรย์ของเด็กหนุ่มหัวขโมยข้างถนนอย่าง “อะลาดิน” (มีนา แมสซุด) ผู้บังเอิญกลายเป็นนายของ “จีนี่” (วิลล์ สมิธ) ยักษ์ในตะเกียงวิเศษ อะลาดีนขอพรให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม เพื่อพิชิตใจเจ้าหญิง “จัสมิน” (นาโอมิ สก็อตต์) ทว่า “จาฟาร์” พ่อมดที่ปรึกษาของสุลต่านซึ่งเป็นพ่อของจัสมิน ไม่ยอมให้แผนของอะลาดินสำเร็จง่าย ๆ เมื่อตัวเองก็หวังจะยึดอำนาจที่ล้นเหลือจากจีนี่มาเป็นของตน
ผู้กำกับ
กาย ริตชี
บริษัท ค่ายหนัง
- วอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์
- ไรด์แบ็ค
นักแสดง
- วิลล์ สมิธ
- มีนา มาซูด
- เนโอมี สกอตต์
- มาร์เวน เคนซาริ
- นาวิด เนกาบาน
- นาซิม เปเดรด
- บิลลี แม็กนัสเซน
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่
รีวิว – Aladdin (2019)
ดูเหมือนว่าปีนี้จะเป็นปีแห่ง หนังภาคต่อ และ หนังรีเมค ของ Disney จริงๆ และหนึ่งในหนังที่ใครหลายคนรอคอยก็คือ Aladdin (2019) ที่รีเมคมาจากอนิเมชั่นสุดฮิตในปี 1992
Alddin คือเรื่องราวของ อะลาดีน. เด็กหนุ่มยากจนที่ตกหลุมรักเจ้าหญิงจัสมินผู้สูงส่ง แต่แล้ววันนึง เขาก็ได้รับการชักชวนโดย จาฟาร์ ผู้ใกล้ชิดของสุลต่านให้เข้าไปในถ้ำแห่งนึงที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ
จาฟาร์หวังที่จะหลอกใช้อะลาดีน.ให้นำตะเกียงวิเศษออกมาให้เขา แต่อะลาดิน.ก็กลับกลายเป็นผู้ที่ปลดปล่อย ยักษ์จินนี่ จากตะเกียงวิเศษออกมาอย่างไม่คาดฝัน และนั่นก็ทำให้เขาได้รับพร 3 ประการจากยักษ์จินนี่เป็นการตอบแทน
สารภาพเลยว่า ตอนที่เห็นตัวอย่างหนังเรื่องแล้วรู้สึกเฉยๆ มาก แถมพอได้ยินว่าเป็นหนังของ กาย ริชชี่ ก็นึกไปถึง King Authur หนังเรื่องก่อนหน้านี้ของแกที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แต่พอเข้าไปดูจริงๆ แล้วก็พบว่า มันเป็นหนังที่สนุกมากๆ ครับ
จริงๆ ตัวบทของหนังอนิเมชั่นปี 1992 ก็ถือว่าดีอยู่แล้ว และหนังเวอร์ชั่นนี้ก็ให้ความเคารพต่อต้นฉบับด้วยการรักษาพล็อตหลักๆ เอาไว้ แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือรายละเอียดต่างๆ ที่ทำให้เรื่องราวมีความร่วมสมัยมากขึ้น แถมยังตลกมากๆ อีกต่างหาก
ประเด็นที่น่าสนใจประเด็นนึงที่หนังพยายามเพิ่มเติมเข้ามาก็คือความเป็นเฟมินิสม์ ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ส่วนตัว ผมรู้สึกว่าวิธีการที่หนังใส่เข้ามามันดูหลุดๆ ไปนิดนึง เหมือนใส่เข้ามาแบบกล้าๆ กลัวๆ ไปหน่อย
พวก CG ต่างๆ นี่ก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะดิสนีย์เขาเก่งอยู่แล้วในการเนรมิตรสัตว์ต่างๆ ให้มีชีวิตขึ้นมาทั้ง เจ้าลิงอาบู เจ้าเสือราชา และเจ้านกแก้วอิอาโก้ แถมเรื่องนี้ยังมี พรมวิเศษ ที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่องอีกตัว อาบูกับพรมนี่เรียกได้ว่าเป็นตัวสร้างสีสันสำคัญของเรื่องนี้เลย
แต่ส่วนที่ผมประทับใจเป็นพิเศษก็น่าจะเป็นฉากแอ็คชั่นที่ทำออกมาได้สร้างสรรค์ โดยเฉพาะพวกฉากไล่ล่าต่างๆ ที่มันจะให้อารมณ์ต่างจากในอนิเมชั่น ซึ่งตรงจุดนี้เราว่าวิสัยทัศน์ของ กาย ริชชี่ น่าจะมีส่วนมากที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นต่างๆ มันดูพิเศษขึ้นมาแบบนี้
และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ยักษ์จินนี่ ในเวอร์ชั่น วิลล์ สมิธ ซึ่งส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกว่ามันเป็นการแสดงที่มีเสน่ห์มากๆ เหมือนเราไม่ค่อยได้เห็น วิลล์ สมิธ ในโหมดเฮฮาแบบนี้มานานพอสมควรแล้ว เพราะช่วงหลังๆ แกจะหันไปเล่นหนังเครียดๆ ซะเยอะ
รวมๆ แล้ว Aladdin เวอร์ชั่นนี้ก็ทำออกมาได้น่าพอใจมากๆ ครับ เรียกได้ว่ามันเป็นจุดสมดุลที่ดีของการรักษาเสน่ห์แบบเก่าๆ และการเพิ่มไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ เข้าไป และมันก็เป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขมากๆ อีกเรื่องนึง
Kanin The Movie
ALADDIN (2019) การผจญภัยสุดขรุขระที่แสนเพลิดเพลิน
ไม่ว่าจะร้ายดียังไงก็แล้วแต่ ภาพยนตร์ของ กาย ริชชี่ มีส่วนที่ทำให้เราสนุกและเอนจอยอยู่เสมอ ไม่นับผลงานที่เราบันเทิงสุดขีดอย่าง Lock, Stock and Two Smoking Barrels / Snatch / Sherlock Holmes ผลงานที่เราไม่ได้ชอบมากๆอย่าง The Man from U.N.C.L.E. / King Arthur: Legend of the Sword / RocknRolla ก็ยังจัดว่าเป็นหนังที่เราเพลิดเพลินอยู่ไม่น้อย ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นดีเทลบางส่วนในเรื่องที่ดึงดูดให้เราชอบและประทับใจ และหลายๆครั้งก็เผลอกลบข้อเสียส่วนอื่นของภาพยนตร์ด้วย เช่นเดียวกับ Aladdin แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพยนตร์เพอร์เฟ็คสมบูรณ์แบบ หนังเต็มไปด้วยข้อเสียหลายๆอย่าง และหลายๆพักที่ชวนเบือนหน้าหนี แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าจังหวะที่หนังสนุก มันก็สนุกโคตรๆจนเราชอบและรู้สึกดีเช่นกัน
.
สิ่งที่มีเสน่ห์และเราสนุกใน Aladdin คือบรรดามุกและเคมีตัวละครของ จีนี่-อะละดิน-พรมวิเศษ และเจ้าลิง จริงๆก็เหมือนตอนดูหนัง กาย ริชชี่ เรื่องอื่นๆ พวกเคมีตัวละคร มุกตลก วิธีการสร้างความสัมพันธ์มันมีเสน่ห์และบันเทิงเริงใจมาแต่ไหนแต่ไร การผจญภัยไปด้วยกันของสี่ตัวละครนับว่าเป็นอะไรที่สนุกมาก เพราะมันเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ และทริคต่างๆที่คนทำพยายามจะโยนเข้ามาตลอดเวลา การรับส่งมุก การเขียนคอนฟลิกต์ตัวละคร ไปจนถึงคลายปม นับว่าเป็นอะไรที่โอเคเลย (ซึ่งก็ตลกดีที่ตัวละครสำคัญและดึงดูดหนัง ไม่ใช่มนุษย์ไปแล้ว 3 ตัวละคร) เราว่าอาจจะเพราะตัวการเล่าเรื่องเองมันไม่สนุกด้วย พาร์ทนี้มันเลยเป็นเวย์ที่เราเอนจอยมากกว่า (ซึ่งไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือไม่ เพราะจริงๆหนังเล่าเรื่องไวพอสมควรเลย)
เราคิดว่าฉากมิวสิคัลมันไม่ได้หวือหวามาก ที่จะโดดเด่นจริงๆอาจจะเป็น Visual Design มากกว่า โดยเฉพาะซีนเพลง Friend Like Me ในถ้ำนี่บ้าบอคอแตกมาก มันทั้งกาว ทั้งสนุก และสร้างความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ (หลังจากก่อนหน้านั้นแทบจะหลับไปแล้ว) ซึ่งจริงๆส่วนหนึ่งก็ต้องชม วิลล์ สมิธ ด้วย ตอนเห็นแกครั้งแรกในคลิปโปรโมทนี่แอบตะหงิดๆใจ แต่พอได้มาดูจริงๆต้องบอกว่าแกนี่แหละ เดอะแบกหนัง ของจริง เกินกว่า 70% ที่เราสนุกกับ Aladdin มาจากตัวละครของเขา (จีนี่) แม้ว่ามันจะเป็นเวอร์ชั่นที่ วิลล์ สมิธ เล่นเป็น วิลล์ สมิธ แต่เราว่าการตัดสินใจดังกล่าวค่อนข้างเวิร์คเลยทีเดียว เมื่อเอาไปคราฟต์กับส่วนอื่นๆที่มีการผสมผสานวัฒนธรรม ศิลปะ ต่างๆเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะการหยิบความเป็นโลกร่วมสมัยเข้าไปไว้ในหนัง การมีอยู่ของ จีนี่ เวอร์ชั่น วิลล์ สมิธ จึงสอดรับกับความต้องการนี้ได้ดี คือเขาสามารถเล่นเป็นทั้ง จีนี่ และเล่นเป็นทั้งตัวเองได้ในหนังเดียวกันไปเลย ซึ่งไม่ว่าจะทางไหนเราก็สนุกนั่นแหละ
.
เรื่องเพลงไม่แน่ใจว่ามีเพิ่มเติมหรือดัดแปลงจากเวอร์ชั่นก่อนมากแค่ไหน แต่เหมือนจะมีเพลง Speecless ของ นาโอมิ สก็อตต์ มั้งที่เป็นเพลงใหม่และได้กระแสมากๆ เพราะนอกจากมันจะมีสารทางการเมืองที่น่าสนใจ ตัวเพลง ตัวดนตรี เองก็ร่วมสมัยมากๆประหนึ่งดูหนังเพลงในโลกปัจจุบันเลย (ซึ่งตอนดูไม่ได้รู้สึกว่าแปลกนะ เพราะมันคราฟต์มาเยอะแล้วก่อนหน้า ที่แปลกๆจริงคือการกำกับของ กาย ริชชี่ มากกว่า รู้สึกว่าฉากมิวสิคัลแทบจะไม่หวือหวาและสวยงามเลย)
โดยรวม Aladdin เป็นหนังที่เราสนุกและเอนจอยมากๆระดับหนึ่ง เราจะไม่บอกว่าหนังดี หรือยอดเยี่ยม เพราะมันเต็มไปด้วยแผลที่เยอะแยะชัดเจนไปหมด (ตั้งแต่การเล่าเรื่อง ไปจนถึงการเขียนตัวละคร) แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความแพรวพราวเฉพาะตัวของ กาย ริชชี่ ทำให้หลายๆส่วนของเรื่องสนุกเป็นบ้าได้อย่างเหนือความคาดหมาย ความกาว ความจังหวะนรก และลีลากวนตีนสารพัดต่างๆถูกใส่เข้ามาในหลายๆซีนจนสนุกและชวนปรบมือให้ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยส่วนอื่นๆที่ไม่ค่อยสนุกสนานเท่าไหร่นัก กระนั้น โดยรวมสำหรับเรามันก็เป็นหนัง Live Action จากดิสนีย์ที่เราบันเทิงเป็นอันดับต้นๆเลยนะ คือมันอาจจะไม่ใช่หนังที่รักที่สุด แต่ถ้าจัดในหมวดสนุกสุดๆนี่อย่าไปยอมใครเลย – หนังเข้าฉายแล้ว ไปดูกันได้เลยครับ
.
p.s. เราเคยดู อะละดิน ไปนานมากๆแล้วจนแทบจำอะไรไม่ได้นอกจาก อะละดิน ตะเกียง และ จีนี่ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับตัวหนังหรอก เพียงแต่บทความที่เขียนออกมาจะไม่ได้ใช้โครงสร้างการเปรียบเทียบนัก เผื่อใครๆสงสัยว่าเราประทับนู่นนี่กับหนัง (โดยเฉพาะมุกตลก) ทั้งที่ฉบับแอนิเมชั่นก็มี ให้เข้าใจว่าการดู อะละดิน ครั้งนี้เหมือนเป็นหนังสดใหม่ 100% สำหรับเราเลย
ALADDIN (dir. Guy Ritchie) -7/10
หนังโปรดของข้าพเจ้า
Aladdin (2019) เข้าฉายแล้ววันนี้
ดิสนี่ย์ยังคง play safe มาก ๆ กับวัตถุดิบดั้งเดิมของตัวเอง ถึงแม้จะใช้ผู้กำกับที่แอบมีลูกบ้าพอสมควร เราคิดว่าการที่ดิสนีย์ดึง กาย ริชชี่ มากำกับอะลา ดินคงไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการมองหาผู้กำกับที่มีรสนิยมทำตัวละครตลกเกินเบอร์ได้ ซึ่งความช่างจ้อ non-stop ของจีนี่ก็ดูเหมาะสมกันดีกับวิล สมิธ ที่อยู่ในหนังของกาย ริชชี่ แล้วล่ะ โปรดักชั่นและการออกแบบเครื่องแต่งกายยังคงเป็นอะไรที่ไว้ใจทุนสร้างและความสามารถของดิสนี่ย์ได้เสมอ อันนี้เด่นชัดในหนังทุกเรื่อง ส่วนตัวเชียร์ให้เครื่องแต่งกายไปไกลถึงรางวัลออสการ์ด้วย นอกนั้นเนื้อหาบางส่วนก็ปรับปรุงให้เข้ากับค่านิยมสมัยใหม่ โดยเฉพาะบทของเจ้าหญิงจัสมิน ที่ดูเป็นหญิงสาวรอบรู้พึ่งพาตัวเองได้และสามารถเรียกร้องสถานะตัวเองให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำการปกครองถ้าหากสุลต่านเห็นสมควร แต่ที่ดีงามหน่อยคงต้องยกให้แคสต์หลักที่มีเชื้อสายอาหรับและเอเชียกลางกันหมดเลย (อะลาดิ นเป็นลูกครึ่งอียิปต์-แคนาดา, จัสมิน เชื้อสายแองโกล-อินเดียน, จาฟาร์ เป็นดัตช์-ตูนิเซียน, สุลต่านกับดาเลีย เป็นนักแสดงครึ่งอเมริกัน-อิหร่าน, และทหารองครักษ์ เชื้อสายเตอร์กิช-เยอรมัน)
.
‘จัสมิน’ (Naomi Scott) เป็นเจ้าหญิงที่ไม่มีโอกาสได้ออกไปเห็นโลกภายนอกวัง เธอแอบหลบหนีออกมาสำรวจตลาด แต่โชคร้ายที่ความน้ำใจงามหยิบขนมปังของพ่อค้าไปแจกเด็ก ทำให้เธอถูกพ่อค้าเรียกเก็บกำไลแทนเงิน โชคดีที่ ‘อะลา ดิน’ (Mena Massoud) หัวขโมยจิตใจดีในตลาดช่วยเหลือออกมาได้ ทั้งคู่ชอบพอกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรกโดยที่อะลา ดินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าหญิง แต่ในการเจอกันครั้งที่สองที่เขาแอบลักลอบเข้าวังเอาของไปคืนเธอ ทำให้เขาถูก ‘จาฟาร์’ (Marwan Kenzari) จับตัวเอาไว้ได้ โดยจาฟาร์ได้ยื่นข้อเสนอให้ขโมยตะเกียงวิเศษออกมาแลกกับทรัพย์สินเงินทองในการพิชิตใจเจ้าหญิงจัสมิน ซึ่งอ ะลา ดินก็ตอบรับข้อเสนอดังกล่าว
.
เรามองว่าดิสนี่ย์ทำ Aladdin ฉบับ live-action ออกมาเพียงเพื่อต้องการหล่อเลี้ยงแบรนด์ตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยและต่อยอดกับผู้ใหญ่ที่โตมากับแอนิเมชั่นดิสนี่ย์ยุค 90’s ที่อาจจะเป็นวัยให้กำเนิดเด็กรุ่นใหม่มากกว่า เพราะถ้าเป็นกลุ่มเด็กไปเลยจะเห็นว่าดิสนี่ย์ยังคงทำเป็นแอนิเมชั่นตัวละครใหม่แบบ Frozen, Moana ที่มีความสดกว่า หนังเลยออกมาในโทนค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ไม่แตะต้องเส้นเรื่องดั้งเดิมให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก ประมาณว่าอะไรที่ดีและครองใจผู้ชมอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปบิดหรือลองเปลี่ยนน่ะแหละ แค่ปรับปรุงเรื่องเฟมินิสต์ตามยุคสมัยให้เหมาะสม เราอาจจะไม่ได้หัวเราะอะไรกับลูกบ้าของวิล สมิธ สักเท่าไร แต่คิดว่าเขาสอบผ่านกับบทจีนี่ได้สบาย ส่วนความเป็นละครเพลงของหนังก็ทำออกมาได้ดีกว่าที่คิดไว้ บันเทิงบนโปรดักชั่นสมทุนสร้าง และเพลง A Whole New World ในหนังก็ช่างเข้ากับจัสมินที่ไม่ได้เปิดหูเปิดตานอกวังจนกระทั่งได้ขึ้นพรมวิเศษไปท่องเมืองใหญ่ ส่วนใครจะอินกับหนังระดับไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง
Director: Guy Ritchie (ผู้กำกับ Snatch, The Man from U.N.C.L.E., Sherlock Holmes)
screenplay: John August, Guy Ritchie
Genre: adventure, fantasy, musical, romance
7/10
ขอบสหนัง
ขอบสหนังรีวิว
Aladdin 2019
.
*จุดเด่น
เราคิดว่าหนังคงคล้ายๆกับการ์ตูน แต่เอาเข้าใจผิดไปจากความรู้สึกในทีแรก กาย ริชชี่ วางพล็อตเรื่องให้หนังดูมีสีสัน เน้นรอยยิ้มสร้างหัวเราะให้คนดู การเล่าเรื่องน่าทึ่งใช้เสน่ห์ของเพลงและวัฒนธรรมอาหรับลงไป มันทำให้หนังน่าตื่นเต้นแทบทุกฉาก ยากที่จะคาดเดา เพลงที่สอดประสานในแต่ละซีนมันไพเราะมีความลงตัวจนยากที่จะหาคำอะไรมาตำหนิ ขณะที่ปรากฏตัวระหว่างยักษ์จินนี่ ที่ได้มาพบกับอะลาดดิน นี่แหละตัวสร้างความบันเทิงให้คนดูอย่างแท้จริง ซีนนี้ลากยาวและขอยกให้เป็นไคล้แมกซ์ของเรื่องมากกว่าตนจบของหนัง หรือแม้กระทั่งฉากพบรักระหว่างพระนางของเรื่อง
สิ่งที่ชอบ 2 จุดที่ประทับใจฉากในเมืองอาหรับนี่แหละ รู้สึกว่ากาย ริชชี่ จะใส่ใจทุกรายละเอียดในการปลุกเสกให้เมืองอาหรับในเรื่องให้มีอยู่จริง ภาพในหนังมันสวยงามมาก เห็นแล้วอยากไปเที่ยวเลย ส่วนอีกข้อคือมิตรภาพระหว่างอะลาดดิน และยักษ์จินนี่ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แย่แค่ไหน แต่พวกเขาพร้อมจะยืนหยัดช่วยทีมอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ มันทำให้รู้สึกว่าไม่ได้แค่เป็นเจ้านายและลูกน้อง
.
*นักแสดง
เราชื่นชมกาย ริชชี่ ผู้กำกับที่พยายามเฟ้นหาคนที่มีเชื้อสายมุสลิมมาเล่นหนังเรื่องนี้ เพราะบทนำทุกอย่างมันลงตัวมากๆ ทั้งการแสดงที่ตีบทแตกและการร้องเพลงที่คีย์แมนสำคัญของเรื่องร้องได้ไพเราะ
มีนา มาสซูด พ่อหนุ่มแคนาเดียนเชื้อสายอียิปต์ผู้รับบทอะลาดดิน ที่ดูแล้วพี่แกคงแจ้งเกิดในโลกมายาได้ไม่ยาก เพราะเข้าถึงบทบาทดูเนียนตา เป็นหัวขโมยที่มีครบหลากหลายอารมณ์ซื่อบื้อ, ยอดนักรัก, นักเต้น เพียรพยายามเพื่อพิชิตใจเจ้าหญิง แม่งดูมีคุณค่ามากๆ
นาโอมิ สก็อตต์ เจ้าหญิงจัสมิน สารภาพบาปเลยว่าผมตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้เขาให้แล้ว เธอสวยมีเสน่ห์ สง่างามจนไม่รู้จะหาคำอะไรมาพรรณา ยิ่งการสวมชุดเป็นเจ้าหญิง ทำให้เรารู้สึกว่าเธอแม่งออกมาจากนิยาย ส่วนในเรื่องการแสดงชีไม่ทำให้ผิดหวังบอกเลย
วิลล์ สมิธ ถ้าจะบอกว่าความกวนตีนบทบาทยักษ์จินนี่แบกเรื่องก็คงจะไม่ผิดหนัก การแสดงของคุณพี่นั้นหายห่วงอยู่แล้ว เนรมิตได้ทุกสรรพสิ่งแถมมีมุกกวนๆออกมาได้ตลอดเวลา เข้าขากับพ่อหนุ่มมาสซูดได้ลงล็อกพอดิบพอดี
มาร์วาน เคนซาริ บทบาทจาฟาร์อาจน้อยไม่ได้ดูเลวเป็นตัวร้ายมากหนัก แต่บทบาทตัวโกงจอมโลภของพี่แกช่วงท้ายที่แสดงฤทธิ์เดชออกมา พอหักล้างบทบาทที่ไม่ได้เยอะมากของพี่แกลงไปได้
*จุดด้อย
ตัวร้ายของเรื่องแม่งบทบาทไม่ได้เยอะอะไรเลย ช่วงแรกแค่นำพาอลาดดินไปเอาตะเกียงวิเศษ หลังจากนั้นบริบทพี่แกดูดร็อปลงไป มาเด่นอีกทีก็ต้องท้ายเรื่องนี่แหละ โดยรวมแล้วเป็นตัวโกงที่ถูกเขียนสคริปมาแค่นั้น เราไม่รู้สึกว่านี่แม่งเป็นตัวร้ายของหนังดิสนีย์ที่น่าเกรงขาม จุดเปราะบางอีกเรื่องหนึ่งคืออยากเห็นการผจญภัยของอะลาดดิน ซึ่งขาดหายไป หนังไปเน้นในเรื่องความสนุกผสมผสานกับความเป็นมิวสิคเคิลแทน
สรุป : ไม่รู้คัดสรรคำอะไรให้มากความ ตัวหนังดูสนุก นักแสดงเข้าถึงบทบาท บทเพลงไพเราะการดำเนินเรื่องทุกอย่างลงตัวหมดจด ขอยกให้เป็นหนังดีเรื่องหนึ่งจากฝั่งดิสนีย์ไปเลยละ
8/10
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
The New Adventures of Aladin (2015)
Aladdin and the King of Thieves (1996)
Aladdin The Return of Jafar (1994
7.1